1 / 58

291320 Business Information System

291320 Business Information System. บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ. อ.ธารารัตน์ พวงสุวรรณ thararat@buu.ac.th. ระบบสารสนเทศ. Hall(2004, p.7) นิยามไว้ว่า

Download Presentation

291320 Business Information System

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 291320Business Information System บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ อ.ธารารัตน์ พวงสุวรรณ thararat@buu.ac.th

  2. ระบบสารสนเทศ • Hall(2004, p.7) นิยามไว้ว่า • “ ระบบสารสนเทศ หมายถึง เซต หรือ การรวมตัวของกระบวนการหลายกระบวนการ สำหรับงานด้านการเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผลเพื่อปรับรูปแบบของข้อมูลให้เข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศ ตลอดจนการกระจายสารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์จากการประมวลผลสู่ผู้ใช้ระบบเพื่อใช้ในการตัดสินใจ”

  3. ระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ • ระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ (Computer-based Information Systems: CBIS) คือ ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ในส่วนของการประมวลผล (processing) เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ • และใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการแสดงผลที่ได้ (output) • และกระจายผลที่ได้ (output) ไปยังบุคคล หรือหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กร

  4. องค์ประกอบของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์องค์ประกอบของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) ฐานข้อมูล(Database) การติดต่อสื่อสาร (Communication) กระบวนการ (Procedure) บุคลากร (Peopleware)

  5. องค์ประกอบของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์องค์ประกอบของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์

  6. แบบจำลองระบบสารสนเทศ Hall (2004, p.7) กำหนดแบบจำลองระบบสารสนเทศที่ประกอบด้วยส่วนย่อย 7 ส่วน ดังนี้ • ผู้ใช้ขั้นปลาย (End users) • ต้นทางข้อมูล (Data Sources) • การรวบรวมข้อมูล (Data Collection) • การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) • การจัดการฐานข้อมูล (Database Management) • การสร้างสารสนเทศ (Information Generation) • ผลป้อนกลับ (Feedback)

  7. แบบจำลองระบบสารสนเทศ • หากส่วนประกอบทั้ง 7 ส่วน ในแบบจำลอง รวมตัวกันอย่างเหมาะสมจะสนองตอบวัตถุประสงค์ของระบบสารสนเทศได้ 3 ประการ • การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการจัดการ • การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการตัดสินใจ • การสนับสนุนหน้าที่งานด้านปฏิบัติการ

  8. ระบบสารสนเทศ • ในมิติทางธุรกิจ ระบบสารสนเทศเป็นระบบที่ช่วยแก้ปัญหาการจัดการขององค์กร ซึ่งถูกท้าทายจากสิ่งแวดล้อม • ดังนั้นการใช้ระบบสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นที่จะต้องเข้าใจองค์กร (Organzations) การจัดการ (management) และเทคโนโลยี (Technology)

  9. ระบบสารสนเทศ • ระบบสารสนเทศในมุมมองของธุรกิจ

  10. ความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศ องค์กร และกระบวนการธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูงขึ้น การตัดสินใจของผู้บริหารต้องทำในเวลาที่จำกัดภายใต้เงื่อนไขต่างๆมากมาย บทบาทของสารสนเทศในองค์กรมีมากขึ้นในแง่ของการให้สารสนเทศแก่ผู้บริหารในการช่วยการตัดสินใจทางธุรกิจ จึงทำให้องค์กรตัดสินใจ นำระบบสารสนเทศหรือเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในองค์กร มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในองค์กร เช่น การเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงาน การเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน ลักษณะการดำเนินการ และวัฒนธรรมองค์กร เป็นต้น

  11. บทบาทของระบบสารสนเทศ (The Roles of Information System) • บทบาทพื้นฐานของระบบสารสนเทศ ที่นำไปสนับสนุนการปฏิบัติงานในองค์กร และทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันทางธุรกิจ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ • สนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ และปฏิบัติการทางธุรกิจ • สนับสนุนผู้บริหารในการตัดสินใจ • สนับสนุนเป็นกลยุทธ์ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเป็นบริษัทเสมือนจริง (Virtual Company)

  12. บุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ • ระดับสูง หรือระดับวางแผนยุทธศาสตร์ :เน้นรายงานสรุป รายงานแบบ What-If และการวิเคราะห์แนวโน้มต่าง ๆ (trend analysis) • ระดับกลาง หรือระดับวางแผนบริหาร :มักจะเป็นสารสนเทศตามคาบเวลา และเป็นสารสนเทศที่รวบรวมข้อมูลทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร • ระดับแผนปฏิบัติการ :ข้อมูลที่ผู้บริหารระดับนี้ต้องการ ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ • ระดับงานประจำภายในองค์กร :จะเน้นไปที่การจัดการรายการประจำวัน

  13. ประโยชน์ของระบบสารสนเทศประโยชน์ของระบบสารสนเทศ • เพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) • เพิ่มประสิทธิผล (Effectiveness)

  14. ประโยชน์ของระบบสารสนเทศประโยชน์ของระบบสารสนเทศ • เพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) • ความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน • การเก็บข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูล • การติดต่อสื่อสาร • ต้นทุนการดำเนินงาน • การประสานงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ

  15. ประโยชน์ของระบบสารสนเทศประโยชน์ของระบบสารสนเทศ • เพิ่มประสิทธิผล (Effectiveness) • การตัดสินใจ • การเลือกผลิตสินค้าและบริการ • การปรับปรุงสินค้าและบริการ

  16. เทคโนโลยีของระบบสารสนเทศเทคโนโลยีของระบบสารสนเทศ เทคโนโลยีของระบบสารสนเทศ ประกอบด้วยระบบต่าง ๆ คือ • ระบบประมวลผลข้อมูล (Data Processing System หรือ Transaction Processing System : TPS) • ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (Management Information System : MIS) • ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System : DSS)

  17. เทคโนโลยีของระบบสารสนเทศเทคโนโลยีของระบบสารสนเทศ 4. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารระดับสูง (Executive Information System : EIS) 5. ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation System : OAS) 6. ระบบปัญญาประดิษฐ์ และระบบผู้เชี่ยวชาญ (Artificial Intelligence : AI/Expert System : ES) ** ทั้งหมดที่กล่าวมาถูกออกแบบเพื่อสนับสนุนกิจกรรมภายในองค์กร ส่วนการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนภายนอกองค์กร มักอยู่ในรูปของระบบสารสนเทศบนเว็บ (Web-based Information System) **

  18. 1. ระบบประมวลผลข้อมูล (Transaction Processing : TPS) • เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการข้อมูลขั้นพื้นฐานเกือบทั้งหมด • จะประมวลผลในลักษณะ On-Line โดยเน้นที่การประมวลผลรายการประจำวัน (transaction) และการเก็บรักษาข้อมูล

  19. ลักษณะเด่นของ TPS คือ การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น งานด้านธุรกิจบริการ สิ่งที่องค์กรจะได้รับเมื่อใช้ระบบนี้คือ • ลดจำนวนพนักงาน(เสมียน) ในกรณีนี้จะใช้พนักงานกรอกข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์เพียงคนเดียวเท่านั้น • องค์กรจะมีบริการที่สะดวกรวดเร็วแก่ผู้บริโภคมากขึ้น • ลูกค้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากบริการที่ดี สะดวก และรวดเร็ว

  20. Summary reports ข้อมูลรายการ TPS MIS Exception reports 2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ(Management Information System : MIS) • คือ ระบบที่ให้สารสนเทศที่ผู้บริหารต้องการ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาพแสดงการทำงานของระบบ MIS

  21. ลักษณะของระบบ MIS ที่ดีสามารถสรุปได้ดังนี้ • จะสนับสนุนการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวัน • จะใช้ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทำงานของฝ่ายต่างๆ ในองค์การ • ช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง เรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้างได้ตามเวลาที่ต้องการ • มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร • ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูลและจำกัดการใช้งานของบุคคลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

  22. ความแตกต่างของระบบ MIS และ TPS • การใช้งานระบบฐานข้อมูลร่วมกันของ MIS แทนการใช้ระบบแฟ้มข้อมูลแบบแยกกันของระบบ TPS ทำให้มีความยืดหยุ่นพอที่จะให้สารสนเทศที่ผู้บริหารต้องการ • ระบบ MIS จะรวบรวมข้อมูลจากฝ่ายทำงานต่าง ๆ ขณะที่ TPS มีการใช้งานแยกจากกันในแต่ละฝ่าย • ระบบ MIS จะให้สารสนเทศสำหรับผู้บริหารทุกระดับ ในขณะที่ระบบ TPS จะให้สารสนเทศสำหรับระดับปฏิบัติการเท่านั้น • สารสนเทศที่ผู้บริหารต้องการ ส่วนมากจะได้รับการตอบสนองทันทีจากระบบ MIS ในขณะที่ระบบ TPS มักจะต้องรอให้ถึงสรุป (จากรายงาน)

  23. 3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ(Decision Support System :DSS) • เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากระบบ MIS อีกระดับหนึ่ง • ประกอบข้อมูล เครื่องมือ และต้นแบบ (Model) ที่ช่วยในการตัดสินใจ • DSS ใช้ข้อมูลที่มาจากภายในองค์กร คือ จาก TRS และ MIS และจากภายนอก เช่น ตลาดหุ้น คู่แข่ง อุตสาหกรรม เป็นต้น มาช่วยในการตัดสินใจ • โดยจะช่วยผู้ตัดสินใจในการเลือกทางเลือก หรืออาจมีการจัดอันดับให้ทางเลือกต่าง ๆ ตามที่ผู้ตัดสินใจกำหนด

  24. ลักษณะของระบบ DSS ที่ดี 1. จะต้องช่วยผู้บริหารในกระบวนการตัดสินใจ 2. จะต้องถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอนได้ 3. จะต้องสามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้ในทุกระดับ แต่จะเน้นที่ระดับวางแผนบริหาร และวางแผนยุทธศาสตร์ 4. จะต้องมีรูปแบบการใช้งานอเนกประสงค์ มีความสามารถในการจำลองสถานการณ์ และมีเครื่องมือในการวิเคราะห์สำหรับช่วยเหลือผู้ทำการตัดสินใจ 5. ต้องเป็นระบบที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้ ผู้บริหารต้องสามารถใช้งานโดยพึ่งความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุดหรือไม่ต้องพึ่งเลย

  25. ลักษณะของระบบ DSS ที่ดี 6. ต้องสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการข่าวสารในสถานการณ์ต่าง ๆ 7. ต้องมีกลไกช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว 8. ต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้ 9. ต้องทำงานโดยไม่ขึ้นกับระบบการทำงานตามตารางขององค์กร 10. ต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับรูปแบบการบริหารแบบต่าง ๆ

  26. ความแตกต่างของระบบ DSS และ MIS • ระบบ MIS จะถูกออกแบบให้สามารถจัดการเฉพาะกับปัญหาที่มีโครงสร้างเท่านั้น ในขณะที่ระบบ DSS ถูกออกแบบให้สามารถจัดการกับปัญหากึ่งมีโครงสร้าง หรือแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอน • ระบบ MIS จะถูกออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนงานที่แน่นอน ในขณะที่ระบบ DSS เป็นชุดของเครื่องมือที่ช่วยในสนับสนุนการตัดสินใจ ที่สามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์การตัดสินใจแบบต่าง ๆ ได้ • ระบบ MIS จะให้รายงานหรือสารสนเทศที่สรุปออกมากับผู้ใช้ ในขณะที่ระบบ DSS จะโต้ตอบกับผู้ใช้ทันที

  27. ความแตกต่างของระบบ DSS และ MIS 4. ระบบ MIS ผู้ใช้ไม่สามารถขอให้ระบบสนับสนุนสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจที่ต้องการเป็นการเฉพาะ หรือในรูปแบบเฉพาะตัว แต่ในระบบ DSS ผู้ใช้สามารถกำหนดเองได้ 5.ระบบ MIS จะให้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับผู้บริหารระดับกลาง ในขณะที่ระบบ DSS จะให้สารสนเทศที่เหมาะกับทั้งผู้บริหารระดับกลางและระดับสูง

  28. 4. ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง(Executive Information System : EIS) • เป็นระบบที่สร้างขึ้น เพื่อสนับสนุนสารสนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ • หรือ กล่าวได้ว่า ระบบนี้คือส่วนหนึ่งของ DSS ที่แยกออกมา • เพื่อเน้นการให้สารสนเทศที่สำคัญต่อการบริหารแก่ผู้บริหารระดับสูง • และมีการนำเสนอเป็นรูปแบบของเมนูและ GUI (Graphical User Interface)

  29. ความแตกต่างของระบบ EIS และ DSS • ระบบ DSS จะถูกออกแบบเพื่อให้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูง แต่ระบบ EIS จะเน้นการให้สารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ • ระบบ DSS จะมีส่วนของการใช้งานที่ใช้ไม่ง่ายเท่ากับระบบ EIS เนื่องจากระบบ EIS เน้นให้ผู้บริหารระดับสูงใช้เท่านั้นเอง • ระบบ EIS สามารถสร้างขึ้นมาบนระบบ DSS เสมือนเป็นระบบซึ่ง ช่วยให้สอบถามและใช้งานได้สะดวกขึ้น ซึ่งระบบ EIS จะส่งต่อการสอบถามนั้นไปยังระบบ DSS และทำการสรุปข้อมูลที่ระบบ DSS ส่งมาให้อยู่ในรูปที่ผู้บริหารสามารถเข้าใจได้ง่าย

  30. 5. ระบบสำนักงานอัตโนมัติ(Office Automation System : OAS) • เป็นระบบที่ใช้บุคลากรน้อยที่สุด • โดยอาศัยเครื่องมือแบบอัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างเครื่องมือเหล่านั้นเข้าด้วยกัน • มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไม่ใช้กระดาษ(Paperless System) • ส่งข่าวสารถึงกันด้วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Data Interchange) แทน

  31. 6. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System : ES) • หมายถึง ระบบที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้ชำนาญการณ์ ในสาขาใดสาขาหนึ่งคล้ายกับมนุษย์ • เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแก้ไขปัญหาหรือทำการตัดสินใจได้ดีขึ้น • และเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้(knowledge) มากกว่าสารสนเทศ • โดยใช้หลักการการทำงานด้วยระบบ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

  32. การตอบสนองของระบบสารสนเทศกับผู้บริหารในองค์กรการตอบสนองของระบบสารสนเทศกับผู้บริหารในองค์กร ผู้บริหาร ระดับสูง EIS DSS MIS ผู้บริหารระดับกลาง ผู้บริหารระดับปฏิบัติการ TPS พนักงานประจำภายในองค์กร

  33. การพัฒนาระบบสารสนเทศ • คือ การดำเนินงานตามขั้นตอนเพื่อสร้างระบบงานคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ • โดยร่วมมือกันระหว่างผู้ใช้ระบบ ผู้พัฒนาระบบ และเจ้าของระบบหรือองค์กร • ทำให้ได้ระบบสารสนเทศที่ช่วยในการปฏิบัติงาน การจัดการ การตัดสินใจ การวางแผน • และการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้นกว่าระบบงานเดิม

  34. การสำรวจเบื้องต้น การวิเคราะห์ความต้องการ การออกแบบระบบ การพัฒนาและติดตั้งระบบ การดูแลรักษา วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC)

  35. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) การสำรวจเบื้องต้น • เป็นการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินงานขององค์การ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการดำเนินงานในปัจจุบัน • สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาและรวบรวมความต้องการของผู้ใช้ • โดยการพูดคุย สัมภาษณ์ ให้ตอบแบบสอบถาม • ศึกษาจากแผนภูมิองค์กร คู่มือการปฏิบัติงาน แฟ้มข้อมูล รายงานต่าง ๆหรือสังเกตจากการปฏิบัติงานจริง • จะได้นำไปกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบใหม่ • การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของระบบหรือเรียกว่าการศึกษาความเป็นไปได้

  36. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) มีด้วยกัน 3 ด้านหลักๆ คือ ความเป็นไปได้ด้านเทคนิค (technicalfeasibility) ความเป็นไปได้ด้านเศรษฐกิจ (economicfeasibility) ความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติงาน (operationalfeasibility) การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)

  37. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) การวิเคราะห์ระบบ • เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การ • โดยการค้นหา รวบรวม และวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ระบบ • มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบปัจจุบัน • และกำหนดหน้าที่ของระบบใหม่ที่สามารถแก้ปัญหาและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้

  38. การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา การวิเคราะห์กระบวนการ การวิเคราะห์ลักษณะของผลลัพธ์ การวิเคราะห์สิ่งนำเข้า วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) ขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ

  39. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) ออกแบบระบบสารสนเทศ • เป็นการวางโครงสร้างของระบบการทำงานที่ได้คิดไว้สู่การปฏิบัติ • โดยแจกแจงรายละเอียดของงานแต่ละอย่างให้ชัดเจน • แล้วจัดทำเป็นแบบจำลอง • จากนั้นจึงนำแบบจำลองนั้นส่งให้นักพัฒนาโปรแกรมเพื่อสร้างระบบต่อไป

  40. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) ขั้นตอนการออกแบบระบบสารสนเทศ การออกแบบระบบทางตรรกะ การออกแบบระบบทางกายภาพ

  41. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) การออกแบบฟังก์ชัน การออกแบบลำดับงาน การออกแบบการประมวลผล การออกแบบระบบทางตรรกะ

  42. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) การออกแบบส่วนนำเข้า การออกแบบส่วนแสดงผล การออกแบบส่วนต่อประสานผู้ใช้ การออกแบบฐานข้อมูล การออกแบบระบบทางกายภาพ

  43. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) พัฒนาระบบสารสนเทศ การออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การทดสอบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การจัดทำเอกสารประกอบระบบ

  44. วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SystemDevelopmentLifeCycle –– SDLC) 1. การติดตั้งระบบสารสนเทศ 2. การบำรุงรักษาระบบสารสนเทศ 3. การประเมินระบบสารสนเทศ การติดตั้ง บำรุงรักษา และประเมินระบบสารสนเทศ

  45. ตัวอย่างแบบจำลองการพัฒนาระบบตัวอย่างแบบจำลองการพัฒนาระบบ • Waterfall • Adapted Waterfall • Evolutionary • Incremental • Spiral • Rapid Prototype • Rapid Application Development (RAD) • Joint Application Development (JAD) • Relational Unified Process (RUP)

  46. Waterfall Model

  47. Adapted Waterfall Model

  48. Evolutionary Model

  49. Incremental Model

  50. Spiral Model • เหมาะกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ • ทำแต่ละขั้นตอนหลายรอบตามความต้องการของผู้ใช้ • แต่ละขั้นตอนต้องทำต้นแบบ • มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงทุกขั้นตอน • มีลักษณะเป็นวงจรวิเคราะห์-ออกแบบ-พัฒนา-ทดสอบ (Analysis-Design-Implementation-Testing) และจะวนกลับมาในแนวทางเดิมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ Product ที่สมบูรณ์ - เหมาะสำหรับระบบงานที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงบ่อยเนื่องจากในแต่ละเฟสนั้นจะมีการวิเคราะห์ความต้องการใหม่ และวิเคราะห์ความเสี่ยงว่าจะทำการพัฒนาต่อไปอีกหรือไม่ หรือจะเพียงพอแล้วกับเฟสนี้เท่านั้น

More Related