1 / 44

บทที่ 3

บทที่ 3. พื้นท้องมหาสมุทร Ocean Bottom. การศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของพื้นท้องมหาสมุทรมีความสำคัญอย่างมากในการที่จะเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในมหาสมุทร ตัวอย่างเช่น การไหลเวียนของน้ำในมหาสมุทร การทับถมและการกระจายของตะกอนในมหาสมุทร.

lin
Download Presentation

บทที่ 3

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 3 พื้นท้องมหาสมุทร Ocean Bottom

  2. การศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของพื้นท้องมหาสมุทรมีความสำคัญอย่างมากในการที่จะเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในมหาสมุทร ตัวอย่างเช่น การไหลเวียนของน้ำในมหาสมุทร การทับถมและการกระจายของตะกอนในมหาสมุทร

  3. จากการศึกษาพื้นของมหาสมุทรในปัจจุบันทำให้มีการเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมที่ว่าพื้นมหาสมุทรมีลักษณะเรียบปราศจากโครงสร้างใดๆ โดยพบว่าลักษณะของพื้นมหาสมุทรคล้ายกับโครงสร้างบนพื้นทวีปซึ่งจะมีภูเขา หุบเขา ที่ราบและหน้าผา ตลอดจนภูเขาไฟที่คุกรุ่นและดับแล้วเป็นจำนวนมาก

  4. 3.1 วิธีการวัดความลึกของพื้นมหาสมุทร

  5. การใช้สายหยั่งความลึกการใช้สายหยั่งความลึก เป็นวิธีการที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกโดยการวัดความลึก เป็นจุดๆวิธีการนี้จะใช้ได้ดีกับบริเวณที่มีความลึกไม่มากนัก รวมทั้งขณะทำการวัดกระแสน้ำและกระแสลมต้องไม่รุนแรง

  6. การใช้เสียงสะท้อน (echo sounder)

  7. ข้อจำกัดของวิธีการนี้คือข้อจำกัดของวิธีการนี้คือ • อาจมีความผิดพลาดในการวัดในกรณีที่มีคลื่นลมแรง • ความแตกต่างกันของอุณหภูมิ, ความเค็ม และความดันของชั้นน้ำต่างๆจะไปมีผลต่อความเร็วของเสียงในมหาสมุทรจึงจำเป็นจะต้องทราบถึงลักษณะการกระจายของมวลน้ำในมหาสมุทรด้วย ในทางปฏิบัติจะต้องใช้ค่าแก้ (correction) ซึ่งได้จากการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ มวลน้ำในบริเวณที่ทำการวัดความลึกมาปรับแก้กับค่าที่วัดได้

  8. การใช้คลื่นสั่นสะเทือน (seismic wave)

  9. 3.2 ขอบทวีป (continental margin)

  10. หมายถึงแนวที่แบ่งขอบเขตระหว่างพื้นทวีปและมหาสมุทรเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งคือ หมายถึงแนวที่แบ่งขอบเขตระหว่างพื้นทวีปและมหาสมุทรเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งคือ • ระดับความลึกที่ 200 เมตร • อิทธิพลของน้ำจืดและตะกอนจากแผ่นดิน ขอบทวีปประกอบด้วยส่วนต่างๆดังต่อไปนี้

  11. 1.ไหล่ทวีป (continental shelf) • โดยทั่วไปพื้นผิวของไหล่ทวีปมีความชันน้อยมากโดยเฉลี่ยเพียง 0.1 องศา ความลึกของน้ำเฉลี่ย 130 เมตรและมักไม่เกิน 200 เมตร

  12. หินที่ประกอบกันเป็นไหล่ทวีปเป็นหินชนิดเดียวกันกับพื้นทวีป ตะกอนที่สะสมอยู่มาจากการพัดพาของแหล่งน้ำจากพื้นทวีปโดยจะอยู่ในสภาพที่ยังไม่แข็งตัวจึงถูกพัดพาให้เคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปสะสมยังที่อื่นได้โดยการกระทำของกระแสน้ำและคลื่น • ดังนั้นในบริเวณน้ำตื้น ใกล้ชายฝั่งตะกอนอาจสะสมตัวในลักษณะที่เป็นสันทรายหรือสันตะกอน ในขณะที่เขตที่น้ำลึกตะกอนอาจสะสมเป็นบริเวณกว้างค่อนข้างราบเรียบ

  13. ความกว้างของไหล่ทวีปในแต่ละบริเวณจะแตกต่างกันตั้งแต่เกือบไม่มีเลยในบริเวณหมู่เกาะฮาวาย, กว้างไม่กี่กิโลเมตรเช่นชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ จนถึงกว้างประมาณ 1800 กิโลเมตรบริเวณนอกฝั่งไซบีเรีย โดยเฉลี่ยไหล่ทวีปจะมีความกว้างประมาณ 75 กิโลเมตร

  14. 2.ลาดทวีป (Continental slope) • อยู่ถัดจากไหล่ทวีปออกไป มีความลึกโดยเฉลี่ยประมาณ 2,000 เมตรเลยบริเวณนี้ไปแล้วพื้นจะเอียงลาดเข้าสู่ส่วนลึกของมหาสมุทรโดยทั่วไปมีความชันเฉลี่ยประมาณ 3 องศา แต่บางแห่งอาจชันได้ถึง 50 องศา • เนื่องจากลาดทวีปเป็นบริเวณที่สูงชันจึงมีตะกอนสะสมอยู่น้อย

  15. ลาดทวีปบางบริเวณจะพบหุบเขาใต้น้ำ (submarine canyon) ซึ่งมีลักษณะเป็นร่องลึกลงไปในลาดทวีปต่อกันเป็นทางยาวจนถึงรอยต่อกับส่วนที่เป็นพื้นมหาสมุทร บางแห่งแตกสาขาคดเคี้ยวคล้ายหุบเขาบนพื้นดิน • หุบเขาลึกใต้น้ำนี้มีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปตัว V ผนังทั้งสองข้างชันอาจลึกได้ถึง 1,200 เมตร

  16. มีหุบเขาใต้ทะเลหลายแห่งที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่สอดคล้องกับการมีปากแม่น้ำบนพื้นโลกแต่อย่างใด สาเหตุของการเกิดหุบเขาใต้น้ำในลักษณะนี้เชื่อว่ามาจากกระแสน้ำที่มีตะกอนขุ่นข้น (turbidity current) • turbidity current เป็นการเคลื่อนที่ของน้ำที่มีตะกอนเป็นองค์ประกอบเป็นจำนวนมากบนพื้นมหาสมุทร และตะกอนอาจมีกรวดทรายปะปนอยู่ด้วยจึงเกิดการกัดกร่อนบริเวณที่เคลื่อนผ่านเมื่อเวลาผ่านไปนานๆจึงอาจเกิดร่องลึกขึ้น

  17. turbidity current บางแห่งเคลื่อนที่ได้ถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การเคลื่อนที่ของ turbidity current อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งก่อสร้างใต้น้ำได้เช่น การทำลายเคเบิลใต้น้ำเพื่อใช้ในการสื่อสารเป็นต้น

  18. 3. สูงทวีป (continental rise) • เป็นบริเวณที่มีชั้นตะกอนสะสมอยู่หนาตั้งแต่บริเวณฐานของลาดทวีปแผ่กระจายลงสู่พื้นมหาสมุทร ส่วนใหญ่เป็นตะกอนที่ถูกพัดมาจาก turbidity current

  19. ตะกอนที่สะสมตัวอยู่บนบริเวณนี้รวมถึงพื้นมหาสมุทรเรียกว่า turbidite พื้นที่บางแห่งจะถูกตะกอนปกคลุมหนาจนไม่เห็นความขรุขระของพื้นที่ที่มีโครงสร้างอื่นๆอยู่ • บางครั้งสูงทวีปอาจมีความกว้างถึง 600 กิโลเมตรและมีความชันน้อยกว่าลาดทวีปมากมีความชันเฉลี่ยประมาณ 1 องศา อยู่ที่น้ำลึกประมาณ 1,400-5,100 เมตร

  20. 3.3 พื้นท้องมหาสมุทร

  21. 1.แอ่งมหาสมุทร (ocean basin) • เป็นส่วนที่คล้ายหลุมลึกต่ำลงไปบริเวณพื้นท้องมหาสมุทร • พบได้ทั่วไปคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 29.8 เปอร์เซ็นต์ของผิวหน้าโลกทั้งหมด มีความลึกเฉลี่ยประมาณ 4,000-6,000 เมตร

  22. แอ่งมหาสมุทรแต่ละแห่งจะถูกแยกโดยแนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอ่งมหาสมุทรแต่ละแห่งจะถูกแยกโดยแนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทร • แอ่งมหาสมุทรที่สำคัญได้แก่ North Polar basin, North Pacific basin, Central Pacific basin, East Australian basin, Peru basin, Argentina basin และ Pacific-Antarctica basin

  23. 2.แนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทร (Mid-Ocean Ridge) • เป็นส่วนพื้นท้องมหาสมุทรที่มีความชันเพิ่มขึ้นอย่างกระทันหันเป็นแนวยาวต่อเนื่องกันอย่างมีระบบคล้ายแนวสันเขาพื้นทวีป • แนวสันเขาใต้น้ำมีความยาวทั้งหมดประมาณ 65,000 กิโลเมตรคิดเป็นความยาวประมาณ 1.5 เท่าของเส้นรอบวงของโลก กินเนื้อที่ประมาณ 22.1 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด

  24. ตามแนวของสันเขาจะมีหินบะซอลท์เกิดขึ้นตลอดเวลาทำให้แนวเขามีการแผ่ออกตลอดเวลาเป็นผลมาจากเกิดขึ้นใหม่ของเปลือกโลกตามแนวของสันเขาจะมีหินบะซอลท์เกิดขึ้นตลอดเวลาทำให้แนวเขามีการแผ่ออกตลอดเวลาเป็นผลมาจากเกิดขึ้นใหม่ของเปลือกโลก • ลักษณะของแนวสันเขาใต้น้ำขึ้นอยู่กับอัตราการแยกตัวของพื้นมหาสมุทร บางแห่งอาจสูงได้ถึง 1-4 กิโลเมตรจากพื้นมหาสมุทร ส่วนใหญ่ยอดของแนวสันเขาใต้น้ำต่ำกว่าผิวหน้าน้ำประมาณ 2.5 กิโลเมตร ความกว้างของแนวสันเขาจะต่างกันไปขึ้นอยู่กับอัตราการแยกตัวซึ่งจะอยู่ในช่วงระหว่าง 2,000-4,000 กิโลเมตร

  25. ในแนวสันเขาที่มีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่จะมีความกว้างมากกว่าบริเวณที่ไม่มีภูเขาไฟ แนวสันเขาที่มีความสูงมากๆอาจโผล่พ้นพื้นน้ำกลายเป็นเกาะ ตัวอย่างเช่นเกาะไอซ์แลนด์เป็นต้น แนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรเป็นแนวสันเขาที่วางตัวอยู่เกือบกึ่งกลางของมหาสมุทร

  26. 2.1 แนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติค (Mid-Atlantic Ridge) • เริ่มตั้งแต่ทางตะวันออกของเกาะกรีนแลนด์เรื่อยลงไปทางใต้อ้อมทวีปแอฟริกาแล้วไปเชื่อมกับแนวสันเขาใต้น้ำในมหาสมุทรอินเดียซึ่งบางครั้งเรียกส่วนนี้ว่า Atlantic-Indian Ridge

  27. ตลอดแนวของตอนกลางจะมีหุบลึกเห็นได้ชัดเจนบางแห่งอาจกว้างได้ถึง 25-30 กิโลเมตร และมีความลึก 1-2 กิโลเมตร • สันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติคมีอัตราการเกิดแผ่นดินใหม่ค่อนข้างช้าคือประมาณ 1-2 เซนติเมตรต่อปี การสะสมของตะกอนในแนวสันเขามีไม่มากนัก

  28. 2.2 แนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแปซิฟิก (East Pacific Rise) • วางตัวค่อนไปทางพื้นทวีปอเมริกาใต้ และมีส่วนที่ทอดไปยังทวีปอเมริกาเหนือบริเวณอ่าวแคลิฟอร์เนีย

  29. เป็นสันเขาที่แผ่ขยายออกอย่างรวดเร็วประมาณ 6-8 เซ็นติเมตรต่อปี พื้นผิวขรุขระน้อยกว่าแนวสันเขาในมหาสมุทรแอตแลนติค ความลึกจากผิวหน้าน้ำโดยเฉลี่ยประมาณ 2.7 กิโลเมตร • ตลอดแนวสันเขาใต้น้ำไม่มีภูเขาไฟหรือเกาะที่โผล่พ้นน้ำมากเหมือนในมหาสมุทรแอตแลนติค

  30. 2.3 แนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรอินเดีย (Mid-Indian Ridge) • วางตัวออกจากทะเลแดงนอกคาบสมุทรอาระเบียส่วนต้นนี้มีชื่อเฉพาะว่า Carlsberg Ridge • จากนั้นแยกออกเป็นสองแนวแนวแรกจะบรรจบกับแนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติค (Atlantic-Indian Ridge)

  31. อีกแนวหนึ่งมุ่งไปทางใต้อ้อมทวีปออสเตรเลียไปเชื่อมกับแนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแปซิฟิกบางครั้งเรียกสันเขาแนวนี้ว่า Pacific-Antarctic Ridge • รายละเอียดเกี่ยวกับแนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรอินเดียยังไม่เป็นที่ทราบกันมากนัก

  32. 3.หุบเหวลึกในมหาสมุทร (Trench) • เป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นหุบลึกลงไปในมหาสมุทรมีหน้าตัดเป็นรูปตัว V มักเกิดขึ้นตามขอบของแอ่งมหาสมุทร โดยเฉพาะทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก • ความลึกโดยเฉลี่ยของเหวในมหาสมุทรประมาณ 8,000 เมตร จุดที่ลึกที่สุดจะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกคือ Mariana Trench ลึกประมาณ 11,000 เมตร

  33. มหาสมุทรแอตแลนติค Peru-Chili Trench 8,400 m Aleutian Trench 8,100 m Kuril-Kamchatka Trench 10,500 m • มหาสมุทรแปซิฟิก Japan Trench 9,800 m Marianas Trench 11,000 m Philippines Trench 10,000 m Kermadec-Tonga Trench 10,800 m • มหาสมุทรอินเดีย Java Trench 7,400 m

  34. 4.หมู่เกาะโค้ง (Island Arc) • เป็นลักษณะของหมู่เกาะที่เรียงตัวเป็นแนวโค้งเข้าหาแผ่นดินโดยมีเหวในมหาสมุทรเรียงตัวขนานไปกับหมู่เกาะโค้ง และมักมีแนวภูเขาไฟหรือภูเขาสูงทางด้านในของหมู่เกาะ

  35. บริเวณนี้มีภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวเกิดขึ้นอยู่เสมอ ส่วนใหญ่จะพบหมู่เกาะโค้งทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเช่นหมู่เกาะคูริล (Kuril Island Arc) • พื้นที่ที่อยู่ระหว่างหมู่เกาะโค้งและแผ่นดินจะเป็นทะเลภายในน้ำตื้นซึ่งจะมีตะกอนทับถมกันเป็นชั้นหนา ตะกอนที่ถูกพัดพามาจากพื้นทวีปจะถูกกักไว้จากส่วนโค้งหมู่เกาะไม่ถูกพัดต่อไปยังหุบเหวลึกในทะเล ดังนั้นจึงไม่พบตะกอนในหุบเหวลึกในทะเลมากนัก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่สันนิษฐานว่ามหาสมุทรแปซิฟิกมีความลึกมากกว่ามหาสมุทรอื่นๆ

  36. 5.ภูเขาไฟใต้น้ำ (Seamount) • อาจอยู่เดี่ยวๆหรือเป็นกลุ่มบนพื้นมหาสมุทร ส่วนที่สูงไม่เกิน 1,000 เมตรจากพื้นมหาสมุทร • ภูเขาไฟใต้น้ำที่อยู่เป็นกลุ่มอาจเป็นฐานของแนวสันเขาใต้น้ำ บางแห่งอาจตั้งอยู่หรือเคยตั้งอยู่บน hot spot บางแห่งอาจโผล่ขึ้นมาเหนือผิวหน้าน้ำกลายเป็นเกาะภูเขาไฟในมหาสมุทรได้เช่นหมู่เกาะฮาวายเป็นต้น

  37. ภูเขาไฟที่โผล่พ้นผิวน้ำบางแห่งเมื่อเกิดระเบิดขึ้นยอดของมันจะหายไปลดความสูงลงจนถึงผิวหน้าน้ำจากการกระทำของกระแสน้ำ คลื่นและลม ต่อมาอาจจะมีการจมตัวลงจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกทำให้กลายเป็นภูเขาที่มียอดแบนราบใต้น้ำ ภูเขาลักษณะดังกล่าวเรียกว่า กีโยต์ (guyot) หรือ Tablemount ส่วนใหญ่จะอยู่ต่ำกว่าผิวหน้าน้ำประมาณ 1,200-1,600 เมตร

  38. 6. ที่ราบมหาสมุทร (Abyssal Plain) • เป็นบริเวณของพื้นท้องมหาสมุทรที่ค่อนข้างเรียบ อยู่ในระดับความลึกประมาณ 3,000-6,000 เมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของมหาสมุทรทั้งหมด • โดยทั่วไปมีตะกอนหนาปกคลุมและครอบคลุมอาณาบริเวณหลายร้อยตารางกิโลเมตร พบทั่วไปในทุกมหาสมุทร

More Related