550 likes | 813 Views
บทที่ 3 (2) ความเท่าเทียมของภาษีกรณีศึกษาภาระแท้จริงของภาษี : Tax Incidence. ส่วนขยายการวิเคราะห์ของภาระภาษี. การศึกษาภาระภาษีส่วนเพิ่มเติม ได้แก่ : ภาษีที่เป็น Ad Valorem ภาษีที่จัดเก็บจาก Factors of production ภาษีในกรณี Imperfectly competitive markets
E N D
บทที่ 3 (2)ความเท่าเทียมของภาษีกรณีศึกษาภาระแท้จริงของภาษี: Tax Incidence
ส่วนขยายการวิเคราะห์ของภาระภาษีส่วนขยายการวิเคราะห์ของภาระภาษี • การศึกษาภาระภาษีส่วนเพิ่มเติม ได้แก่: • ภาษีที่เป็น Ad Valorem • ภาษีที่จัดเก็บจาก Factors of production • ภาษีในกรณี Imperfectly competitive markets • ภาระภาษีกรณีดุลยภาพทั่วไป General Equilibrium Analysis
ภาษีที่เป็น Ad Valorem • คือภาษีที่มีการเก็บเป็นสัดส่วนกับระดับราคา ตัวอย่าง • ภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 7 • ภาษีสรรพสามิตต่างๆ ที่จัดเก็บเป็นร้อยละของมูลค่า • ฯลฯ • การวิเคราะห์เหมือนกับกรณีภาษีต่อหน่วย (Unit Tax)
ภาษีที่เป็น Ad Valorem กับผู้บริโภค การเก็บภาษีแบบ Ad Valorem ทำให้ราคาสินค้า ที่สูงจะถูกเก็บภาษีสูงกว่าสินค้าที่ราคาถูก ราคาสินค้า S1 Tax B 30 A 25 20 C D1 D2 Q2 Q1 ปริมาณ 4
ภาษีที่เป็น Ad Valorem กับผู้ผลิต S2 ราคาสินค้า S1 Tax B 30 A 25 C 20 D1 ปริมาณ Q2 Q1
Tax incidence in factor markets • ภาษีที่จัดเก็บจากปัจจัยการผลิตเช่น แรงงาน • กรณีตัวอย่างที่เก็บจากแรงงาน
ภาษีเก็บจากแรงงาน ตัวอย่าง เก็บภาษีกับแรงงาน “suppliers” of labor ทำให้ค่าจ้างแท้จริงลดลง แรงงานจึงเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้น ค้าจ้าง(W) S2 S1 Tax B W2=300 ภาระของ ธุรกิจ A W1=250 ภาระของ แรงงาน C W3=200 D1 ชั่วโมงทำงาน ของแรงงาน(H) H2 H1
Tax incidence in factor markets • การเก็บภาษี 50 บาทต่อ ชั่วโมงทำงาน ทำให้ผลตอบแทนจากการทำงานลดลง ณ ทุกๆ ระดับของการจ้างงาน • ดังนั้นแรงงานทั่วไปจะเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้นในจำนวนที่เท่ากัน ทำให้เส้น supply curve shifts ขึ้น (ปริมาณ supply ลดลง) • ขณะที่ labor demand คงที่ค่าจ้างที่ดุลยภาพใหม่คือ 300 บาทกรณีนี้ทั้งผู้จ้างและแรงงานรับภาระภาษีเท่าๆ กัน
Tax incidence in factor markets • ต่อไปนี้พิจารณากรณีที่มีภาษีกับ firms (หรือที่เป็นภาษีเก็บจาก demand of labor)
ภาษีกับผู้จ้างงาน *demand for labor ตัวอย่าง ภาษีกับผู้จ้างงานหรือธุรกิจ “demanders” of labor ทำให้ค่าจ้างลดลง ค่าจ้าง(W) S1 B W2=300 Firm burden A W1=250 Worker burden C W3=200 Tax D1 D2 ชั่วโมงทำงาน ของแรงงาน(H) H2 H1
ภาระภาษีในกรณีเก็บจากตลาดปัจจัยการผลิต (factor market) • เมื่อเก็บภาษีกับผู้จ้างงานหรือ firm เส้น demand curve shifts เป็น D2และค่าจ้างของตลาดลดลงเป็น 200 บาท • โดยนายจ้างจะลดค่าจ้างลง 50 บาท น้อยกว่าค่าจ้างที่ดุลยภาพเดิมแต่ต้องส่งภาษีให้รัฐบาลเท่ากับ 1 บาทสุดท้ายนายจ้างจะจ่ายค่าจ้างที่ 300 บาท • เหมือนกับกรณีเก็บภาษีจากตลาดผลผลิตภาระภาษีจากเงินได้ payroll tax แสดงให้เห็นถึงการที่ไม่มีความแตกต่างระหว่างการเก็บภาษีไม่ว่าจะเป็นด้านไหนแต่ภาระภาษีจะแตกจากภาระตามการจ่ายตามกฎหมาย (statutory incidence)
ภาระภาษีในกรณีเก็บจากตลาดปัจจัยการผลิต (factor market) • การวิเคราะห์ภารภาษีในตลาดปัจจัยการผลิตมีข้อจำกัดที่แตกต่างจากตลาดสินค้า คือหากมีการจำกัดการให้ค่าจ้างปรับตัวไม่ได้ หรือมีค่าจ้างขั้นต่ำ ผลการวิเคราะห์จะแตกต่างจากกรณีทั่วไป • ค่าจ้างขั้นต่ำที่ถือเป็นรายได้ต่อเวลาทำงานที่กำหนดไว้ตามกฎหมายจ้างงาน ที่ทำให้นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
ภาระภาษีในกรณีเก็บจากตลาดปัจจัยการผลิต (factor market) • เมื่อมีค่าจ้างขั้นต่ำ ภาระภาษีจะแตกต่างออกไป โดยดูได้จากรูป ที่มีการกำหนดภาษีกับลูกจ้าง
เก็บภาษีกับลูกจ้าง ค่าจ้าง(W) S2 When imposed on employees, the analysis is similar to before. A binding minimum wage changes the analysis, however. S1 Tax B W2= 300 Firm burden A Wm=250 Worker burden W3=200 C D1 ชั่วโมงทำงาน(H) H2 H1
ภาระภาษีในกรณีเก็บจากตลาดปัจจัยการผลิต (factor market) • เมื่อมีการเก็บภาษีกับลูกจ้าง labor supply curve จะเคลื่อนแบบ shifts ขึ้นเพราะในแต่ละระดับการทำงานลูกจ้างจะต้องการค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยภาษีที่ถูกจัดเก็บ เส้น labor supply จึง shift ขึ้น • แรงงานสามารถรับค่าจ้างที่ 300 บาท แต่ถูกบังคับต้องจ่ายภาษีให้รัฐบาลจำนวน 100 บาท • ภาระภาษีที่เกิดขึ้นจะเหมือนกรณีทั่วไป เพราะกรณีนี้ยังไม่มีค่าจ้างขั้นต่ำ
ภาระภาษีในกรณีเก็บจากตลาดปัจจัยการผลิต (factor market) • กรณีเก็บภาษีกับภาคธุรกิจ (firm)
ภาษีเก็บจากผู้ผลิต ค่าจ้าง(W) ผู้ผลิตรับภาระภาษี เมื่อเก็บภาษีกับนายจ้าง ภาระภาษีจะแตกต่างออกไป นายจ้างไม่สามารถผลักภาระได้ทั้งหมด เพราะมีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะมีค่าจ้างขั้นต่ำดุลยภาพใหม่อยู่ที่C’. S1 B W2=300 ภาระภาษีที่ผลักเต็มที่จะอยู่ที่C Firm burden A C’ Wm=250 200 C Tax D1 D2 ชั่วโมงทำงานของแรงงาน (H) H3 H2 H1
ภาระภาษีในกรณีเก็บจากตลาดปัจจัยการผลิต (factor market) • เมื่อเก็บภาษีกับผู้ผลิต (firms) เส้น labor demand จะshifts downward เมื่อไม่ข้อจำกัดของค่าจ้าง ค่าจ้างในตลาดจะลดลงจาก 250 เป็น 200 และผู้ผลิตยังต้องจ่ายภาษีอีก 50 บาท ชั่วโมงทำงานลดเหลือ H2 • เมื่อมีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้ค่าจ้างไม่อาจปรับลดลงได้ ดังนั้นผู้ผลิตจะมีความต้องการจ้างงานที่ H3<H2โดยจ้างค่าจ้างที่ 250 บาท และจ่ายภาษี 50 บาทให้แก่รัฐบาล • ดังนั้น economic burden ของภาษีจะต้องกับผู้ผลิตทั้งหมด
ภาระภาษีในกรณีเก็บจากตลาดปัจจัยการผลิต (factor market) • เมื่อมีเงื่อนไขจำกัดในการทำให้ตลาดปัจจัยเป็นตลาดแข่งขัน ทำให้ปัจจัยอื่นๆ สามารถมีอิทธิพลต่อการผลักภาระภาษี เพราะทำให้การปรับตัวของค่าจ้างไม่เป็นไปตามกลไกตลาด อาทิเช่น: • ค่าจ้างขั้นต่ำ • ค่านิยมการทำงานของสถานที่ทำงาน Workplace norms • กฎ ระเบียบของสหภาพ ที่บังคับสมาชิก เช่น ชั่วโมงทำงาน สวัสดิการ ฯลฯ
ภาระภาษีในกรณีเก็บจากตลาดปัจจัยการผลิต (factor market) • กรณีตลาดไม่เป็นแข่งขันสมบูรณ์ • Monopoly markets • ผู้ผูกขาด Monopolists เป็น price makers ไม่ใช่ price takers
ตลาด Monopolist Monopolist กำหนดการผลิตที่ MR=MC, คือที่Q1. P A’ P1 S ขนาดกำไรส่วนเกิน D1 A P* MR1 Q1 Q
ภาระภาษีภายใต้ตลาดแบบแข่งขันไม่สมบูรณ์ imperfectly competitive markets • กรณีนี้ผู้ผูกขาดมีอำนาจกำหนดราคา และมี เส้น MR ที่slope ลดลง (Slope เป็นลบ) เพราะผู้ผูกขาดจะต้องลดราคากับสินค้าทุกๆ หน่วยเพื่อขายสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหน่วย • เพราะ เส้นMR1 เส้น demand เสมอ • ภายใต้เงื่อนไขกำไรสูงสุดMR1=MCทำให้ได้ปริมาณที่Q1คือจุดที่ได้กำไรสูงสุด
Tax on consumers ในตลาดผูกขาด การเก็บภาษีทำให้เส้น MR และเส้น demand shift ลงมาทั้งคู่พร้อมกัน P P1 S S B’ P2 D1 A B D2 MR1 MR2 Q2 Q1 Q
ภาระภาษีในตลาด imperfectly competitive markets • กรณีเก็บภาษีกับผู้บริโภค • shifts เส้น demand curve เป็น D2และ MR เป็น MR2. • เงื่อนไข MR2=MC, ปริมาณเป็นที่ Q2ซึ่งได้กำไรสูงสุด • ราคาของผู้ผูกขาดเปลี่ยนจาก P1เป็น P2, ผู้ผูกขาดยังต้องแบกรับภาระภาษีบางส่วน • กฎ 3 ข้อของการผลักภาระภาษียังคงใช้ได้กับกรณีตลาดผูกขาด
Tax on consumers ในตลาดผูกขาดกรณีภาษี Ad Valorem P P1 S S P2 D1 D2 MR1 MR2 Q2 Q1 Q 25
ภาระภาษีในตลาด imperfectly competitive markets • ในความเป็นจริงโครงตลาดส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง perfect competition and monopoly. • ตลาดผู้ขายน้อยราย Oligopoly markets • ยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ว่าผลเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าน่ามีการผลักภาระภาษีในตลาดนี้ด้วยเช่นเดียวกัน • เหตุที่ยังไม่ข้อสรุป เพราะในตลาดผู้ขายน้อยรายไม่รู้วิธีการกำหนดราคา เนื่องจากต้องมี interaction ระหว่างผู้ขายแต่ละราย • อาจคาดการณ์ได้ตามสภาพตลาด เช่นการมี cartel ที่มีฮั้วกัน หรือร่วมมือกันระหว่างผู้ขายเพื่อหากำไรสูงสุดจากตลาด ตัวอย่าง OPEC
ภาระภาษีในตลาด imperfectly competitive markets • กรณีตลาดแบบ Oligopoly • การมี cartel แม้ว่าสามารถตกลงกันได้ระหว่างผู้ขายทั้งหมด แต่การรักษาสัญญาร่วมกันทำยาก เพราะเมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงจูงใจให้ผู้ขายแต่ละรายทำผิดสัญญา โดยเพิ่มผลผลิตของตนเองเกินกว่าที่กำหนด จึงมักมีจำนวนผลผลิตภายใต้ระบบ cartel มากกว่าที่กำหนดในการทำสัญญาที่ตกลง • เมื่อมีการเก็บภาษีจากระบบ ผู้ขายจะต้องลดปริมาณการผลิตของตนลง เพราะต้องจ่ายภาษี กำไรจึงลดลง แต่เนื่องจากมีสัญญาในการผลิต จากการที่ข้อตกลงร่วมกัน การเก็บภาษีจึงอาจไม่ทำให้ผู้ขายแย่ลง เพราะรักษาขนาดกำไรได้ตามจำนวนที่ตกลงไว้ก่อน
ภาระภาษีกรณีเก็บจากกำไร (Profit Tax) • ที่ผ่านวิเคราะห์ภาษีจากการขาย หากพิจารณาภาษีจากกำไรของกิจการ โดยเฉพาะกรณี economic profit ซึ่งเป็นกำไรที่เกินกว่าต้นทุนเสียโอกาสของปัจจัยการผลิต หรืออาจเรียกว่า กำไรส่วนเกิน (excess profit) • ภายใต้ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ MC = MR การเก็บภาษีแบบสัดส่วน ไม่มีแรงจูงใจที่ทำให้ MC และ MR เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เปลี่ยนระดับผลผลิต ผู้ผลิตจึงยอมรับภาระภาษีทั้งหมด
ภาระภาษีและการตีมูลค่า (capitalization) • สมมุติทรัพย์สิน เช่นที่ดิน สามารถให้ผลตอบแทน (ค่าเช่า)เท่ากับ R ในแต่ละปี หากมีผู้ต้องการซื้อที่ดินนี้ราคาที่จะซื้อควรเท่ากับมูลค่ารวมของผลตอบแทนที่ได้จากที่ดิน • ดังนั้น
ภาระภาษีและการตีมูลค่า (capitalization) • เมื่อมีการเก็บภาษี = uในแต่ละปี • ราคาของทรัพย์สินจะเปลี่ยนเป็น • ราคาของทรัพย์สินจะสูญหายไปจากภาษีเท่ากับ
การวิเคราะห์ภาระภาษีกรณี GENERAL EQUILIBRIUM • ที่ผ่านมาเป็นการวิเคราะห์ภายใต้ partial equilibrium. • Partial equilibrium tax incidenceเป็นการวิเคราะห์ในตลาดใดตลาดหนึ่งเท่านั้น • ความเป็นจริงผลของภาษีจะถูกกระจายไปยังตลาดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ต้องใช้การวิเคราะห์แบบ general equilibrium analysis.
ตัวอย่างการวิเคราะห์ภาระภาษีแบบ GE analysis กรณีเก็บภาษีจากผู้ผลิต • สมมุติเก็บภาษีจากผู้ขายที่มีเส้น demand ที่มีความยืดหยุ่นสูง (elastic)
Figure 10 ราคาอาหาร(P) S2 S1 demand สำหรับอาหารเป็น perfectly elastic. $1 B A D P1 = 20 จำนวนอาหารขายต่อวัน(Q) Q2 = 950 Q1 = 1000
ตัวอย่างการวิเคราะห์ภาระภาษีแบบ GE analysis กรณีเก็บภาษีจากผู้ผลิต ณ พื้นที่หนึ่ง • การเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในกรณีนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกสูง ทำให้ผู้ผลิตต้องรับภาระภาษีทั้งหมด เส้น Supply จึง shift ไปทางซ้าย • ในความเป็นจริงผู้ผลิตต้องมีการใช้ปัจจัยการผลิตทั้งที่เป็นทุน และแรงงานประกอบกันในการทำธุรกิจ
ตัวอย่างการวิเคราะห์ภาระภาษีแบบ GE analysis กรณีเก็บภาษีจากผู้ผลิต • การจัดเก็บภาษีกับผู้ผลิตที่ไม่อาจผลักภาระไปให้แก่ผู้บริโภค ทำให้เปรียบเสมือนเป็นการผลักภาระให้แก่ปัจจัยการผลิต (labor and capital) • ทำให้ต้องหันไปดูตลาดปัจจัยการผลิต • ข้อสมมุติ • ตลาดแรงงานมี supply ที่มีความยืดหยุ่นสูง เพราะสามารถหางานที่อื่นๆ ได้ง่าย • ตลาดทุนในระยะสั้น supply ของทุนมีความเป็น inelastic เพราะไม่สามารถหาที่ปล่อยกู้ได้ง่าย
Figure 11 ภาระภาษีทำให้ “shifted backward” ไปให้แก่ แรงงานและทุน (a) Labor (b) Capital ปัจจัยทุนเป็น inelastic อัตราผลตอบแทน (r) ค่าจ้าง(W) S สมมุติให้แรงงานมีลักษณะperfectly elastic. ปัจจัยทุนรับภาระภาษี แรงงานจึงไม่รับภาระภาษี A B A r1 = 10% W1 = 8 S B r2=8% D1 D2 D2 D1 ชั่วโมงทำงาน(H) การลงทุน(I) H2 = 900 H1 = 1,000 I1 = 50
ตัวอย่างการวิเคราะห์ภาระภาษีแบบ GE analysis กรณีเก็บภาษีจากผู้ผลิต • การเก็บภาษีกับผลผลิตในตลาดสินค้าที่มี demand แบบ elastic ทำให้ผู้ผลิตต้องผลักภาระไปข้างหลัง โดยการลดการจ้างงานและการใช้ปัจจัยทุน • แต่เพราะในตลาดแรงงานที่มี supply of labor แบบ elastic ที่แรงงานสามารถเคลื่อนออกได้ง่าย ผู้ผลิตเองจึงต้องลดจำนวนการจ้างงานลง แต่ไม่อาจลดอัตราค่าจ้างได้ • ดังนั้นแรงงานไม่รับภาระภาษีใดๆ • ขณะเดียวกัน ในตลาดปัจจัยทุนที่อยู่ในระยะสั้นทำให้ supply ของทุนมีจำกัด หรืออยู่คงที่ เมื่อความต้องการใช้ทุนลดลง ทำให้ เจ้าของปัจจัยทุนต้องลดอัตราผลตอบแทนของทุนที่เรียกร้องจากผู้ผลิต • ในระยะสั้นที่ทุนมีจำกัด เจ้าของทุนต้องรับผลจากการเก็บภาษีกับผู้ผลิต ทำให้ต้องรับถาระภาษีทั้งหมด
ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการวิเคราะห์ GE incidence analysis • ในระยะยาว supply of capital จะไม่เป็น inelastic. • ผู้ผลิตอาจปิดกิจการและไปลงทุนอย่างอื่นแทนที่ไม่ถูกเก็บภาษี • ในระยะยาวแล้ว ปัจจัยทุนอาจเป็น perfectly elastic เพราะมีสินทรัพย์ให้เลือกให้กู้แทนได้ จึงทำให้สามารถลดแรงกดดันที่ต้องรับภาระภาษีทั้งหมดแทนผู้ผลิต
ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการวิเคราะห์ GE incidence analysis • ถ้าสมมุติในระยะยาว ทั้งแรงงานและปัจจัยทุนต่างเป็นใครจะเป็นผู้รับภาระภาษีที่แท้จริง? • อีกปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องการผลิต คือที่ดิน ซึ่งมีลักษณะเป็นinelastic คือที่ดิน • คุณสมบัติ คือมีจำนวนจำกัดหรือคงที่ • ขณะที่แรงงานและปัจจัยทุนอาจหลีกเลี่ยงภาษีได้ วิธีเดียวที่ผู้ผลิตจะลดภาระภาษีของจนเองคือการลดอัตราค่าเช่าที่ดินลง
ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการวิเคราะห์ GE incidence analysis • ขอบเขตของการเก็บภาษี ก็ยังมีผลต่อการกระจายของภาระภาษีด้วย เช่นหากการเก็บภาษีเป็นการเก็บจากทั้งอุตสาหกรรม แทนการเก็บจากพื้นที่หนึ่งๆ • ผลคือ Demand ในตลาดผลผลิตไม่มีทางเลือก เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนการบริโภคสินค้านั้น ต้องจ่ายภาษีเหมือนกันทำให้เส้น demand มีความไม่ยืดหยุ่นมากขึ้นหรือ inelastic ผู้บริโภคจึงต้องรับภาระของภาษีบางส่วน • หาก Labor supply มีความไม่ยืดหยุ่นด้วย จึงต้องรับภาระภาษีด้วยเช่นกัน • ขอบเขตการเก็บภาษีเข้ามามีบาบาทต่อการผลักภาระภาษี เพราะมีผลต่อค่าความยืดหยุ่น elasticitiesที่ทำให้ผลการวิเคราะห์เปลี่ยนไปกล่าวคือการเก็บภาษีที่มีฐานภาษีขอบเขตกว้างขวาง ทำให้หลีกเลี่ยงภาษียากกว่าภาษีที่มีฐานแคบ ทำให้จำนวนผู้ผลิตหรือผู้บริโภคที่อยู่ในข่ายเสียภาษีมีจำนวนแคบลง จึงต้องรับภาระภาษีมากขึ้น เพราะมีความไม่ยืดหยุ่นมากขึ้น inelastic
ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการวิเคราะห์ GE incidence analysis • การวิเคราะห์ GE analysis อาจส่งผลต่อสินค้าในตลาดอื่นๆ ด้วย ไม่จำกัดเพียงในตลาดปัจจัยการผลิตของสินค้านั้นๆ เท่านั้น • การเก็บภาษีที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้: • เกิดผลด้าน effect กับผู้บริโภค • เกิดการทดแทนการบริโภคระหว่างสินค้าขึ้น • เกิดการลดการบริโภคสินค้าที่ใช้ร่วมกับสินค้าที่ถูกเก็บภาษี
ความสัมพันธ์ของประเภทภาษีภายใต้การวิเคราะห์ GE • สมมุติเป็นตลาดที่มี 2 สินค้า และ 2 ปัจจัยการผลิต • สินค้า K และ F • ปัจจัยการผลิต L และ K
ความสัมพันธ์ของประเภทภาษีภายใต้การวิเคราะห์ GE • tkf = ภาษีเก็บจากทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้า F • tkm= ภาษีเก็บจากทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้า M • tLf = ภาษีเก็บจากแรงงานที่ใช้ในการผลิตสินค้า F • tLM= ภาษีเก็บจากแรงงานที่ใช้ในการผลิตสินค้า M • tf= ภาษีเก็บจากสินค้า F • tm = ภาษีเก็บจากสินค้า M • tk= ภาษีเก็บจากปัจจัยการผลิต k • tL= ภาษีเก็บจากปัจจัยการผลิต L • t = ภาษีเก็บจากรายได้
ความสัมพันธ์ของประเภทภาษีภายใต้การวิเคราะห์ GE tkfและ tLFเปรียบเหมือน tf และ และ tKMและ tLM เปรียบเหมือน tM เปรียบเหมือน เปรียบเหมือน tKtLเปรียบเหมือน t
แบบจำลอง Harberger Model • คิดค้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Arnold Harberger (1974) โดยมีข้อสมมุติฐานคือ • เทคโนโลยีการผลิตใน L และ K ในการผลิตที่มี constant return to scale หากต้องการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้นต้องใส่ปัจจัยการผลิตเข้าไปในสัดส่วนเดียวกัน • ผู้ผลิตมีเทคนิคการผลิตที่แตกต่างกัน หรือมี intensity ของการใช้ L และ K ที่ต่างกันได้ แต่สามารถใช้ L และ K ทดแทนกันได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความสามารถในการทดแทนระหว่างปัจจัยการผลิตทั้งสอง หรือ Elasticity of substitution • เจ้าของปัจจัยการผลิต สามารุเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตของตนเองได้เสรี หรือมี transaction cost เท่ากับศูนย์ และมีพฤติกรรมที่มุ่งหาผลตอบแทนสูงสุด ซึ่งที่สุด MPLและ MPK ที่อยู่ทั้งสองอุตสาหกรรมจะต้องเท่ากัน เพราะจะไม่การเคลื่อนย้ายอีก
แบบจำลอง Harberger Model • กำหนดให้โครงสร้างตลาด เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ที่มีข้อมูลข่าวสารสมบูรณ์ ทั้งราคาสินค้า และผลตอบแทนแก่ปัจจัยการผลิต ทุกๆ ฝ่ายพยายามให้ได้ กำไรหรือผลตอบแทนสูงสุดเสมอ • มีจำนวนปัจจัยการผลิตที่คงที่ หรือ Lf + Lm = L Kf + Km = K • ผู้บริโภคมีรสนิยมที่เหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างของการกระจายรายได้ • กรอบการศึกษาพิจารณาภาระภาษี จะทำโดยการทดแทนภาษีหนึ่งด้วยภาษีอีกชนิดหนึ่ง เพื่อเป็นการขจัดปัญหาผลของการเพิ่มของรายได้ที่มีต่อความต้องการสินค้าและราคาปัจจัยการผลิต
กรณีภาษีการบริโภคสินค้า (tf ) • เมื่อมีการเก็บภาษีกับสินค้าใดสินค้าหนึ่ง ทำให้ราคาเปรียบเทียบของสินค้านั้นเพิ่มขึ้นตามขนาดของภาษี กรณีนี้คือสินค้า อาหาร (f) • ผู้บริโภคจึงทดแทน อาหาร (f) ด้วยสินค้าอุตสาหกรรม (m) • จึงผลิต f ลดลง และ m เพิ่มขึ้น ทำให้การใช้ปัจจัยการผลิตใน f ลดลง แต่ใน m เพิ่มขึ้นด้วย • แต่เพราะความเข้มข้นของการใช้ปัจจัยการผลิตไม่เท่ากัน หาก f เป็น labor intensive ขณะที่ m เป็น capital intensive • ผลการเก็บภาษีทำให้มีแรงงานว่างงานจากการผลิต f ลดลงมาก เพื่อให้แรงงานถูกดูดซับในการผลิตของ m ได้นั้น แรงงานที่ไหลออกจาก f ต้องลดการเรียกร้องค่าจ้างลงมาก รวมทั้งแรงงานที่อยู่ใน m ด้วย
กรณีภาษีการบริโภคสินค้า (tf ) • ดังนั้นแรงงานทั้งหมดของระบบเศรษฐกิจนี้จึงต้องรับภาระของภาษีสินค้า f ที่ถูกจัดเก็บ • ประเด็นการพิจารณาเพิ่มเติม • Elasticity ระหว่างสินค้า f และ m • Intensity ของการใช้ปัจจัยการผลิตระหว่างผู้ผลิต แตกต่างกันมากน้อยอย่างไร • Elasticity of substitution ระหว่างปัจจัยการผลิตเป็นอย่างไร • จากกรณีตัวอย่างที่เก็บภาษีสินค้า f ผู้ที่มีเงินได้จากแรงงาน ทั้งใน f และ m จะเป็นผู้ที่รับภาระมากที่สุด และ • ผู้บริโภคสินค้า f ก็จะต้องรับภาระด้วยเช่นเดียวกัน
กรณีภาษีเงินได้ (t) • เหมือนการเก็บภาษีกับปัจจัยการผลิตทั้งสองชนิดพร้อมกัน • ผลลัพธ์ คือทุกๆ ส่วนที่อยู่ในการผลิตจะรับภาระเท่าๆ กัน ไม่อาจผลักภาระให้คนอื่นๆ ได้ ขนาดภาระภาษีอยู่ในสัดส่วนเดียวกัน เพราะถูกกำหนดให้จำนวนปัจจัยการผลิตคงที่
กรณีภาษีปัจจัยการผลิต (tl ) • แรงงานในทุกๆ ส่วนร่วมกันรับภาระภาษี เพราะจัดเก็บจากแรงงานเท่านั้นไม่ว่าอยู่ในการผลิต f หรือ m