E N D
เรื่อง สาหร่าย ผู้จัดทำ • นายเริงฤทธิ์ ดวงภูมิเมศร์ นายวรวัตร รักษาดี นายอนุเทพ พูลศักดิ์ นางสาวสุธิดา รบชนะ นางสาวกนกวรรณ ทับทิมทอง
ประวัติสาหร่าย สาหร่าย เป็นชื่อเรียกสิ่งมีชีวิตหลายชนิดในอาณาจักรโครมาลวีโอลาตาเอกซ์คาวาตาไรซาเรีย มีลักษณะคล้ายพืช แต่ไม่มีส่วนที่เป็นรากลำต้น และใบที่แท้จริง มีขนาดตั้งแต่เล็กมากมีเซลล์เดียว ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมาก อาจเป็นเส้นสายหรือมีลักษณะคล้ายพืชชั้นสูงก็มี การแบ่งพวกสาหร่ายแบ่งตามรูปร่างลักษณะภายนอกหรือดูตามสี จึงมีสาหร่ายสีเขียว เขียวแกมน้ำเงิน น้ำตาล และสีแดง สาหร่ายสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศก็มี อาศัยเพศก็มี แหล่งที่อยู่ของสาหร่ายมีต่างๆกันส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม คุณค่าทางอาหารของสาหร่ายพบว่าไม่สูงมากนัก คาร์โบไฮเดรตที่มีอยู่เป็นพวกที่ย่อยยากในตัวคน โปรตีนก็มีน้อยแต่สิ่งที่ได้จากสาหร่าย คือ แร่ธาตุและวิตามินหลายชนิด นอกจากเป็นอาหารคน เช่น สาหร่ายอบกรอบ และปัจจุบันนำมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆแล้วยังใช้เป็นอาหารสัตว์ เป็นปุ๋ยและเป็นยา สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (Bluegreen Algae) สามารถจับไนโตรเจนในอากาศได้อย่างอิสระ(Nonsymbiotic Nitrogen Fixer) Anabaena,Oscillatoria, nostoc
พันธ์และลักษณะประจำพันธ์สาหร่ายกลุ่มสีเขียว (Chlorophytaหรือ Green algae ได้แก่1. สาหร่ายไส้ไก่Enteromorphaclathrata (Roth), Greville, 1830 ลักษณะเฉพาะ : มีทัลลัสสีเขียวอ่อนแตกแขนงเป็นเส้นอ่อนนุ่มติดกันจำนวนมาก กิ่งก้านที่แตกออกมีความบอบบางคล้ายเส้นผม มีทั้งที่เกาะติดกับวัสดุแข็งหรือล่องลอยในน้ำ เซลล์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 120 ถึง 340 ไมครอน และจัดเรียงตัวเป็นแถวยาว การแตกออกเป็นแขนงจะเกิดใกล้กับส่วนปลายของกิ่งก้านขนาด : ทัลลัสมีความยาวถึง 20 เซนติเมตร
แหล่งที่อยู่ ชีววิทยา และประโยชน์ในด้านการประมง : มักพบอยู่ติดกับก้อนหินหรือวัสดุแข็งอื่นๆ ในบริเวณเขตน้ำขึ้นลงต่ำสุดจนถึงเขตน้ำขึ้นลงสูงสุด นอกจากนี้อาจพบลอยอยู่บริเวณผิวน้ำรวมกับสาหร่ายชนิดอื่นๆ สาหร่ายไส้ไก่สามารถนำมาเป็นอาหารมนุษย์ ที่อุดมด้วยวิตามิน เอ และ บี 1 ใช้เป็นอาหารสัตว์ ปุ๋ย และมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ที่จังหวัดซีเจียง (Zhejiang) ในประเทศจีน มันเป็นที่รู้จักในชื่อ ไตเตี๋ยว (Taiteao) หรือมอสตัดท่อน (moss stripe) และที่ญี่ปุ่นใช้เป็นเครื่องเคียงเนื้อ ปลา และกินแบบสลัด (salad)
การแพร่กระจาย : พบมากในเขตร้อน รวมทั้งฟิลิปปินส์ เวียดนามและตามชายฝั่งทะเลของจีนและญี่ปุ่นสาหร่ายทะเลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจโดยลักษณะทางอนุกรมวิธาน และชีวะวิทยาของสาหร่ายทะเลชนิดต่างๆมีดังนี้DIVISION CHLOROPHYTA (Green Algae) ที่พบมีอยู่ด้วยกันประมาณ 10-12 ชนิด แต่ที่มีความสำคัญเพียง 3 ชนิด ดังนี้
1. สาหร่ายเม็ดพริก (Caulerpalentillifera J. Agardh, 1837) ลักษณะทั่วไป : ทัลลัสประกอบด้วยสโตลอนที่คืบคลานไปตามพื้นและแตกแขนงได้ ส่วนของแขนงที่ตั้งตรง สูง 1-6 เซนติเมตร มักเกิดเดี่ยวๆ ไม่ค่อยแตกแขนง ประกอบด้วยรามูลัสเล็กๆ ลักษณะกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-2 มิลลิเมตร มีก้านสั้นๆ เรียงกันคล้ายช่อพริกไทย แต่ละรามูลัสมีรอยคอดระหว่างก้านและส่วนที่เป็นเม็ดกลมสีเขียวใส ขึ้นบนก้อนหินหรือพื้นทรายที่น้ำตื้นๆ ใกล้แนวปะการัง
2. สาหร่ายพวงองุ่น (Caulerparacemosa (Forsskal) J. Agardh 1873 ; var. macrophysa (Sonder ex Kutzing) Taylor) ลักษณะทั่วไป : ทัลลัสประกอบด้วยสโตลอนที่แตกแขนงได้ ส่วนของทัลลัสที่ตั้งตรง สูง 1-5 เซนติเมตร ประกอบด้วยรามูลัส ลักษณะเกือบกลมหรือครึ่งวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-4 มิลลิเมตร มีก้านสั้น ๆ เรียงตัวเป็นช่อเหมือนช่อพริกไทย รากเกิดด้านล่างเป็นระยะ ๆ ขึ้นบนก้อนหินหรือซากปะการัง ในเขตน้ำขึ้นน้ำลง สาหร่ายชนิดนี้ได้พบทั่วไปมีขายในตลาดสดในบางจังหวัดชายทะเล
3.สาหร่ายขนนก (Caulerpataxifolia) (Vahl) C. Agardh, 1817ลักษณะทั่วไป : ทัลลัสมีส่วนที่ตั้งตรงจากพื้น ลักษณะคลายขนนก สูง 10-15 เซนติเมตร โดยมีแกนตั้งตรง และรามูลัสเกิด 2 ข้าง รามูลัสเป็นแท่งกลมยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ตรงปลายพองออกเป็นกระเปาะ สีเขียวสด ขึ้นบนพื้นกรวดปนทราย และโคลนในคลองบริเวณป่าชายเลน สาหร่ายชนิดนี้ใช้รับประทานเป็นผักจิ้ม มีขายในตลาดในบางจังหวัดภาคใต้DIVISION RHODOPHYTA (Red Algae) ที่พบมีอยู่ด้วยกันประมาณ 8-9 ชนิด แต่ชนิดที่มีความสำคัญเพียง 3 ชนิด ดังนี้
1.สาหร่ายมงกุฎหนาม (Acanthophoraspicifera (Vahl) Borgesen)ลักษณะทั่วไป : ทัลลัสอวบน้ำ แตกแขนงเป็นพุ่ม สูง 15 เซนติเมตร รากยึดเกาะขนาดเล็กรูปถ้วย แขนงรูปทรงกระบอก มีแขนงย่อยปลายแหลมอยู่รวมเป็นกลุ่มๆ เกิดอยู่ทั่วไปโดยเรียงกันห่างๆ หรือแน่นสุดแต่สภาพแวดล้อม ทัลลัสสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้ม ถ้าอยู่ในที่แดดจัดจะมีสีเหลือง ถ้าแสงน้อยมีร่มเงาจะมีสีชมพู ขึ้นได้ทั่วไปในทุกสภาวะ ตั้งแต่พื้นโคลน พื้นทราย และพื้นหิน ในเขตน้ำขึ้นน้ำลง เป็นสาหร่ายที่พบเสมอในอ่าวไทย
2.สาหร่ายผมนาง (Gracilariafisheri (Xia et Abbott) Abbott, Zhang et Xia)ลักษณะทั่วไป : ทัลลัสเป็นพุ่มใหญ่ สูงถึง 30 เซนติเมตร แตกแขนงมาก แต่ละแขนงยาว โคนคอด ปลายเรียวแหลม ซิลโตคาร์ปรูปกรวยมีจะงอย และฐานไม่คอด ขึ้นบนเปลือกหอย เศษหิน กรวด ถุงพลาสติก และบนกระชังเลี้ยงปลาบริเวณพื้นโคลนบนทราย ซึ่งน้ำค่อนข้างขุ่นสาหร่ายชนิดนี้พบมากที่ทะเลสาบสงขลาและอ่าวปัตตานี นิยมใช้เป็นวัตถุดิบสกัดวุ้น
3.สาหร่ายโพรง (Solieriarobusta (Greville) Kylin)ลักษณะทั่วไป : ทัลลัสเป็นพุ่มอวบน้ำ นิ่ม สูงถึง 23 เซนติเมตร รากที่ใช้ยึดเกาะมีลักษณะรูปถ้วย แตกแขนงได้หลายแบบมีทั้งแบบสลับ แบบคู่ และแตกแขนงจากจุดเดียวกัน แขนงรูปทรงกระบอก กว้าง 3 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนแคบ ซิสโตคาร์ปรูประฆังคว่ำ เกิดนูนพ้นผิว สีน้ำตาลแกมเขียว หรือน้ำตาลแกมเหลือง หรือสีชมพู ขึ้นบนเปลือกหอย เศษหิน ในระดับน้ำขึ้นน้ำลง บางครั้งโผล่พ้นน้ำขณะน้ำลง
การเพาะเลี้ยงสาหร่าย คือการเลี้ยงสาหร่ายด้วยอาหารที่ใช้ในการเลี้ยงสาหร่าย 2 ชนิดคืออาหารเหลว อาหารแข็งหรืออาหารวุ้นเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์น้ำวัยอ่อนหรือผลิตเป็นอุตสาหกรรม สาหร่ายมีหลายชนิดผู้เลี้ยงจะต้องศึกษารายละเอียดเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงสาหร่าย
ระยะเวลาของการเลี้ยง การเลี้ยงระยะยาว เพื่อเก็บหัวเชื้อสาหร่าย (stock culture)ปัจจัยที่สำคัญคือรูปแบบของอาหารคืออาหารวุ้น (nutrient agar)ข้อเสียของอาหารวุ้นคือการเลี้ยงต้องเลี้ยงแบบปลอดเชื้อ(axenic culture)อาหารที่ใช้ได้นอกจากน้ำคือสารละลายที่เตรียมจากดิน(soil - water medium)ปัจจัยอื่นอุณหภูมิและความเข้มของแสง
การเลี้ยงระยะสั้น เป็นการเลี้ยงที่ใช้ศึกษาในห้องเรียนเป็นครั้งคราวหรือใช้ในอุตสาหกรรมในระยะสั้นใช้อาหารแตกต่างกันตามความเหมาะสม รูปแบบของการเพาะเลี้ยง มี 3 แบบ คือ 1. การเลี้ยงชนิดเดียวไม่มีชนิดอื่นปนอาจมีแบคทีเรียหรือโปรโตซัวอยู่ด้วย 2. การเลี้ยงชนิดเดียวหรือหลายชนิดต้องไม่มีแบคทีเรียปน 3. กรเลี้ยงชนิดเดียวเท่านั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดปนเลย
อาหารในการใช้เลี้ยงสาหร่ายอาหารในการใช้เลี้ยงสาหร่าย 1. อาหารเหลว(Liquid media)ประกอบด้วย 2 ประเภทคือ 1.1 ธาตุอาหารหลัก(Macronutrients) 1.2 ธาตุอาหารรอง(Micronutrients) - ธาตุอาหารรองอนินทรีย์(Inorganic micronutrients) - ธาตุอาหารรองอินทรีย์(Organic micronutrients)แบ่งได้ 3 กลุ่มคือ 1.คาร์โบไฮเดรต 2.เกลืออินทรีย์หรือสารประกอบที่มีเกลืออินทรีย์อยู่ด้วย 3.วิตามิน
2. อาหารแข็งหรืออาหารวุ้น (Solid or agar media)ทำโดยเตรียมอาหารเหลวที่เพาะเลี้ยงก่อนแล้วเติมวุ้นลงไป 0.5 % วุ้นที่ใช้เป็นวุ้นที่บริสุทธ์เรียกว่า (Bacto - agar)การแยกเชื้อสาหร่ายควรเตรียมวุ้นให้แข็งหรือถ้าต้องการทำอาหารแบบเอียง(Slant agar)เพิ่มพื้นที่ในหลอดใส่วุ้นประมาณ 1 - 1.5 % วุ้นที่มีคุณภาพดี Bacto - agar อาหารวุ้นที่เตรียมจะใส่ขวดกลมและแบนราวครึ่งหนึ่งภาชนะ
น้ำที่ใช้ในการเลี้ยงสาหร่าย 1. น้ำจืดโดยทั่วไปใช้น้ำกรองที่ตั้งทิ้งไว้ น้ำกลั่น น้ำบาดาล หรือน้ำที่ปลอดจากวัตถุมีพิษ น้ำที่กรองเพื่อกำจัดสิ่งเจือปนไม่ใช้น้ำประปาเพราะมีคลอรีน 2. น้ำทะเลใช้น้ำทะเลธรรมชาติตั้งทิ้งไว้ 6 เดือน ในอุณหภูมิต่ำหรือน้ำทะเลเทียมก็ได้ถ้าใช้น้ำทะเลธรรมชาติควรเติมสารอาหารทั้งอินทรีย์สารและอนินทรีย์สาร ส่วนผสมธาตุอาหารที่เติมลงในน้ำทะเลธรรมชาติสามสูตรได้แก่สูตรของ Miquelสูตรของ Allen and Nelson และสูตรของ Ketchum and RedsieldMiquel
เทคนิคการแยกเชื้อและการทำให้เชื้อบริสุทธิ์(Isolation and purisication techniques) การแยกเชื้อให้บริสุทธิ์ต้องทำให้ถูกต้องและเหมาะสมการเก็บเชื้อสาหร่ายต้องคำนึงเป็นประการแรก การเก็บเชื้อสาหร่าย (Collection)เก็บจากธรรมชาติใช้ถุงแพลงก์ตอนขูดตามก้อนหิน ขูดตามพื้นน้ำ ควรศึกษาทันทีเพื่อป้องกันการเน่าเสียของสาหร่าย การเก็บธรรมชาติข้อสองเก็บจากดิน ทรายแห้งๆ บริเวณทางน้ำพื้นให้แห้งและหยดน้ำบนดินเล็กน้อย นำจานที่วางทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงจะเกิดสาหร่ายและโปรโตซัว
การแยกเชื้อ (Isolation)1. เทคนิคการล้างเซลล์ด้วยไมโครปิเปต (Micropipette washing)เป็นการแยกสารขนาดเล็กที่ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยใช้ปิเปตขนาดเล็ก Micropipette ดูดสาหร่ายที่เซลล์หรือจำนวนเซลล์ไม่มากนักแล้วล้างด้วยน้ำกลั่นหลายครั้ง 2. เทคนิคอะตอไมเซอร์ (Atomizer technique)เป็นการแยกเชื้อแล้วทำให้บริสุทธิ์โดยกรปั่นสาหร่ายให้ตกตะกอน (centrifugation) 3. การเลือกใช้สูตรอาหาร (Selective media)เหมาะแก่สาหร่ายขนาดเล็กที่มองได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ไม่เหมาะกับสาหร่ายขนาดใหญ่โดยการเตรียมเชื้อสาหร่ายที่ต้องการเลี้ยงขจัดสิ่งมีชีวิตอยู่บนสาหร่ายให้หมด
จุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไดอะตอมหรือสาหร่ายที่ต้องใช้ ซิลิกาเพื่อการเติบโตในหลอดเลี้ยง 4. ดุลยภาพทางออสโมติก (Osmotic balance) โดยการล้างสาหร่ายด้วยสารละลายเกลือที่มีความเข้มข้นทางออสโมซิสต่างกันสลับกับล้างตัวอย่างในน้ำกลั่นหลายครั้งการล้างแต่ละครั้งต้องล้างอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสื่อมคุณภาพ - การทำเชื้อสาหร่ายให้บริสุทธิ์ (Purification) 1.การล้างด้วยเทคนิคการปั่นให้ตกตะกอน (Washing by centrifugation technique)
เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสาหร่าย: การวิจัยพัฒนาเพื่อการผลิตพลังงาน สาหร่ายเป็นสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์แสงและจับคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ในการสร้างเซลหรือชีวมวล (biomass) ที่ผ่านมามีการนำสาหร่ายทั้ง microalgae และ macroalgaeมาใช้ประโยชน์ในด้านอาหารคน สัตว์ อาหารเพื่อสุขภาพ และเครื่องสำอางค์ เป็นต้น นอกจากนั้น มีการนำไปใช้ในการบำบัดน้ำเสีย และปัจจุบันมีการวิจัยพัฒนานำสาหร่ายมาใช้ผลิตพลังงาน เช่น น้ำมันไบโอดีเซล การนำชีวมวลสาหร่ายมาผลิตไบโอก๊าซ หรือใช้สาหร่ายในการผลิตไฮโดรเจน อย่างไรก็ตาม ในการผลิตสาหร่ายเชิงพาณิชย์ มีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเพียงไม่กี่ชนิด ตัวอย่างเช่น Spirulina3,000 ตันต่อปี Chlorella 2,000 ตันต่อปี และ Dunaliella1,200 ตันต่อปี เป็นต้น โดยการใช้ยังจำกัดเฉพาะเป็นอาหารสุขภาพในคน อาหารสัตว์น้ำ
1. ทำไมสนใจใช้สาหร่ายในการผลิตพลังงาน นอกจากใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการสังเคราะห์แสง และคาร์บอนไดออกไซด์ในการสร้างสารประกอบอินทรีย์แล้ว สาหร่ายขนาดเล็กหลายสายพันธุ์มีลิปิด (lipid) เป็นส่วนประกอบของเซล นอกเหนือไปจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ปริมาณลิปิดอาจสูงถึงร้อยละ 50-70 ของน้ำหนักแห้ง
2. ต้นทุนการผลิตน้ำมันจากสาหร่าย ต้นทุนการผลิตน้ำมันจากสาหร่ายประกอบด้วยต้นทุน 3 ส่วนคือ ที่ดินที่ใช้ก่อสร้างบ่อเลี้ยง (land) เงินลงทุนก่อสร้าง (capital) และค่าใช้จ่ายในการเลี้ยง (operation) จากการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารต่างๆพบว่า น้ำมันจากสาหร่ายมีต้นทุนการผลิตอยู่ระหว่าง $10-32 ต่อแกลลอน ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการผลิตขึ้นกับ productivity ของสาหร่าย ที่ผลผลิตต่ำ (10 กรัมต่อตารางเมตรต่อวัน 15% triglyceride) ต้นทุนการผลิตประมาณ 25 เหรียญต่อแกลลอน ถ้า productivity เพิ่มขึ้นเป็น 25 และ 50 กรัมต่อตารางเมตรต่อวัน ต้นทุนการผลิตลดลงเหลือ 7-8 และ 3 เหรียญต่อแกลลอนตามลำดับ (ในบ่อเปิด productivity อยู่ราว 10-15 กรัมต่อตารางเมตรต่อวัน)
3. ปัจจัยที่มีผลต่อ Productivity ของสาหร่ายผลิตน้ำมัน - ชนิดของสาหร่าย (characteristics, algal biology and physiology) - สภาวะที่ใช้เลี้ยง ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความเข้มแสง ความต้องการสารอาหาร - วิธีการเพาะเลี้ยง เช่น บ่อเปิด (raceway) หรือในระบบปิด (photobioreactor) สาหร่ายที่มีความเหมาะสมในการนำมาผลิตน้ำมันเพื่อเป็นพลังงานควรมีอัตราการเจริญเติบโตสูง ให้ปริมาณน้ำมันสูง (น้ำมันเป็นองค์ประกอบหลักในเซล) ทนต่อสภาวะแวดล้อมที่กว้าง และมีประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงสูง นอกจากนี้ควรให้ by products ที่มีมูลค่าสูงด้วย เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีปริมาณน้ำมันสูง ต้องศึกษา หรือมีความเข้าใจในชีววิทยาของสาหร่าย เช่น การคัดแยกสายพันธุ์จากธรรมชาติ (novel habitats and ecosystems) มีวิธีการ screening ที่รวดเร็วเพื่อค้นหาว่าสายพันธุ์ใดมีปริมาณน้ำมันสูง รวมทั้งมีการเก็บรวบรวมสายพันธุ์ สาหร่ายสปีซีส์เดียวกันอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละ strain จึงต้องมีข้อมูลความแตกต่างในแต่ละ strain หรือ variety เช่นปริมาณน้ำมัน และสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม
4. ระบบเลี้ยงสาหร่าย มีอยู่ 2 แบบใหญ่ คือ บ่อเปิด (open pond) และ ระบบปิด ที่ เรียกว่า photobioreactorระบบทั้งสองมีข้อดีข้อด้อยดังต่อไปนี้ ระบบ่อเปิด ราคาก่อสร้างและการเลี้ยงถูกกว่า แต่จากปัญหาการกวนที่ไม่มีประสิทธิภาพ การกระจายของแสงไม่ทั่วถึง มีการสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ได้ความเข้มข้นของเซลต่ำประมาณ 0.1-0.2 กรัมต่อลิตร ในขณะที่ระบบปิดให้ความเข้มข้นเซลสูงถึง 2-8 กรัมต่อลิตร ในระบบเปิดมักเกิดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์อื่น ในระบบปิด จะเกิดการเจริญของสาหร่ายที่ผนัง reactor (wall growth) นอกจากนั้นในระบบ photobioreactorอาจมีปัญหาเรื่องการขยายขนาด
5. Algae biorefinery จากการที่การเลี้ยงสาหร่ายเพื่อผลิตน้ำมันยังมีราคาแพง เพื่อให้เกิดความคุ้มทุนมากขึ้น จึงมีแนวคิดที่จะนำ by products จากสาหร่ายมาใช้ จากการที่สาหร่ายประกอบด้วยลิปิด คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ดังนั้นลิปิดถูกแยกออกไปเป็นไบโอดีเซล ส่วนของคาร์โบไฮเดรต นำไปใช้ในการผลิตเอทานอล และโปรตีนไปเป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น ในสหรัฐอเมริกา มีการลงทุนวิจัยพัฒนาการผลิตน้ำมันจากสาหร่ายมาก ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ตัวอย่างเช่น Sapphire Energy, Inc. Solazyme, Inc. ความร่วมมือระหว่าง Exxon Mobil and Synthetic Genomics, Inc. เป็นต้น
รีดน้ำมัน"สาหร่าย"เทรนด์ใหม่พลังงานรีดน้ำมัน"สาหร่าย"เทรนด์ใหม่พลังงาน มีคนเคยคำนวณ ถ้าชาวโลกยังคงใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นพลังงานจากฟอสซิลหรือซากดึกดำบรรพ์ ในปริมาณเท่าที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ อีกไม่เกิน 40 ปี โลกใบนี้จะไม่เหลือน้ำมันให้ใช้ จึงไม่แปลกที่ยามนี้หลายประเทศเริ่มตั้งหน้าค้นหาแหล่งพลังงานในประเทศของตน เท่าที่จะควานหาได้ บ้านเรานอกจากมีปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง สบู่ดำ ที่พอหาได้และคนไทยนำมาผลิตเป็นพลังงานทางเลือกทดแทนน้ำมันจากฟอสซิล ทั้งในรูปไบโอดีเซล และเอทานอล โชคดียังมีแหล่งเชื้อเพลิงซ่อนรูปอยู่ในพืชอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งหลายประเทศกำลังให้ความสนใจศึกษา เพื่อหวังนำองค์ความรู้ที่ได้ไปต่อยอดนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกทดแทน น้ำมันในอนาคต พืชที่ว่า ก็คือ “สาหร่าย” นั่นเอง
น้ำมันจากสาหร่าย จากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาที่น้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นไปถึงระดับกว่า 110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้กระทรวงพลังงานต้องเร่งหาพลังงานทดแทนประเภทอื่นมาเสริมเพื่อลดการใช้น้ำมันลง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอลในเนื้อน้ำมันเบนซิน โดยวัตถุดิบหลักที่นำมาผลิตเอทานอลก็มาจากพืชผลทางการเกษตร คือ มันสำปะหลัง กากน้ำตาลหรือ โมลาส ส่วนน้ำมันดีเซล ก็ได้ส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันปาล์มดิบ สบู่ดำ มาผสมเป็นน้ำมันไบโอดีเซล และขณะนี้ก็ได้มีการคิดค้น วิจัย ในการนำสาหร่ายมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล เพื่อแทนการนำพืชอาหารมาผลิตเป็นพืชพลังงาน
ซึ่งในส่วนของการนำสาหร่ายมาสกัดเป็นน้ำมัน ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น เพียงแต่เป็นการศึกษา ทดลองในห้องแล๊ปเท่านั้น แต่ขณะนี้ เริ่มเห็นสัญญาณที่จะนำสาหร่ายมาทดลองเลี้ยงในพื้นที่จริงแล้ว ซึ่งหากได้ผล แน่นอนว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีน้ำมันไบโอดีเซลที่ผลิตจากสาหร่ายมาใช้ควบคู่ไปกับน้ำมันไบโอดีเซลที่ผลิตจากปาล์มก็เป็นได้ เนื่องจากการผลิตน้ำมันจากสาหร่ายถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย กระทรวงพลังงานจึงได้พาคณะสื่อมวลชนไปศึกษาดูงาน การผลิตน้ำมันจากสาหร่ายที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน Tarongซึ่งตั้งอยู่ในรัฐควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสถานที่ ที่มีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายโดยการใช้ก๊าซคาร์บอนไดซ์ออกไซต์ที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้า โดยการดำเนินการดังกล่าว ทางบริษัทบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ได้เข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมกับ MBD Energy ซึ่งถือเป็นบริษัทที่มีความชำนาญและมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม ที่พร้อมจะขยายเป็นเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับแผนการผลิตน้ำมันจากสาหร่ายในประเทศไทย ถือเป็นความร่วมมือของ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือ พพ. กระทรวงพลังงาน บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจากปิเตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ที่จะดำเนินการร่วมกัน โดยในส่วนของ พพ.จะเป็นผู้กำหนดนโยบาย ล็อกซเล่ย์และบางจากจะเป็นผู้ลงทุนโดยเบื้องต้นจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท โดยสัดส่วนการลงทุนจะอยุ่ที่ร้อยละ 50 ส่วนบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีฯ จะให้ใช้พื้นที่จำนวน 6 ไร่ ก๊าซคาร์บอนไดซ์ออกไซต์ที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้า และระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำ ไฟฟ้า เป็นต้น
การผลิตไบโอดีเซลจากสาหร่ายการผลิตไบโอดีเซลจากสาหร่าย ไบโอดีเซล เป็น พลังงานทดแทนที่ได้จากพืชน้ำมันและไขสัตว์เป็นหลัก กรณีพืชน้ำมันอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าพืชใดที่สามารถหีบน้ำมันออกมาได้ก็สามารถนำไปผลิตไบโอดีเซลได้ สำหรับประเทศไทยได้มีการผลิตไบโอดีเซลจากส่วนต่างๆ ของปาล์ม เช่น ปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ไขปาล์ม และน้ำมันปาล์มที่ผ่านการใช้ทอดอาหารแล้ว เป็นต้น เพื่อใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลกับเครื่องจักรทางการเกษตร หรือใช้ผสมกับน้ำมันดีเซลเพื่อใช้ในภาคขนส่ง นอกจากปาล์มน้ำมันแล้ว พืชอีกชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก ในการนำมาค้นคว้าวิจัยเพื่อสร้างสรรค์พลังงานใหม่ในอนาคต คือ “สาหร่าย” ทั้งนี้สาหร่ายเป็นพืชที่พบได้ทั่วไปทั้งในน้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย สาหร่ายที่นำมาสกัดน้ำมันได้เรียกว่า “จุลสาหร่าย” (Microalgae) เป็นคนละชนิดกับสาหร่าย ที่ใช้เป็นอาหาร ที่เรียกว่าสาหร่ายขนาดใหญ่ หรือ (Macroalgae) จุลสาหร่ายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กคล้ายแบคทีเรียแต่สามารถสังเคราะห์แสง เพื่อเป็นอาหารให้กับตัวเองได้ ดังนั้น การผลิตเชื้อเพลิงจากสาหร่ายจึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการนำสาหร่ายมาผลิตไบโอดีเซล1. เติบโตเร็ว2. ได้ปริมาณน้ำมันที่มากกว่าเมื่อเทียบกับพื้นที่ ที่เท่ากันกับการเพราะปลูกพืชน้ำมันชนิดอื่นเช่น ปาล์มน้ำมัน3. สาหร่ายบางชนิดสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกวัน4. ไบโอดีเซลจากสาหร่ายไม่มี ซัลเฟอร์เจือปน5. ลดภาวะโลกร้อน เนื่องจากสาหร่ายต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราห์แสง6. การนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาในการแย่งส่วนแบ่งทางอาหารหรือเกษตรกรรม
การสกัดน้ำมันจากสาหร่ายการสกัดน้ำมันจากสาหร่าย การสกัดน้ำมันจากสาหร่าย มีหลายวิธีด้วยกัน คือ การบีบ (oil press method) การสกัดโดยใช้สารละลายเฮกเซน (hexane solvent method) และ ซุปเปอร์คริติคอลฟลูอิด (supercritical fluids method)การบีบน้ำมัน (oil press)เป็นวิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยม หลักการเหมือนกับการบีบน้ำมันมะกอกการสกัดน้ำมันโดยวิธีนี้จะได้น้ำมันประมาณ 75% ของปริมาณสาหร่ายที่นำมาบีบ
การสกัดโดยใช้สารละลายเฮกเซน (hexane solvent method) เป็นการรวมการบีบและใช้สารละลายเฮกเซนเข้าด้วยกัน โดยขั้นตอนแรกจะทำการบีบสาหร่ายเพื่อเอาน้ำมันก่อนหลังจากนั้น นำสาหร่ายที่บีบเสร็จมาผสมกับเฮกเซนเพื่อสกัดเอาน้ำมันที่เหลือออก การสกัดโดยวิธีนี้จะได้น้ำมันประมาณ 95% ของปริมาณสาหร่ายที่นำมาสกัด
เชื้อเพลิงสาหร่าย เชื้อเพลิงสาหร่าย คือพลังงานเชื้อเพลิงชนิดหนึ่ง โดยใช้สาหร่ายเป็นวัตถุดิบ จัดได้ว่าเป็นพลังงานสะอาดชนิดหนึ่ง ประเภทของเชื้อเพลิงสาหร่าย -ไบโอดีเซลจากสาหร่าย -ไบโอโซลีนจากสาหร่าย กระบวนการผลิตเชื้อเพลิงสาหร่าย -กระบวนการเพาะเลี้ยงสาหร่าย เก็บเกี่ยวจากธรรมชาติ เพาะเลี้ยง ระบบเปิด บ่อสาหร่าย ระบบปิด เครื่องปฏิกิริยาชีวภาพ
-กระบวนการสกัดน้ำมันสาหร่าย solvent solvent extraction -กระบวนการแปรสภาพเป็นพลังงานเชื้อเพลิง ใช้โดยตรง หรือ ผสมกับเชื้อเพลิงทั่วไป microemulsion tranesterification acidic catalyzed transesterification alkali catalyzed transesterification enzymetic catalyzed transesterification non catalyzed transesterification pyrolysisหรือ thermal cracking critical CO2 extraction
การวิจัยและพัฒนาเชื้อเพลิงสาหร่ายการวิจัยและพัฒนาเชื้อเพลิงสาหร่าย การวิจัยในปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ต่างมุ่งเด้นด้าน การคัดเลือกสายพันธุ์สาหร่ายที่มีศักยภาพสูง ทั้ง มหสาหร่าย(macro algae) และ จุลสาหร่าย(micro algae) กระบวนการผลิตเพาะเลี้ยงที่มีความเหมาะสมทั้งปริมาณผลผลิตและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม กระบวนการสกัดสารจากสาหร่ายที่มีผลิตภาพสูง กระบวนการแปรสภาพเป็นพลังงานที่ใหอัตราการผลิตสูง
จุดแข็งเชื้อเพลิงสาหร่ายจุดแข็งเชื้อเพลิงสาหร่าย เป็นพลังงานทดแทน น้ำมันเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม(ปิโตรเลียม)ซึ่งมีราคาสูง Carbon Cycle บนผิวโลก มีความสมดุล ชะลอการเกิดภาวะโลกร้อน การใช้สาหร่ายเป็นวัตถุดิบ ไม่กระทบต่อพื้นที่หลักทางการเกษตรโดยเฉพาะกับประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตอาหารของมนุษย์และปศุสัตว์ สร้างความมั่นคงทางอาหาร(Food Security) สาหร่ายมีศักยภาพสูงในการนำมาผลิตพลังงานเมื่อเทียบกับชีวมวลอื่นๆ เนื่องจาก สาหร่ายมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า และมีความยืดหยุ่นในการผลิตสูงกว่า ทั้งทางเศรษฐกิจและทางสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทย ประเทศไทยสามารถสร้างองค์ความรู้และวิจัย รวมทั้งการต่อยอดได้ด้วยตัวเอง อันจะเป็นการช่วยการพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน
การผลิตพลังงานจากสาหร่ายการผลิตพลังงานจากสาหร่าย สาหร่ายกำลังได้รับความนิยมจากนักวิจัยในการนำมาเป็นส่วนประกอบในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับอนาคต รองมาจาก ข้าวโพดและถั่วเหลือง เนื่องจากคุณสมบัติต่างๆ ของสาหร่าย เช่น มีความมันและสามารถแบ่งตัวได้เร็ว ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดกลุ่มนักวิจัยและได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากหน่วยงานพลังงานทดแทนอย่างแพร่หลาย
กลุ่มผู้สนับสนุนกล่าวว่าสาหร่ายในสระที่มีอยู่ทั่วไปนั้นสามารถใช้ผลิตพลังงานทดแทนได้โดยที่ไม่ต้องหาพื้นที่ในการเพาะปลูกหรือ ทำให้น้ำสะอาด น้ำมันที่ได้จากสาหร่ายในแหล่งน้ำเหล่านั้นจะมีค่าคาร์บอนเป็นกลางและสามารถถูกสกัดเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพได้ แต่สิ่งที่อาจจะเป็นอุปสรรคก็คือ เวลาที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายปี
กลุ่มนักลงทุนเชื่อว่าแนวโน้มนี้มีความเป็นไปได้นั้นสูง เนื่องจากมีการเริ่มตั้งโรงงานมากกว่า 100 แห่ง อีกทั้งธุรกิจประเภทนี้เติบโต มากขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2551 ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 180 ล้านเหรียญฯในช่วงสามไตรมาสแรก เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าในปี พ.ศ. 2550 ที่มีมูลค่า ประมาณ 32 ล้านเหรียญฯอาจจะกล่าวโดยสรุปได้ว่าเงินลงทุนเกี่ยวกับการผลิตพลังงานจากสาหร่ายนั้นสูงถึง 20% ของปริมาณเงินทั้งหมดที่ลงทุนใน การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ
เงินทุนสนับสนุนส่วนใหญ่นั้นถูกใช้ในการปฏิบัติการของสามบริษัทใหญ่ๆ คือ บริษัท Sapphire Energy ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองซานเดียโก, บริษัท Solarzymeเมืองซานฟรานซิสโก, และบริษัท SolixBiofuelsซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ห้องทดลองที่มีชื่อว่า Engines & Energy Conversion Laboratory ที่มหาวิทยาลัย Colorado State University ที่เมืองฟอร์ด คอลิน (Ford Colins) ซึ่งจากเงินทุนที่ทั้ง 3 บริษัทเหล่านี้ ได้รับนั้นได้สร้างความมั่นใจทางด้านการเงินที่จะนำมาลงทุนสร้างแหล่งผลิตขนาดใหญ่ได้
กล่าวโดยสรุป คือ ทั้งสามบริษัทนั้นพยายามลดต้นทุนการผลิตด้วยวิธีการต่างๆ ที่สามารถประหยัดพลังงานและเพิ่มปริมาณในการผลิตให้ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นในเชิงชีวภาพหรือเครื่องกล กลุ่มนักวิจัยมีความจำเป็นต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเป็นอันดับแรก เช่น ถ้ากระบวนการนั้นจะต้องใช้แสงอาทิตย์บริษัทก็จะต้องลงทุนซื้อพื่นที่เพื่อขยายบริเวณที่จะรับแสงอาทิตย์ให้มากขึ้น หรือถ้ากระบวนการนั้นจะต้องใช้สารประกอบคาร์โบไฮเดรตบริษัทก็จะต้องมีงบประมาณในการใช้จ่ายเพื่อพัฒนาวิธีการ เนื่องจากการที่บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่เริ่มต้นโครงการการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงจากสาหร่ายจึงมีแนวโน้มที่จะมีรายจ่าย ทั้งด้านเครื่องกล และการปฏิบัติการที่สูง และต้องตระหนักด้วยว่าการศึกษาวิธีการเกี่ยวกับแหล่งพลังงานใหม่ๆ นั้นมีความเสี่ยงทางด้านการลงทุนสูง
การแปรรูป สาหร่าย กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในคนหลายวัย มีทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากจีน ญี่ปุ่น ที่กำลังมาแรงคือสาหร่ายจากเกาหลี ส่วนใหญ่เป็นของกินเล่น เคี้ยวเพลิน สาหร่ายมีอยู่ทั้งในน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม น้ำพุร้อน หิมะหรือที่ขึ้นตามต้นไม้ แต่สาหร่ายที่นำมาเป็นอาหาร ได้แก่ สาหร่ายทะเล และสาหร่ายน้ำจืด สาหร่ายเป็นแหล่งของโปรตีนคล้าย เนื้อสัตว์ ชาวญี่ปุ่นและชาวจีนเป็นชาติแรกๆ ที่เห็นคุณค่าของสาหร่าย อาหารญี่ปุ่นมีเมนูอาหารที่ใช้มีสาหร่ายมากมาย ส่วนอาหารจีนก็เช่นเดียวกัน คนจีนเรียกสาหร่ายทะเลว่า “ จีฉ่าย” นอกจากปรุงอาหารแล้ว สมัยนี้ยังนิยมนำมาทำเป็นขนมปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง น้ำตาล พริกไทย หรือเครื่องปรุงรสต่างๆ สาหร่ายเหล่านี้จะเป็นสายพันธุ์ Porphyraชาวญี่ปุ่นเรียกว่า noriเป็นสาหร่ายสีแดง ส่วนอีกสายพันธุ์สายพันธุ์Laminariaเป็นสาหร่ายสีน้ำตาล คุณค่าสารอาหารของสาหร่าย สถาบันวิจัยโภชนาการ
มหาวิทยาลัยมหิดลได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของสาหร่ายทะเล ทั้งชนิดแผ่นกลมไม่ปรุงรส ( จีฉ่าย) ที่นิยมนำมาประกอบอาหาร และสาหร่ายปรุงรสชนิดบรรจุซองโดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการ วิจัยแห่งชาติ จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ พบว่ามีโปรตีนระหว่าง 10-40 กรัมต่อสาหร่าย 100 กรัม ( 1 ขีด) ซึ่งถ้าเทียบกับอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เช่น เนื้อสัตว์ที่นำมาทำแห้ง เช่น เนื้อวัวอบแห้ง – หมูแผ่น- กุ้งแห้ง ซึ่งจะมีโปรตีนปริมาณ 50-11- 60 กรัมตามลำดับ ก็จัดได้ว่าสาหร่ายทะเลแห้งชนิดแผ่นสามารถ เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน จีฉ่ายที่นิยมนำมาประกอบอาหารมีปริมาณโปรตีนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับสาหร่าย ชนิดปรุงรส นอกจากนี้คุณค่าใยอาหาร ( Dietary fiber) พบว่ามีสูงตั้งแต่ 27-41 กรัมต่อสาหร่าย 100 กรัม
ซึ่งถ้าเทียบกับอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เช่น เนื้อสัตว์ที่นำมาทำแห้ง เช่น เนื้อวัวอบแห้ง – หมูแผ่น- กุ้งแห้ง ซึ่งจะมีโปรตีนปริมาณ 50-11- 60 กรัมตามลำดับ ก็จัดได้ว่าสาหร่ายทะเลแห้งชนิดแผ่นสามารถ เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน จีฉ่ายที่นิยมนำมาประกอบอาหารมีปริมาณโปรตีนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับสาหร่าย ชนิดปรุงรส นอกจากนี้คุณค่าใยอาหาร ( Dietary fiber) พบว่ามีสูงตั้งแต่ 27-41 กรัมต่อสาหร่าย 100 กรัม และถ้ากินจีฉ่ายแผ่นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 ซม. 1-5 แผ่นต่อวันจะได้รับใยอาหารคิดเป็นร้อยละ 7 ของความต้องการใยอาหารต่อวัน
แต่ถ้าเด็กๆ กินสาหร่ายแบบแผ่นปรุงรส (ขนาด 8.5 ซม. X 3.0 ซม.) ก็ต้องกินเกือบ 30 แผ่น (ประมาณ 7 ซอง) ต่อวันจึงจะได้เส้นใยอาหารในปริมาณเท่ากัน ดังนั้นควรรับประมานแบบไม่ปรุงรสที่นำมาประกอบอาหารจะให้คุณค่ามากกว่า นอก จากนี้สาหร่ายยังมีไขมัน แป้ง และน้ำตาลจัดว่าน้อยมาก ซึ่งน่าจะเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก หรือผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หรือเด็กที่ชอบกินจุบจิบ เช่น ขนมกรุบกรอบที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันสูง นอกจากนี้สาหร่ายยังมีโปรตีน และให้พลังงานโดยรวมอยู่ระหว่าง 382-366 กิโลแคลอรีต่อสาหร่าย 100 กรัม ดังนั้นถ้ากินสาหร่ายปรุงรส 1 ซอง ซึ่งบรรจุสาหร่ายขนาด 8.5 ซม. X 3.0 ซม. 4 แผ่น จะได้พลังงานไม่ถึง 5 กิโลแคลอรี
แหล่งไอโอดีนที่สำคัญ สาหร่ายทะเลจัดเป็นพืชที่เป็นแหล่งของไอโอดีน ที่ดี แต่ปริมาณไอโอดีนมักจะแตกต่างกัน ตามแหล่งผลิตที่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นสาหร่ายทะเลปรุงรสหรือไม่ปรุงรสก็พบว่ามีปริมาณ ไอโอดีนค่อนข้างสูง การกินสาหร่ายทะเลชนิดไม่ปรุงรส เพียง 1/8 ส่วนของจีฉ่าย1 แผ่น ( ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 ซม.) ใน 1 วัน โดยนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร จะได้รับไอโอดีนเพียงพอต่อความต้องการไอโอดีนต่อวัน ในขณะที่ถ้าเป็นสาหร่ายปรุงรสบรรจุซองที่เด็กๆ นิยม ถ้าจะกินเพื่อให้ได้ปริมาณไอโอดีน 100 % ตามที่ร่างกายต้องการต่อวัน จะต้องกินมากกว่า 50 แผ่น ซึ่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างมาก ถ้าจะให้แนะนำก็ต้องกินเป็นของว่างประกอบกับอาหารที่เป็นแหล่งไอโอดีนชนิด อื่นๆ ด้วย หรือจะให้ดีกินสาหร่ายชนิดไม่ปรุงรส (จีฉ่าย) ที่ปรุงอาหารบ่อยๆ ก็ทำให้ได้รับไอโอดีนเพียงพอแล้ว ราคาก็ไม่แพง หาซื้อง่าย
ผงชูรสในสาหร่ายปรุงรส ในสาหร่ายปรุงรสบรรจุซองมีปริมาณผงชูรส หรือโมโนโซเดียมกลูตาเมสสูงกว่าจีฉ่ายประมาณ 2-7 เท่า ถ้าเทียบที่ปริมาณเท่ากัน ถ้าเกรงว่าเด็กจะกินสาหร่ายปรุงรสมากๆ แล้วจะได้รับผงชูรสมากเกินไป ก็คงไม่ต้องกลัวมากไป หากลูกของคุณกินไม่มากเกินวันละ 10 ซองต่อวัน ก็คงไม่เป็นปัญหาเพราะปริมาณที่มีอยู่ยังไม่จัดว่ามากจนเป็นอันตราย แต่หากใครที่มีอาการของการแพ้ผงชูรสได้ง่าย ก็คงต้องเลี่ยงมากินแบบไม่ปรุงรสดีกว่าส่วนโซเดียมในสาหร่ายปรุงรสจะมี มากกว่าจีฉ่าย2-4 เท่า แต่ปริมาณที่มีอยู่ในสาหร่ายปรุงรสถ้าเทียบกับปริมาณที่สามารถกินได้ใน 1 วัน (ประมาณ 8 ซองเล็ก) ก็ไม่ได้ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินไป แต่ไม่เหมาะต่อผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และโรคไต กินสาหร่ายชนิดไม่ปรุงรสดีกว่า
จากการวิจัยพบว่าปริมาณที่คนส่วนใหญ่กินต่อ 1 ครั้ง ถ้าเป็นสาหร่ายปรุงรสจะประมาณ 3 ซองเล็ก ( 12 แผ่น) หรือถ้าเป็นแผ่นใหญ่ ขนาด 9.5 ซม. X 8.5 ซม. ประมาณ 1 ซองครึ่ง ( 6 แผ่น) ถ้าเป็นจีฉ่ายนำมาประกอบอาหาร 1 ครั้ง ต่อแกงจืด 1 ถ้วย สำหรับ 1 คน ก็ประมาณ 1/5 แผ่นกลม ถ้าเทียบที่ปริมาณที่คนเรากินต่อวันใน 1 ครั้ง จะได้โปรตีน ใยอาหาร และไอโอดีนสูงกว่า ในขณะที่ปริมาณโซเดียมและโมโนโซเดียมกลูตาเมสต่ำกว่าสาหร่ายปรุงรสชนิดบรรจุ ซอง