290 likes | 1.05k Views
Econ 302 ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค 2 (Microeconomic theory II). ศุภวัจน์ รุ่งสุริยะวิบูลย์. ทบทวนเนื้อหา. ต้นทุนการผลิต รายรับการผลิต กำไรการผลิต. 1. ต้นทุนการผลิต (Production cost).
E N D
Econ 302 ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค 2 (Microeconomic theory II) ศุภวัจน์รุ่งสุริยะวิบูลย์
ทบทวนเนื้อหา • ต้นทุนการผลิต • รายรับการผลิต • กำไรการผลิต
1. ต้นทุนการผลิต (Production cost) • ฟังก์ชันต้นทุนการผลิต หมายถึง ฟังก์ชันที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนการผลิต (C) และผลผลิต (Q) ของผู้ผลิตในระดับต่างๆกัน C = f(Q) • ต้นทุนการผลิตสามารถแบ่งออกได้เป็น - ต้นทุนการผลิตระยะสั้น (short-run production costs) - ต้นทุนการผลิตระยะยาว (long-run production costs)
ต้นทุนการผลิตระยะสั้น (Short-run production cost) • ต้นทุนการผลิตระยะสั้น จะประกอบไปด้วยต้นทุนคงที่ (fixed costs) และต้นทุนแปรผัน (variable costs) • ในขณะที่ ต้นทุนการผลิตระยะยาว จะประกอบไปด้วยต้นทุนแปรผัน (variable costs) เพียงอย่างเดียว
ประเภทของต้นทุนการผลิตระยะสั้นประเภทของต้นทุนการผลิตระยะสั้น (1) ต้นทุนคงที่รวม (TFC) หมายถึง ต้นทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณผลผลิต TFC = a โดยที่ a คือ ค่าคงที่ใดๆ (2) ต้นทุนแปรผันรวม (TVC) หมายถึง ต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณผลผลิต TVC = f(Q) (3) ต้นทุนรวม (TC) หมายถึง ต้นทุนทั้งหมดที่เกิดจากการใช้ปัจจัยการผลิตชนิดต่างๆในการผลิตสินค้า TC = TFC+TVC = a+f(Q)
ประเภทของต้นทุนการผลิตระยะสั้นประเภทของต้นทุนการผลิตระยะสั้น (4) ต้นทุนคงที่เฉลี่ย (AFC) หมายถึง อัตราส่วนของต้นทุนคงที่รวมต่อปริมาณผลผลิต ดังนั้น (5) ต้นทุนแปรผันเฉลี่ย (AVC) หมายถึง อัตราส่วนของต้นทุนแปรผันรวมต่อปริมาณผลผลิต ดังนั้น
ประเภทของต้นทุนการผลิตระยะสั้นประเภทของต้นทุนการผลิตระยะสั้น (6) ต้นทุนเฉลี่ย (AC) หมายถึง อัตราส่วนของต้นทุนรวมต่อปริมาณผลผลิต ต้นทุนเฉลี่ยมีค่าเท่ากับผลรวมของต้นทุนคงที่เฉลี่ย และต้นทุนแปรผันเฉลี่ย (7) ต้นทุนส่วนเพิ่ม (MC) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนรวมต่อการเปลี่ยนแปลงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น 1 หน่วย
Cost TC VC FC Q ความสัมพันธ์ของเส้น TFC, TVC และ TC
Cost MC AC AVC AFC Q Q1* Q2* ความสัมพันธ์ของเส้น AFCAVCAC และ MC Q1* คือ ระดับการผลิตที่ทำให้ AVC มีค่าต่ำที่สุด Q2* คือ ระดับการผลิตที่ทำให้ AC มีค่าต่ำที่สุด
ความสัมพันธ์ของเส้น AVCAC และ MC • เส้น AVC และ AC จะเป็นรูปตัว U หรือโค้งหงาย โดยเส้น AC อยู่เหนือเส้น AVC ตามแนวตั้งเท่ากับ AFC • เส้น AFC จะทอดลงจากซ้ายไปขวาและจะเข้าใกล้แกนปริมาณเรื่อยๆ • เส้น MC จะทอดลงในช่วงแรกแต่จะทอดขึ้นในช่วงหลัง โดยจะตัดที่จุดต่ำสุดกับเส้น AVC และ AC ตามลำดับ
ความสัมพันธ์ของเส้น AVC และ MC • ณ จุดที่เส้น AVC มีค่าต่ำที่สุด เส้น MC จะเท่ากับ (ตัดกับ) เส้น AVC • ในขณะที่เส้น AVC กำลังลดลง เส้น MC จะลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ได้แต่จะอยู่ต่ำกว่าเส้น AVC เสมอ • ในขณะที่เส้น AVC กำลังเพิ่มขึ้น เส้น MC จะอยู่สูงกว่าเส้น AVC เสมอ
ความสัมพันธ์ของเส้น AC และ MC • ณ จุดที่เส้น AC มีค่าต่ำที่สุด เส้น MC จะเท่ากับ (ตัดกับ) เส้น AC • ในขณะที่เส้น AC กำลังลดลง เส้น MC จะลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ได้แต่จะอยู่ต่ำกว่าเส้น AC เสมอ • ในขณะที่เส้น AC กำลังเพิ่มขึ้น เส้น MC จะอยู่สูงกว่าเส้น AC เสมอ
ตัวอย่างต้นทุน • กำหนดฟังก์ชันต้นทุนการผลิต คือ TC = Q3/20 – (3/10)Q 2 + 2Q + 4 จงหาปริมาณการผลิตที่ทำให้ต้นทุนแปรผันเฉลี่ย (AVC) มีค่าต่ำสุด
ต้นทุนการผลิตระยะยาว (Long-run production cost) (1) ต้นทุนรวมระยะยาว (LTC) หมายถึง ต้นทุนรวมทั้งหมดจากการใช้ปัจจัย แปรผันในการผลิตสินค้าและบริการ LTC = LTVC โดยที่ LTVC = ต้นทุนแปรผันรวมระยะยาว (2) ต้นทุนเฉลี่ยระยะยาว (LAC) หมายถึง ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยการผลิตสินค้าในระยะยาวซึ่งมีค่าเท่ากับต้นทุนแปรผันเฉลี่ยระยะยาว (3) ต้นทุนส่วนเพิ่มระยะยาว (LMC) หมายถึง ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น 1 หน่วย
ความแตกต่างของต้นทุนในระยะสั้นและระยะยาวความแตกต่างของต้นทุนในระยะสั้นและระยะยาว • ในระยะสั้น ต้นทุนต่างๆที่เกิดขึ้นเกิดจากการผลิตภายใต้ขนาดของโรงงาน ขนาดใดขนาดหนึ่ง • ในระยะยาว ผู้ผลิตสามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยคงที่ต่างๆให้เป็นปัจจัยแปรผันทั้งหมด ผู้ผลิตสามารถเลือกขนาดของโรงงานให้เหมาะสมกับปริมาณสินค้าที่ทำการผลิตเพื่อให้เกิดต้นทุนต่ำที่สุด • ต้นทุนการผลิตในระยะยาวเกิดจากการรวมกันของต้นทุนการผลิตในระยะสั้นที่ขนาดของโรงงานต่างๆกัน
TC STC2 STC3 STC1 STCn LTC Q ความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนรวมการผลิตระยะสั้นและระยะยาว
AC SAC1 SACn SAC2 LAC Q Q* ความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนเฉลี่ยระยะสั้นและระยะยาว Q* คือ ระดับการผลิตที่ดีที่สุดของโรงงาน ซึ่งจะเกิดขึ้น ณ ระดับ จุดต่ำสุดของทั้ง SAC และ LAC
AC LMC SMCn SMC1 SACn SMCต่ำสุด SAC1 SACต่ำสุด LAC Q Q* ความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนส่วนเพิ่มระยะสั้นและระยะยาว Q* คือ ระดับการผลิตที่ดีที่สุดของโรงงาน ซึ่งจะเกิดขึ้น ณ ระดับ จุดต่ำสุดของทั้ง SAC และ LAC
การประหยัดและการไม่ประหยัดจากการขยายขนาดการผลิต(Economies and Diseconomies of Scale) • เส้นต้นทุนเฉลี่ยในระยะยาวโดยทั่วไปจะมีรูปตัว U หรือรูปโค้งก้นกระทะ • - ช่วงของการผลิตที่ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยมีค่าลดลงโดยที่หน่วยผลิตทำการขยายผลผลิต เรียกว่า ช่วงที่ทำให้เกิดการประหยัดจากขนาด (economies of scale) • - ช่วงของการผลิตที่ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยมีค่าเพิ่มขึ้นโดยที่หน่วยผลิตทำการขยายผลผลิต เรียกว่า ช่วงที่ทำให้เกิดการไม่ประหยัดจากขนาด (diseconomies of scale)
LAC Economies of scale Diseconomies of scale Cost LMC Q* Q การประหยัดและการไม่ประหยัดจากการขยายขนาดการผลิต(Economies and Diseconomies of Scale)
2. รายรับการผลิต (Revenue) • รายรับการผลิต คือ รายได้ที่ผู้ผลิตได้รับจากการขายผลผลิตของตนตามราคาของสินค้าชนิดนั้น แบ่งออกได้เป็น (1) รายรับรวม (TR) หมายถึง ผลคูณของปริมาณการขาย (Q) และราคาสินค้า (P) ชนิดนั้น (2) รายรับเฉลี่ย (AR) หมายถึง รายรับต่อการผลิตสินค้าหนึ่งหน่วย (3) รายรับส่วนเพิ่ม (MR) หมายถึง รายรับที่เพิ่มขึ้นจากการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วย • จะเห็นได้ว่ารายรับส่วนเพิ่มก็คือความชัน (slope) ของเส้น TR นั่นเอง
รายรับ TR AR=MR=P Po Q เส้นรายรับชนิดต่างๆ (Revenue Curves) • ลักษณะของเส้น TR AR และ MR ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าที่ถูกกำหนดในตลาด (1) ถ้าราคาสินค้าของตลาดมีค่าคงที่ ณ ปริมาณการผลิตที่ระดับต่างๆ นั่นคือ P = P0
รายรับ TR AR Q MR เส้นรายรับชนิดต่างๆ (Revenue Curves) (2) ถ้าราคาสินค้าของตลาดแปรผันตามการผลิต ณ ระดับต่างๆ นั่นคือ P(Q) ถ้ากำหนดให้อุปสงค์ของตลาดแสดงความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง P = a-bQ Slope ของเส้น MR เป็น 2 เท่าของเส้น AR
ตัวอย่างรายรับ • กำหนดอุปสงค์ของตลาด คือ P = 60-Q จงหาความสัมพันธ์ของเส้นรายรับรวม (TR) รายรับเฉลี่ย (AR) และรายรับส่วนเพิ่ม (MR)
ความสัมพันธ์ระหว่าง รายรับรวม ต้นทุนรวม และกำไรสูงสุด • กำไรจากการผลิต (profits: Π)หมายถึง ผลต่างระหว่างรายรับรวม (TR) กับต้นทุนรวม (TC) นั่นคือ Π= TR – TC • ถ้า TR = TCดังนั้น Π= 0 ในทางเศรษฐศาสตร์หมายถึง กำไรปกติ (normal profits) • ถ้า TR > TCดังนั้น Π > 0 ในทางเศรษฐศาสตร์หมายถึง กำไรทางเศรษฐศาสตร์ (economic profits) • ถ้า TR < TCดังนั้น Π< 0 ในทางเศรษฐศาสตร์หมายถึง ขาดทุน (Loss)
ต้นทุน รายรับ กำไร TC TR Q Q1 Q2 Q3 ตัวอย่างการกำหนดกำไรสูงสุด เงื่อนไขที่ทำให้เกิดกำไรสูงสุด ได้แก่ ระดับการผลิตที่ทำให้ (1) MC = MR (2) d(MR)/dQ < d(MC)/dQ Π
ตัวอย่างกำไรสูงสุด • กำหนดฟังก์ชันรายรับรวมและต้นทุนรวมในการผลิต ดังนี้ TR(Q) = 20Q TC(Q) = Q3-11Q2+4Q+75 จงหาปริมาณการผลิตที่ทำให้เกิดกำไรสูงสุด