1 / 24

S.N.P. GROUP OF COMPANIES

S.N.P. NEWS. ข่าวสารฉบับที่ 140. S.N.P. GROUP OF COMPANIES. CLICK HERE. Free. www.snp.co.th Tel.0-2333-1199 ( 12 Line ). 1. CEO Articles. 2. Global News. 3. Inside Customs. 4. Supply & Demand. 5. SNP NEWS SPECIAL . 6. ทัศนา นานาท่าเรือ. All about Logistics. 7.

tomas
Download Presentation

S.N.P. GROUP OF COMPANIES

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. S.N.P. NEWS ข่าวสารฉบับที่ 140 S.N.P. GROUP OF COMPANIES CLICK HERE Free

  2. www.snp.co.thTel.0-2333-1199 ( 12 Line ) 1 CEO Articles 2 Global News 3 Inside Customs 4 Supply & Demand 5 SNP NEWS SPECIAL 6 ทัศนา นานาท่าเรือ All about Logistics 7 NEW PROMOTION Privilege Society 8 SNP Joke 9 Logistics Specialist and International Freight Forwarder

  3. CEO Articles โลจิสติกส์ไทยจะสู้อย่างไร ผมพยายามกล่าวถึงความช่วยเหลือที่รัฐบาลไทยมีให้แก่ธุรกิจโลจิสติกส์มา 2 ฉบับ มุมมองของผมนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะทุ่มเทพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศอย่างไร ไม่ว่าจะให้ความช่วยเหลือและเงินกู้ต่อธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทยอย่างไร สุดท้ายผู้ได้ประโยชน์สูงสุดก็คงหนีไม่พ้นธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามชาติขนาดใหญ่ไปได้ ทำไมหรือครับ ? ประการแรก ในโลกทุนนิยมปัจจุบัน เป็นโลกของปลาใหญ่ไล่กินปลาเล็ก ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลจะให้ความช่วยเหลืออย่างไร สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่สามารถสร้างข้อกีดกันลงไปได้ว่า ความช่วยเหลือเหล่านี้ ให้แต่เฉพาะธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทยไปได้ เมื่อกีดกันไม่ได้ โตรงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่รัฐบาลใส่ลงไปเพื่อพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศ สุดท้ายกิจการข้ามชาติขนาดใหญ่ก็ต้องได้มากกว่าอยู่ดี ประการที่สอง ธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามชาติขนาดใหญ่ที่เข้ามาดำเนินการในประเทศไทย มิใช่เขาได้เปรียบทางด้านการเงินอย่างเดียว เพราะหากเป็นเงินอย่างเดียวเพียงรัฐบาลหนุนเงินให้ธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทย ทุกอย่างคงจบอย่างง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามชาติขนาดใหญ่ ยังประกอบด้วยความรอบรู้ และระบบบริหารจัดการที่มีพลังและมีประสิทธิภาพสูง สิ่งนี้คือข้อเสีย เปรียบที่ธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทย จนทำให้สู้เขาลำบาก ประการสุดท้าย คือการไร้เอกภาพของธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทย ที่ต่างคนต่างทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าของประเทศ จนเกิดภาพของสมาคมมากมายอย่างที่ผมได้กล่าวไว้ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อ่านต่อหน้า 2

  4. ผมจึงสรุปว่า การช่วยเหลือของรัฐบาล สุดท้ายแล้ว ธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามชาติขนาดใหญ่คงได้ประโยชน์มากกว่าธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทย เมื่อหันมาดูธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยในปัจจุบัน จะพบว่า ส่วนใหญ่ที่ดำเนินอยู่ได้ทั้ง 3 กลุ่ม อันประกอบด้วยกลุ่มที่สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างประเทศครบวงจรได้ กลุ่มบริการด้านพิธีการศุลกากรเป็นหลัก และกลุ่มเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวกับการขนส่งภายในประเทศ คลังสินค้า และเครื่องมือหนัก ทั้ง 3 กลุ่มนี้ ดำเนินการอยู่ได้ภายใต้ประสบการณ์ที่สะสมกันมาอย่างยาวนานของผู้บริหารเป็นหลัก เป็นประสบการณ์ที่ขาดความรู้ในระบบบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์อย่างแท้จริง และเป็นความรู้ที่ทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทยมีสภาพด้อยกว่าธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามชาติอย่างชัดเจน ดังนั้นหากจะให้ธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทย ต่อสู้กับธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามชาติขนาดใหญ่ได้ รัฐบาลโดยกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ ต้องสร้างหลักสูตรความรู้ด้านการบริหารการจัดการธุรกิจโลจิสติกส์ที่ตรงเป้าหมายอย่างแท้จริง ให้แก่ธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทยที่มีเพียงประสบการณ์ ให้มีความรู้ในระดับปริญญาตรี โท และเอก ที่มิใช่หลักสูตรแบบนักศึกษาจบใหม่ในปัจจุบันซึ่งมุ่งเน้นด้านทฤษฎีมากกว่า โดยนำประสบการณ์ที่ทุกคนมี มาผนวกให้เป็นตำราใหม่ขึ้น แล้วให้แต่ละกิจการไปต่อสู้ตามวิถึทางธุรกิจอย่างผุ้มีความรู้อย่างแท้จริง ผมเคยนำเรื่องนี้ เสนอต่อผู้บริหารในกระทรวงพาณิชย์ไปแล้วครั้งหนึ่ง วันนี้ ผมจึงยกข้อเสนอนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะผมมองว่า ประสบการณ์ร่วมกับการศึกษาอย่างเป็นระบบ จะทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ SME ของไทย สู้ได้ครับ สิทธิชัย ชวรางกูร กลับสู่หน้าหลัก

  5. Global News แบงก์ผวาปล่อยกู้ผู้ส่งออก เหตุบาทแข็งพ่นพิษทำรายได้หดแล้ว นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการบางราย เริ่มประสบปัญหาการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินแล้ว เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ ได้นำประเด็นการแข็งค่าของเงินบาทมาประเมินเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการพิจารณาสินเชื่อ โดยเฉพาะผู้ส่งออก ที่พบว่างบการเงินมีรายได้ลดลงจากที่ประเมินไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาถึง 300,000 ล้านบาท จากกรณีที่นำเงินจากการขายสินค้าสกุลเหรียญสหรัฐฯ มาแปลงเป็นเงินบาท จึงต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์พี) ออกไปก่อนเพื่อป้องกันการไหลเข้าของเงินต่างประเทศ จนทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าเข้าไปอีก นายสมมาตกล่าวว่า ส.อ.ท. ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เร่งหามาตรการสกัดการไหลเข้าของเงินทุน หรือแทรกแซงให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง เพราะหากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกตลาด ในอนาคตอาจทำให้ผู้ประกอบการที่มีเงินทุนน้อยต้องปิดกิจการ หรือต้องปลดคนงานเพื่อประคองกิจการ ที่ผ่านมา หลังจากที่ ส.อ.ท. ได้ไปหารือกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง ต่างไม่เห็นด้วยกับนโยบายของ ธปท. ที่ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากขนาดนี้ เพราะไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวม แม้อุตสาหกรรม ที่นำเข้าวัตถุดิบหรือผู้ที่จะชำระหนี้ต่างประเทศจะได้รับอานิงสงส์ก็ตาม อ่านต่อหน้า 2

  6. นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว.คลัง กล่าวว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยทั้งเชิงบวก และลบ โดยเชิงลบคือตัวของผู้ส่งออก แต่ผู้ส่งออกขนาดใหญ่สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง และบางส่วนมีต้นทุนเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ เมื่อหักลบกันก็ไม่ทำให้สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันมากนัก แต่ที่เป็นห่วงคือเอสเอ็มอี ที่มีต้นทุนการบริหารความเสี่ยงที่สูงกว่ารายใหญ่ ขณะนี้กำลังประเมินว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นปัญหาต่อสภาพคล่องของเอสเอ็มอีหรือไม่ หากมีปัญหาจริง สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จะมีมาตรการเข้ามาช่วยได้หรือไม่ นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทยกล่าวว่า เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารมีวอลุ่มการซื้อประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มีผลกระทบทำให้กำหรไตรมาส 3 ปรับลดลง แต่ทั้งปีน่าจะกระทบกำไรไม่ถึง 700 ล้านบาท สำหรับค่าเงินบาทวันที่ 13 ก.ย. ปิดตลาดที่ 30.74/76 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการพักฐานระยะสั้นหลังไม่ผ่านแนวต้าน 30.70 รวมทั้งนักลงทุนรอความชัดเจนแนวทางแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า ไทยรัฐออนไลน์ อ่านต่อหน้า 3

  7. EXIM BANK ช่วยผู้ส่งออกลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในภาวะเงินบาทแข็ง ดร.นริศ ชัยสูตร ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นจนอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจภาคการส่งออก EXIM BANK พร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ส่งออกไทยโดยการให้สินเชื่อเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการช่วงก่อนส่งออกเป็น 2 สกุลเงิน ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐหรือบาท ทั้งนี้ ผู้ส่งออกสามารถเลือกใช้การกู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและนำเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลบาทตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่ต้องรอการแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐหลังการส่งออกและนำเงินดอลลาร์สหรัฐที่ได้รับจากการขายสินค้ามาชำระหนี้เงินกู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงเป็นสกุลเงินบาท เป็นการช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้แก่ผู้ส่งออก อย่างไรก็ตาม หากผู้ส่งออกเลือกใช้เงินกู้สกุลเงินบาท ผู้ส่งออกสามารถทำการขายเงินตราต่างประเทศที่จะได้รับจากการส่งออกเป็นการล่วงหน้าได้ โดยการทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) ซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ผู้ส่งออกไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพราะได้ทำสัญญาจองอัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้าแล้ว ผู้ส่งออกจึงสามารถคำนวณต้นทุนและกำไรที่แน่นอนได้ตั้งแต่วันที่ทำ Forward Contract Forward Contract ช่วยให้ลูกค้าของ EXIM BANK ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับเงินค่าสินค้าต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ทำให้กำไรของธุรกิจส่งออกไม่ผันผวนไปตามภาวะการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง อ่านต่อหน้า 4 ที่มา : ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

  8. EXIM BANK จับมือ 9 ธนาคารให้บริการ “ประกันการส่งออก” เพื่อลดความเสี่ยง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และ 9 ธนาคารประกอบด้วย ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกันให้คำปรึกษาแนะนำและบริการประกันการส่งออก (EXIMSurance) รวมทั้งบริการอื่นๆ ด้านการค้าระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกไทยบุกเบิกหรือขยายตลาดการค้าโลกอย่างมั่นใจแม้ในภาวะวิกฤตการเงินโลกและเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้ส่งออกที่มาลงทะเบียนในงานจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ อาทิ ส่วนลดค่าวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อ/ธนาคารผู้ซื้อในต่างประเทศ สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0 2617 2111 ต่อ 2733-7 ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับธนาคารทั้ง 9 แห่งจะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารนั้นๆ สามารถเข้าถึงบริการประกันการส่งออกของ EXIM BANK ได้โดยสะดวกขึ้นโดยการติดต่อผ่านธนาคารที่ตนเองมีธุรกรรมอยู่ ทั้งยังมีโอกาสได้รับการขยายสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากกรมธรรม์ประกันการส่งออกของ EXIM BANK ถือเป็นหลักประกันประเภทหนึ่งที่สามารถโอนสิทธิการรับค่าชดเชยสินไหมทดแทนให้แก่ธนาคารผู้ให้กู้ได้ ทั้งนี้ บริการประกันการส่งออกช่วยให้ผู้ส่งออกไทยสามารถเสนอเงื่อนไขการชำระเงินที่เหมาะสมและแข่งขันได้ให้แก่ผู้ซื้อในต่างประเทศจำนวนกว่า 200 ประเทศทั่วโลก โดย EXIM BANK จะคุ้มครองความเสี่ยงทางการค้าได้แก่ กรณีผู้ซื้อล้มละลาย ผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้า และผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า หรือความเสี่ยงทางการเมืองได้แก่ การควบคุมการโอนเงินกลับมายังประเทศไทย ผู้ซื้อไม่สามารถนำสินค้าเข้าไปในประเทศได้ และเกิดสงคราม จลาจล ปฏิวัติ รัฐประหาร โดย EXIM BANK จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้สูงสุดถึง 90% ของความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ซื้อและติดตามหนี้ให้ในกรณีที่เกิดปัญหา ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยในตลาดเดิม รวมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในตลาดใหม่ เพิ่มโอกาสให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศของไทยเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดได้มากขึ้น ที่มา :RYT9 อ่านต่อหน้า 5

  9. ท่าเรือพลิกทำเลทองหมื่นล้าน ชงบอร์ด-ครม.เตรียมผุดคอมเพล็กซ์กระหึ่ม นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า กทท.เตรียมยื่นข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการบริหารจัดการทรัพย์สินของ กทท.ให้คณะกรรมการพิจารณาในวันที่ 22 ก.ย.นี้ ก่อนสรุปเสนอให้กระทรวงคมนาคมและ ครม. พิจารณาอนุมัติต่อไป เนื่องจากก่อนหน้านี้บอร์ด กทท.เห็นว่า การลดพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพฯ (คลองเตย) บริเวณที่ดินติดริมน้ำฝั่งตะวันตก หลัง 10 ปี อาจก่อให้เกิดปัญหาหากต้องการเพิ่มพื้นที่ ดังนั้น คณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องได้ปรับให้ใช้พื้นที่ว่างฝั่งตะวันออก เพื่อชดเชยหากมีปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นภายในท่าเรือ การใช้พื้นที่ที่ออกแบบเบื้องต้นยังคงเหมือนเดิม การท่าเรือฯ ยังพร้อมที่จะพัฒนาและเพิ่มศักยภาพที่ดินในโครงการนำร่อง 4 แปลง พื้นที่กว่า 200 ไร่ ซึ่งจะต้องเสนอ ครม.ให้พิจารณาอนุมัติ เนื่องจากเข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ศ.2535 เพราะมูลค่าการลงทุนเกินกว่า 1,000 ล้านบาท" สำหรับที่ดิน 4 แปลง ประกอบด้วย พื้นที่ขนาด 17 ไร่ ข้างอาคารสำนักงานใหญ่ ที่ กทท. มีแนวคิดพัฒนาเป็นออฟฟิศบิวดิ้ง, พื้นที่ 54 ไร่ บริเวณอาคารทวิช-โรงพยาบาลการท่าเรือฯ มีแนวคิดพัฒนาเป็นศูนย์โลจิสติกส์, พื้นที่ 137 ไร่ บริเวณอู่รถเมล์ ขสมก.-ตลาดคลองเตยเลียบถนนสุนทรโกษา มีแนวคิดพัฒนาเป็นบิสซิเนสปาร์ค และพื้นที่ 15 ไร่ บริเวณคลังสินค้าผ่านแดนติดทางด่วน ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะที่ดินมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 10,000-12,000 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ กทท.เคยเสนอแนวคิดในการพัฒนาที่ดินดังกล่าวมาแล้ว แต่ติด พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 35 และกระทรวงการคลังมีความเห็นอยากให้ กทท.จัดทำแผนแม่บทให้ครบทั้ง 2,353 ไร่ เพื่อให้แน่ใจว่าแปลงที่เป็นโครงการนำร่องมีแผนพัฒนาที่สอดคล้องกันภายใต้แนวคิดพัฒนาในรูปแบบโมเดิร์น พอร์ท ซิตี้. ประชาชาติธุรกิจ กลับสู่หน้าหลัก

  10. Inside Customs ตอน.. จับเสือมือเปล่า กฎหมายศุลกากรหรือ พรบ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ถือเป็นกฏหมายอีกหนึ่งฉบับนะครับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนกฎหมายฉบับอื่นๆ ซึ่งข้อเท็จจริงสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการที่มีภาระกิจต้องเข้าไปร่วมสังคยนากับศุลกากรจำต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจ กฎหมายศุลกากรเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่รัฐในการบังคับภาคเอกชนในลักษณะ Sanction โดยมีการกำหนดความผิดและโทษทางอาญาเอาไว้โดยเฉพาะอย่างชัดเจน โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงหลักทั่วไปในกฎหมายอาญาเลยนะครับ (ตาม ม.120) ซึ่งเพราะเหตุนี้แหล่ะ ทำให้กฎหมายศุลกากรมีความแตกต่างจากหลักกฎหมายทั่วไป โดยเฉพาะในส่วนของ “เจตนาในการกระทำผิด” ตามกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรค 1 กล่าวไว้ว่า (แหม...วันนี้แลดูเป็นนักวิชาการจังเลย) “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำไปด้วยความประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาทหรือเจตนา” พูดภาษาชาวบ้านๆ ก็คือ หากทำผิด แต่ไม่ได้มีเจตนา เช่น คนวิ่งตัดหน้ารถเราและเราชนคนนั้นตาย โทษที่จะได้รับก็จะลดหย่อนลงไป เพราะผู้กระทำผิดขาดเจตนา (คนไม่รู้จักกัน จะชนกันให้ตายไปทำไมล่ะคร้าบ) ถ้ายึดหลักแบบนี้ แค่ความผิดทั่วไปทางกฎหมาย ก็ยังบ่งชี้เจตนาได้ยากเลยนะครับ และยิ่งเป็นความผิดทางศุลกากรด้วยแล้วนั้น หลักในเรื่องกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา นั้น ไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้เลยครับ เพราะลองคิดดูนะครับ บริเวณชายแดนของประเทศไทยนั้นกินอาณาบริเวณค่อนข้างมากถูกไหมครับ ทำให้ยากเหลือเกินในการวินิจฉัยเจตนาของผู้กระทำผิดว่าที่จริงแล้วคิดอย่างไรกันแน่ ม.16ของกฎหมายศุลกากรเลยฟันธง ฉั๊วะ ไปเลยครับว่า ไม่ว่าท่านจะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม รับโทษเต็มๆ เท่ากันไปเลย อ่านต่อหน้า 2

  11. (โดยเฉพาะ ม. 27 และ ม.99 ซึ่งผมจะหาเวลามาเจาะลึกกันภายหลัง) เรื่องของการพยายามกระทำผิดก็เป็นอีกหนึ่งจุดนะครับ ที่ทำให้กฎหมายศุลกากร แตกต่าง โดดเด่นออกมาจากหลักกฎหมายทั่วๆไป ตามหลักประมวลกฎหมายอาญา จะลงโทษแก่ผู้พยายามกระทำผิดโดยทั่วไป เพียงสองในสามส่วนของอัตราโทษที่กำหนดไว้ หรืออาจได้รับโทษเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น หากมีการลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำได้ไม่สำเร็จ แต่กฎหมายศุลกากรไม่ใช่อย่างนั้นครับพี่น้อง ความผิดสำเร็จแล้วหรือไม่ ไม่สำคัญ ไม่ว่าท่านโดนจับได้ในขณะผ่านพิธีการเลย หรือโดน Post Audit หลังจากล่วงเลยไปแล้วเป็นแรมปี ก็โทษเท่ากัน จั๋งหนับ ทั้งหมด ความแตกต่างของหลักกฎหมายศุลกากรกับหลักกฎหมายทั่วไปนั้นมีมากมายหลายประเด็นจริงๆ ผู้นำเข้า-ส่งออก ที่ไม่เปิดใจเรียนรู้หลักกฎหมายทางศุลกากร จึงไม่ต่างกับนายพรานที่เข้าไปจับเสือด้วยมือเปล่าเล่าเปื่อยแต่อย่างใด อันตรายมากนะเชื่อผมเถอะครับ กลับสู่หน้าหลัก โดย...ชิปปิ้งสีเทา

  12. Supply & Demand ข้าวหอมมะลิ : วิธีการตรวจสอบข้าวหอมมะลิ สวัสดีค่ะท่านผู้ประกอบการ สำหรับสัปดาห์นี้เรามาดูกันค่ะว่าข้าวหอมมะลิก่อนจะนำไปขายได้นั้น จะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างพิถีพิถันกันขนาดไหน วิธีการตรวจความเป็นข้าวหอมมะลิ การตรวจสอบที่สามารถยืนยันว่าเป็นข้าวหอมมะลิแท้หรือไม่นั้น ปัจจุบันมีเพียงวิธีเดียว คือ การตรวจสายพันธุกรรม (DNA) ซึ่งมีสถาบันที่สามารถตรวจสอบได้อยู่น้อย* มีค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบค่อนข้างสูง และต้องใช้เวลาในการตรวจสอบพอสมควร นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางในการบ่งชี้หาความเป็นข้าวหอมมะลิ คือ วิธีการตรวจทางกายภาพ * สถาบันตรวจสอบเอกลักษณ์พันธุกรรม ข้าวหอมมะลิ (DNA)1. สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์2. ศูนย์ปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน วิธีการตรวจลักษณะเมล็ดข้าวเปลือกหอมทางกายภาพ พิจารณาจาก ลักษณะสีของเปลือก ขนาดรูปทรงของเมล็ดข้าวเปลือก ลักษณะพิเศษที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่บ่งชี้ว่าเป็นข้าวหอมอะไร (ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญ) เช่น ข้าวหอมมะลิ 105 มีจุกหางแยกออกชัดเจน ข้าวหอมมะลิ กข.15 ที่จุกหางมีลักษณะงอนขึ้นมากกว่า และเมล็ดจะกว้างกว่า ข้าวปทุมธานี 105 จะมีลักษณะคล้ายกับ หอมมะลิ 105 ต่างกันที่จุกหางจะแยกน้อยกว่า อ่านต่อหน้า 2

  13. วิธีการตรวจลักษณะเมล็ดข้าวสารหอมที่ผ่านการกะเทาะเอาเปลือกและรำ ออกแล้ว • - การตรวจทางกายภาพ(มีมาตรฐานกำหนด) พิจารณาจาก ลักษณะรูปทรงของเมล็ดข้าวขนาดความยาวของเมล็ดข้าวและความยาวเฉลี่ย ต่อความกว้างของเมล็ด ลักษณะพิเศษ ที่บ่งชี้ว่าเป็นข้าวหอมอะไร และวิธีตรวจสอบเมล็ดข้าวสุกที่ต้มในน้ำเดือด • - การตรวจทางเคมี คือ การทดสอบหาปริมาณอมิโรส การทดสอบหาปริมาณข้าวเจ้าอื่นที่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิไทยปน โดยการหาค่าการสลายเมล็ดข้าวในด่าง หรือการย้อมสี และการทดสอบความสดของข้าว • ความสำคัญทางเศรษฐกิจของข้าวหอมมะลิ • ประเทศไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ผลิตและส่งออก ข้าวหอมมะลิ ปริมาณผลผลิตข้าวหอมมะลิทั่วประเทศมีประมาณ 6.4 ล้านตัน (ปี 2548/2549) โดย ข้าวหอมมะลิ 100 เปอร์เซ็นต์ ชั้น 2 มีปริมาณการส่งออกมากที่สุด (ประมาณ 1.3 ล้านตัน) และมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดเมื่อเทียบกับข้าวหอมมะลิชนิดอื่นๆ • แนวโน้มการผลิตและการส่งออกข้าวหอมมะลิในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ความต้องการบริโภคข้าวหอมมะลิในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยตลาดส่งออกข้าวหอมมะลิสำคัญของไทย คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง แคนาดา และประเทศในแถบแอฟริกา เช่น ไอเวอรีโคท สาธารณรัฐกานา อ่านต่อหน้า 3

  14. กลับสู่หน้าหลัก

  15. SNP NEWS SPECIAL ความคืบหน้าโควต้าสิ่งทออินเดีย จากข่าว "ปากีฯ - อินเดียห้ามส่งออกเส้นด้าย กระทบสิ่งทอไทยอ่วม" ที่ลงใน SNP News ฉบับที่ 139 ที่ผ่านมาทางทีมข่าว SNP News ได้ทำการสอบถามไปยังเอเย่นท์ที่ประเทศอินเดียเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมแล้วได้รับการยืนยันว่าทางประเทศอินเดียกำลังประสบปัญหาราคาในประเทศของฝ้ายและเส้นด้ายที่ทำจากฝ้ายพุ่งสูงขึ้นมาก ทางรัฐบาลประเทศอินเดียจึงได้ออกมาตราการป้องกันโดยการออกโควต้าในการส่งออกสินค้าประเภทฝ้าย โดยมาตราการนี้จะเริ่มใชวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2554 โควต้าในการส่งออกคือ 5,500,000 เบล โดยแต่ละเบลสามารถบรรจุได้ไม่เกิน 170 กิโลกรัม เมื่อหมดโควต้าในการส่งออกนี้แล้ว ทางรัฐบาลจะไม่ให้มีการส่งออกฝ้ายออกจากประเทศอินเดีย อย่างไรก็ดีทางกระทรวงสิ่งทอในประเทศอินเดียจะทำการหารือและสรุปผลเกี่ยวกับโควต้านี้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 อีกครั้ง หากผู้ประกอบการท่านใด มีความจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าประเภทฝ้ายและสิ่งทอจากฝ้ายจากประเทศอินเดีย ควรทำการติดต่อเพื่อให้ผู้จัดนำหน่ายทำการขอโควต้าเป็นการด่วนค่ะ กลับสู่หน้าหลัก เพนกวิ้นตัวกลม

  16. ทัศนา นานาท่าเรือ ไปชม Port of Jakarta กับ โย่ง ยิงยาว สวัสดีครับท่านผู้ประกอบการ ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ กับฟ้าฝนที่ยังตกกันแบบไม่ลืมหูลืมตา มองไปมองมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็เห็นว่า ทาต่างประเทศหลายๆ ประเทศก็ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางจีน ไต้หวัน ฮ่องกง หรือ เลยไปถึงเกาหลี ก็ถูกพายุเข้าไปตามๆ กัน เรียกว่าถ้า ท่านผู้ประกอบการที่จะจองเรือส่งสินค้าไม่ว่าจะต้นทางหรือปลายทาง ก็ตรวจสอบตารางเรือกันให้ดีดีนะครับ ถึงผมจะเกริ่นนำไปสักเล็กน้อย แล้วเกี่ยวกับประเทศทางตอนเหนือของไทย แต่ท่าเรือที่เราจะนำเสนอวันนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับท่าเรือทางเหนือเหล่านั้น แต่วันนี้ผมจะพาไปชมท่าเรือทางใต้ คือ Port of Jakarta ครับ เมืองจาการ์ตา เป็นเมืองหลวงของประเทศ อินโดนีเซีย ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Java ใกล้กับปากน้ำ Ciliwung มีประชากรประมาณ 9.5 ล้านคน เป็นเมืองที่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมืองของประเทศ นอกจากนี้ยังนับเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ของโลกเลยทีเดียว สมัยก่อนประมาณปี 1949 ท่าเรือนี้มีชื่อเดิมว่า Batavia และเปลี่ยนชื่อมาเป็น Djakarta จนปัจจุบัน รู้จักกันในชื่อ Jakarta ครับ แต่ถ้าย้อนกลับไปลึกๆสมัยโบราณ เลยนั้น มีชื่อว่า Sunda Kelapa ครับ อ่านต่อหน้า 2

  17. ท่าเรือ หรือ เมือง Jakarta นั้น อุดมไปด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การผลิต หรือการค้าขาย โดยเน้นหนักไปทาง ผลิตภัณฑ์พวกอุปกรณ์ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ เครื่องยนต์ วิศวกรรมเครื่องกล และวิทยาศาสตร์เวชภัณฑ์ นอกจากนี้ท่าเรือ หรือ เมือง Jakarta นั้นยังมีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างยาวนาน แต่ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับทาง ท่าเรืออย่าง Manila ของ ฟิลิปปินส์ ที่ถูกการเข้ามาของต่างชาติอย่าง ชาติ โปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ในยุคล่าอานานิคม สร้างผลกระทบอย่างมาก ด้วยความที่เป็นประเทศที่เป็นเกาะแก่งทางภาคใต้ และมีความอุดมสมบูรณ์เรื่องของเครื่องเทศในสมัยก่อน ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 การเข้ามาของชาวญี่ปุ่นและชาวจีนได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเศรษฐกิจการค้ามากขึ้น จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ละครับ ที่ท่าเรือ Jakarta ค่อยเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในสายตาของประชาคมโลก และประธานาธิบดี Sukano ได้ดำเนินการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ นำร่องโดยโครงการหลายๆ โครงการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ แต่สุดท้ายการพัฒนาก็ต้องมาสะดุดลงจากปัญหาเศรษฐกิจที่ลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาคในยุคปลาย 1990 ซึ่งซ้ำร้าย เพราะประเทศต้องตกอยู่ในภาวะคับขันจากปัญหาทางการเมือง (เหมือนเมืองไทยเมื่อเร็วๆนี้เลยครับ) เกิดการประท้วง การใช้ความรุนแรง ส่งผลให้ทั้งนักศึกษา และประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก (มากกว่าของเราเยอะครับ) ตึกรามบ้านช่องก็เสียหายไปค่อนข้างมากทีเดียว จนท้ายที่สุด ประธานาธิบดี Suharto ต้องลาออกจากการเป็นประธานาธิบดี จนถึงทุกวันนี้ เหตุการณ์ทางการเมืองของอินโดนีเซียก็ยังไม่ค่อยสู้ดีนักซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ อย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนแรกครับ ว่าท่าเรือ Jakarta นั้นถือเป็นท่าเรือหลักของประเทศ ที่รองรับสินค้านำเข้าและส่งออกกว่า 45 ล้านตัน คิดเป็นกว่า 4 ล้าน TEU ทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลากว่า 150 ปี ที่ผ่านมานั้น ทางท่าเรือ Jakarta เองก็ไม่ได้นับว่ามีการพัฒนาอะไรมากนัก อาจจะเนื่องมาจากผลกระทบทางการเมือง ซึ่งเมื่อประมาณปี 2004 ที่ผ่านมานี้เอง ที่ทางการของ Jakarta ได้เริ่มหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีของทางญี่ปุ่นเพื่อนำเข้ามาพัฒนาศักยภาพท่าเรือ Jakarta นี้มากขึ้น โย่ง ยิงยาว กลับสู่หน้าหลัก

  18. All About Logistics Shanghai World Expo 2010 คงยังไม่สายที่ผู้เขียนจะชวนให้ท่านผู้อ่านมาชื่นชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมของ Pavilion จากประเทศต่างๆ ที่แข่งขัน ประชันทั้งไอเดียและฝีมือในการก่อสร้าง ในงาน Shanghai World Expo ในปี 2010 นี้ จะเห็นได้ว่า แต่ละประเทศนั้นพยายามที่จะสื่อให้ชาวโลกเห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรมประจำชาติ ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวกับนวัตกรรม และศิลปะแนวใหม่ที่ดูล้ำยุคมากขึ้น ในส่วนของประเทศไทยเองก็พยายามไม่น้อยหน้าชาติใด (คาดว่าคงอยากแก้ตัวจากงานครั้งที่แล้ว ที่จัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง) เพราะว่ามียอดผู้เข้าชมสูงสุด ติดอันดับ Top 5 กันเลยทีเดียว ก็หวังว่า คนไทยน่าจะได้มีโอกาสได้ชื่นชมความงดงามเหล่านี้ในประเทศตนเองอีกสักครั้ง แต่ที่ชวนคุยในวันนี้ ไม่ได้จะชวนคุยแค่เรื่องความสวยความงามของสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่อยากจะชวนให้ท่านผู้อ่านลองมองย้อนกลับไปก่อนที่ pavilion หรือ สถาปัตยกรรมต่างๆจะสร้างเสร็จ ลองนึกดูว่า ความโกลาหลจะบังเกิดขึ้น ณ ที่จัดงานอย่างไรเมื่อทีมงานของแต่ละประเทศก็ต่างที่จะต้องเร่งมือทำงานกันข้ามวันข้ามคืนเพื่อให้ผลงานของตนเสร็จสิ้นอย่างสวยงาม และทันเวลา ระบบโลจิสติกส์จึงต้องเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการจัดงาน Shanghai World Expo 2010 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อ่านต่อหน้า 2

  19. การจัดการงาน Expo ครั้งนี้ผมถือว่าเป็นการพิสูจน์การจัดการ logistics ของประเทศจีน ว่ามีประสิทธิภาพ และได้ประสิทธิผลอย่างไร ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจทั้งฝ่ายผู้จัด และผู้เข้าชมงาน ระบบการจัดการ การเคลื่อนย้ายวัสดุก่อสร้าง และวัตถุดิบต่างๆเป็นไปอย่างมีระบบ แม้ว่าจะมีปัญหาขลุกขลักเรื่องการจราจร หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่ยังติดขัดก่อนวันงานอยู่บ้าง ส่วนในด้านการรับรองผู้เข้าชมงาน ก็สามารถรองรับได้มากถึงกว่า 500,000 คนต่อวัน รวมถึงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับผู้เข้าชมงานและการจัดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครช่วยเหลือผู้เข้าชมงานที่พูดภาษาได้หลากหลาย อีกทั้งยังมีการจัดระบบขนส่งผู้เข้าชมงานทั้งทางรถไฟฟ้า ทางเรือ และทางรถบัสภายในงาน ให้สับเปลี่ยน หมุนเวียนกันได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย ผู้เขียนได้เห็นข่าวที่ทานนายกฯของเรา เสนอตัวที่จะจัดงาน World Expo ในอีก 10 ปีข้างหน้าแล้วก็พลอยลุ้นไปด้วย หากประเทศไทยมีโอกาสที่จะได้จัดงานยิ่งใหญ่แบบนี้จริงๆ ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะพิสูจน์ ระบบโลจิสติกส์ของไทย ว่าจะแน่จริงอย่างที่พูดๆกันไว้หรือไม่ Sathinun กลับสู่หน้าหลัก

  20. Privilege Society ตอน... ต้มยำรวมมิตร ปัญหาจาก C/O Form E ไม่ค่อยหน้าแปลกใจสักเท่าไหร่เลยนะครับ ที่ตอนนี้บรรดาผู้ส่งออก-นำเข้าชาวไทยกำลังวุ่นวายตื่นตัวกับกระแสของ C/O Form E กันไปเป็นแถวๆ เพราะนับตั้งแต่เริ่มต้นศักราช 2553 อัตราภาษีของสินค้าส่วนใหญ่ ลดลงเหลือ 0% มากกว่า 7,000 รายการ ภายใต้ ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน สัปดาห์นี้ผมขอรวบรวมเอาปัญหาที่ผู้ประกอบการทุกท่านคงต้องเคยประสบพบเจอกันมาบ้างไม่มากก็น้อย สำหรับการใช้ C/O Form E ในการขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยผมขอเน้นไปที่ปัญหาที่ท่านผู้ส่งออกมักประสบกันเสียก่อนและถ้าท่านพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ อ่านต่อหน้า 2

  21. สัปดาห์หน้ามาดูปัญหาในมุมของผู้นำเข้ากันต่อครับสัปดาห์หน้ามาดูปัญหาในมุมของผู้นำเข้ากันต่อครับ โดย... Mr. Privilege กลับสู่หน้าหลัก

  22. SNP JOKE โอ้…พระเจ้า ในสมัยย้อนหลังไป 10 ปี มีชายชราคนหนึ่งไปเที่ยวที่ชายหาดชะอำ ขณะกำลังเดินเล่นเลาะไปตามชายหาด ก็มีหญิงสาวสวยในชุดบิกินนี่ นอนอาบแดดที่ชายหาด ชายชราก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยความมั่นอดมั่นใจ แล้วก็เอ่ยปากกระซิบถามว่า "อีหนู ลุงขอจับหน้าอกหนูหน่อยได้ไหม" ตาแก่ถามแล้วทำหน้าตากระลิ้มกระเลี่ย "ไปให้พ้นนะ ตาแก่บ้ากาม"หล่อนด่าอย่างไม่แยแส "ขอจับหน้าอกหน่อย เดี๋ยวให้เงินร้อยนึง"ตาแก่ยังไม่ลดความพยายาม " ร้อยนึง? จะบ้าหรือไง ไปให้พ้น!! " หล่อนไล่อีก พูดแล้วก็เมินหน้าหนี "ขอจับหน้าอกหน่อยเหอะน่า ให้ห้าร้อยเลยเอ้า"ตาแก่ต่อรอง อย่างมีความหวัง "ไม่ได้ไปให้พ้น"หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรเลย "งั้นพันนึง!"ตาแก่เพิ่มวงเงิน หญิงสาวเริ่มรู้สึกลังเล แต่แล้วก็ได้สติ "บอกว่าไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง" อ่านต่อหน้า 2

  23. "งั้นให้ห้าพันเลยเอ้า ขอจับนมแค่นิดเดี๋ยวเท่านั้น" ตาแก่ทำตาละห้อยขอร้อง หญิงสาวนึกในใจว่า เขาแก่มากแล้ว ดูท่าทางก็ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร อีกอย่างเงินห้าพันนี่ ในสมัยโน้นก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยบอกไปว่า "ก็ได้แต่ให้จับแค่แป๊บเดียวนะลุง" ว่าแล้วหล่อนปลดสายบิกินนี่ท่อนบนออก แล้วตาแก่ก็สอดมือเข้าไปถูนวด ลูบคลำเต้านมของหญิงสาว ลูบพลางก็รำพึงว่า "โอ พระเจ้า ! โอ พระเจ้า! โอ พระเจ้า!" ไม่ขาดปาก ด้วยความสงสัย หญิงสาวเลยถามว่า "ทำไมลุงต้องพูดว่า โอ พระเจ้า ! โอพระเจ้า! โอ พระเจ้า! ด้วยล่ะลุง" ตาแก่พึมพำตอบขณะที่มือยังลูบคลำบีบนวดเต้านมของหญิงสาว !โอ พระเจ้า โอพระเจ้า! โอ พระเจ้า ชาตินี้ลูกจะไปหาเงินห้าพันได้จากที่ไหน" ฮิๆๆๆๆ กลับสู่หน้าหลัก

  24. กลับสู่หน้าหลัก Logistics Specialist and International Freight Forwarder

More Related