1 / 45

ขนาดตัวอย่างในการทำวิจัย

ขนาดตัวอย่างในการทำวิจัย. การคำนวณกลุ่มตัวอย่างเพื่อการทำวิจัยทางการพยาบาล วันที่ 25 มีนาคม 2553 ณ ห้องประชุม 402 อาคารราชนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กิตติกา กาญจนรัตนากร งานวิจัยและวิเทศสัมพันธ์. What is “Routine to Research”?.

eldora
Download Presentation

ขนาดตัวอย่างในการทำวิจัย

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ขนาดตัวอย่างในการทำวิจัยขนาดตัวอย่างในการทำวิจัย การคำนวณกลุ่มตัวอย่างเพื่อการทำวิจัยทางการพยาบาล วันที่ 25 มีนาคม 2553 ณ ห้องประชุม 402 อาคารราชนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กิตติกา กาญจนรัตนากร งานวิจัยและวิเทศสัมพันธ์

  2. What is“Routine to Research”? ผลลัพธ์ของการวิจัยต้องวัดที่ผลต่อตัวผู้ป่วยหรือบริการที่มีผลต่อผู้ป่วยโดยตรงไม่ใช่วัดที่ตัวชี้วัดทุติยภูมิเท่านั้นเช่น ระดับสารต่าง ๆ ในร่างกายหรือผลการตรวจพิเศษต่าง ๆ การนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ผลการวิจัยต้องวนกลับไปมีผลเปลี่ยนแปลงการให้บริการผู้ป่วยโดยตรงหรือต่อการจัดบริการผู้ป่วยจึงจะถือว่าเป็น R2R Prof. Vicharn Panich

  3. คำถาม 108 ที่อาจเป็นอุปสรรค นักวิชาการมักตั้งคำถามเหล่านี้ 1.การคำนวณขนาดตัวอย่าง ??? 2.ความน่าเชื่อถือของ intervention?? ?????????????

  4. คำถามเหล่านี้ อาจบั่นทอนกำลังใจ ของนักปฏิบัติการ ที่กำลังริเริ่มทำวิจัยใหม่ๆ ทำให้เบื่อหน่าย และไม่อยากทำวิจัย แง........แกล้งหนู ไม่ทำก็ได้ โน่นก็ผิด นี่ก็ผิด

  5. ทางออกที่ดี • พบกันคนละครึ่งทาง • พยายามผลักดันให้นักปฏิบัติมองงาน ที่ทำอยู่ประจำวันเป็นงานวิจัย • - งานพัฒนาคุณภาพที่ทำอยู่ เก็บข้อมูลดีๆ รายงานผลให้เป็น และใช้สถิติเปรียบเทียบให้ถูกต้อง ก็สามารถ report ได้ในลักษณะของงานวิจัย

  6. ความสำคัญของขนาดตัวอย่างความสำคัญของขนาดตัวอย่าง • - ขนาดเหมาะสม คำตอบที่ถูกต้อง • ขนาดเล็กไป ไม่น่าเชื่อถือ เสียเวลา • ขนาดมากไป สิ้นเปลืองงบประมาณ เวลา ฯลฯ

  7. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการคำนวณขนาดตัวอย่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการคำนวณขนาดตัวอย่าง 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย (objective of the study) 2. ประเภทของตัวแปรหลัก (type of variable) 3. รูปแบบงานวิจัย (study design)

  8. Study Objective: - Hypothesis generating (Pilot study)  No sample size estimation - Hypothesis confirmation * Estimation * Test of hypothesis Sample size estimation

  9. Descriptive study  estimation • ศึกษาค่าเฉลี่ยจากกลุ่มตัวอย่างเพื่ออธิบายค่าเฉลี่ยของกลุ่มประชากร • ศึกษาอุบัติการณ์จากกลุ่มตัวอย่างเพื่ออธิบายอุบัติการณ์ที่เกิดในกลุ่มประชากร อธิบายค่า อธิบายค่า ศึกษาอุบัติการณ์การติดเชื้อในโรงพยาบาลที่ตำแหน่งผ่าตัด

  10. Test of hypothesis : การทดสอบสมมติฐาน อาศัยทฤษฎีความน่าจะเป็นศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างเพื่อทดสอบความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์ของค่าที่สนใจ โดยใช้เทคนิคทางสถิติที่เหมาะสม • ประเภทของตัวแปรหลัก 1. Nominalตาย, ติดเชื้อ 2. Ordinal ปวดมาก, ปวดปานกลาง 3. Intervalอุณหภูมิ ,IQ 4. Ratio น้ำหนัก, ส่วนสูง ข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ

  11. ขนาดตัวอย่างจะแปรตามพารามิเตอร์ขนาดตัวอย่างจะแปรตามพารามิเตอร์ 1. ความน่าจะเป็นของความผิดพลาดในการศึกษา แสดงเป็นค่า เช่น .05, .10 2. ความแปรปรวนของตัวแปรหลัก   SD2 3. Precision of the estimate หรือ effect size ที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน 2

  12. Estimation ขนาดตัวอย่างสำหรับการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างเดียว 1. ขนาดตัวอย่างเพื่อใช้ในการประมาณค่าเฉลี่ย

  13. เมื่อ คือ ค่าคะแนนมาตรฐานเมื่อกำหนดให้ระดับนัยสำคัญเท่ากับ คือ ค่าความแปรปรวนของค่าที่เราต้องการศึกษา ปกติในทาง ปฏิบัติจะไม่ทราบค่าที่แท้จริง จะอาศัยค่าจากการศึกษา ก่อนหน้านี้ หรือจาก pilot studyหรือนำมาจากประสบการณ์ ของผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในวงการนั้นๆ คือ ระดับความเชื่อมั่นที่กำหนดให้ เช่น 95%, 99% คือ ค่าความคลาดเคลื่อนระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากรกับค่าเฉลี่ย จากกลุ่มตัวอย่างที่มากที่สุดที่ยอมให้เกิดขึ้นได้ในการศึกษานี้ 2

  14. ตัวอย่าง นักวิจัยต้องการค่าเฉลี่ยของปริมาณเกลือฟอสเฟตที่ปรากฏอยู่ในอาหารชุดของผู้ป่วย โดยเคยมีผู้รายงานว่า SD ของเกลือที่ปรากฎอยู่ว่าเท่ากับ 4 ppm. ภายใต้ระดับความเชื่อมั่นที่ 95% หากกำหนดว่าค่าเฉลี่ยที่ศึกษานี้ มีความคลาดเคลื่อนจากค่าจริงไม่เกิน 0.8 ppm. นักวิจัยจะต้องสุ่มตรวจตัวอย่างในการศึกษานี้ เป็นจำนวนเท่าใด จากข้อมูลที่ได้ทราบถึง ค่า คือ 4 ค่า ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% คือ 1.96 ค่า คือ ขนาดความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ เกิดขึ้นคือ 0.8

  15. การคำนวณขนาดตัวอย่าง การคำนวณขนาดตัวอย่าง = 96.04 ดังนั้น ต้องใช้ตัวอย่าง อย่างน้อย 97 ตัวอย่าง

  16. 2. ขนาดตัวอย่างเพื่อใช้ในการประมาณค่าสัดส่วน

  17. จำนวนการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ที่เราสนใจจำนวนการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ที่เราสนใจ จำนวนตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานั้น เมื่อ คือ ค่าคะแนนมาตรฐานเมื่อกำหนดให้ระดับนัยสำคัญเท่ากับ คือ ค่าสัดส่วนที่เราสนใจจะประเมินโดยปกติคือค่า คือ ระดับความเชื่อมั่นที่กำหนดให้ เช่น 95%, 99% คือ ค่าความคลาดเคลื่อนระหว่างสัดส่วนของประชากรกับค่าของ กลุ่มตัวอย่างที่นักวิจัยยอมให้เกิดขึ้นในการศึกษา

  18. ตัวอย่าง หากทางโรงพยาบาลตั้งเป้าหมายว่าสถิติการฉีดยาผิดพลาดของพยาบาลใน 1 ปี ไม่ควรเกิน 5%ทางโรงพยาบาลจึงทำการสุ่มตรวจ ภายใต้ระดับความเชื่อมั่นที่ 95% และการประมาณอุบัติการณ์นี้จะมีความคลาดเคลื่อนไม่เกินบวกลบ 1%จะต้องใช้การสุ่มตัวอย่างขนาดเท่าใด จากข้อมูลที่มีทำให้ทราบ ค่าอุบัติการณ์เท่ากับ 5% ค่า ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% = 1.96 ค่า คือขนาดความคลาดเคลื่อนไม่เกินบวกลบ 1% = 0.01

  19. ดังนั้นต้องใช้การสุ่มตัวอย่างขนาด ดังนั้นต้องใช้การสุ่มตัวอย่างขนาด = 1824 ดังนั้นต้องสุ่มตัวอย่างขนาดอย่างน้อย 1,824 ตัวอย่าง

  20. การคำนวณขนาดตัวอย่างเมื่อต้องการเปรียบเทียบค่าที่ได้จากการศึกษากับค่าที่เป็นทฤษฎี หรือที่มีการรายงานมาก่อน 1. ขนาดตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่มกับค่าเฉลี่ยที่เป็นทฤษฎีมาตรฐานมาก่อน หากกำหนดให้ค่าเฉลี่ยที่เป็นมาตรฐาน (Standard Value) เป็น และค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็น

  21. เราจะทดสอบสมมุติฐานที่ว่า นั่นคือ เมื่อกำหนดค่า และ แล้ว เราจะได้ค่าคะแนนมาตรฐาน และ ได้

  22. ขนาดตัวอย่างเมื่อต้องการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างกับค่าเฉลี่ยขนาดตัวอย่างเมื่อต้องการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างกับค่าเฉลี่ย เป็นมาตรฐาน คือ เมื่อ คือ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลของประชากร ซึ่งจะได้ จากการศึกษาในอดีต หรือที่มีการอ้างอิงมาก่อน Zα คือ ค่า Z เมื่อกำหนดขนาดของ type I error Z คือ ค่า Z เมื่อกำหนดขนาดของ type II error

  23. โอกาสผิดพลาดของผลการทดลองที่เรายอมรับให้โอกาสผิดพลาดของผลการทดลองที่เรายอมรับให้ เกิดขึ้นได้ (the risk of error one is willing to tolerate) • Type I error หรือαerror • Type II errorหรือ  error

  24. ตารางแสดงค่า zณ ระดับ errorต่างๆ ที่กำหนด

  25. ตัวอย่าง ผู้วิจัยต้องการศึกษาว่าค่าคะแนนความเครียดของพยาบาลใน ward ICU จะต่างกับพยาบาลโดยทั่วไปหรือไม่ หากอดีตพบว่าค่าคะแนนความเครียดในพยาบาลทั่วไปจะมีค่าเท่ากับ 98 คะแนนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 20 และเมื่อต้องการหาค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดของกลุ่ม พยาบาลใน ward ICU โดยเก็บข้อมูลนำร่องพบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดของพยาบาลใน wardICUเท่ากับ 110 คะแนนเมื่อ และ จะต้องใช้ขนาดตัวอย่างจำนวนเท่าไหร่ จากข้อมูลที่มี จะได้

  26. ดังนั้น = 29.16  30 คน ต้องใช้ตัวอย่างกลุ่มละ 30 คน

  27. 2. ขนาดตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบค่าสัดส่วนที่ได้จาก 1 กลุ่มตัวอย่าง เทียบกับค่าทฤษฎีหรือค่ามาตรฐาน อาศัยหลักการเดียวกันจะได้

  28. เมื่อ เป็นค่าสัดส่วนของกลุ่มมาตรฐานคือ เป็นค่าสัดส่วนของกลุ่มที่ศึกษาคือ มีความหมายเช่นที่ผ่านมา

  29. เดิมมีผู้มาใช้บริการตรวจสุขภาพเพียง 40%คำถามว่าถ้า โรงพยาบาลส่งไปรษณียบัตรเตือน  ลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มเป็น 50% หากต้องการทำวิจัยสำรวจความเห็นโดยกำหนด = 2% และ = 10% แล้ว ผู้วิจัยควรจะเก็บข้อมูลจำนวนเท่าใดจึงจะเพียงพอ เราต้องการทดสอบสมมุติฐาน

  30. กำหนด ดังนั้น ดังนั้น แทนค่า = 317 คนเป็นอย่างน้อย

  31. 3. ขนาดตัวอย่างสำหรับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปร 2 ตัว เมื่อเราต้องการศึกษาค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร x และ y ว่ามี ค่าเท่าใด มีนัยสำคัญทางสถิติหรือไม่ สูตรการคำนวณขนาดตัวอย่าง คือ

  32. เมื่อ คือ ค่า estimate ของสัมประสิทธิ์สัมพันธ์ของค่าตัวแปรทั้ง สอง ซึ่งอาจได้จาก pilot study,การศึกษาในอดีต, การศึกษาของที่มีการอ้างอิงมาแล้ว คือ ค่า ที่ได้จากตารางแจกแจงปกติมาตรฐานเมื่อ กำหนดค่า ให้ คือ ค่า ที่ได้จากตารางแจกแจงปกติมาตรฐานเมื่อ กำหนดค่า ให้

  33. ตัวอย่าง ต้องการศึกษาความสัมพันธ์ของความสัมพันธ์ระหว่างความหวังกับความพึงพอใจในการดำเนินชีวิตในสตรีที่มีบุตรยากโดยนักวิจัยเชื่อว่าผู้ที่มีค่าความหวัง สูงจะมีค่าความพึงพอใจต่ำ จากการศึกษาของต่างประเทศพบว่าค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์ระหว่างค่าความหวังกับความพึงพอใจในการดำเนินชีวิตในสตรีที่มีบุตรยาก เท่ากับ -0.2 หากนักวิจัยต้องการศึกษาในคลินิกผู้มีบุตรยากในไทย นักวิจัยควรใช้ขนาดตัวอย่างเท่าไหร่ กำหนด

  34. ดังนั้น แทนค่าในสูตรได้ คน นั่นคือจะต้องใช้ตัวอย่าง 261 คน

  35. กรณีกลุ่มตัวอย่างถอนตัวออกจากการวิจัยกรณีกลุ่มตัวอย่างถอนตัวออกจากการวิจัย หากมีประสบการณ์ว่าตัวอย่างที่ถูกเลือกเป็นกรณีศึกษาของ โครงการวิจัยไม่สามารถอยู่ร่วมการวิจัยได้ตลอดช่วงที่กำหนด ซึ่งอาจจะ ถอนตัวไปด้วยสาเหตุต่างๆ นักวิจัยอาจต้องคำนวณขนาดตัวอย่างเผื่อไว้โดย เมื่อ เป็นอัตราการถอนตัวหรือไม่อยู่ร่วมการวิจัยอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีสถิติเดิมเก็บไว้ ก็อาจจะเผื่อไว้ได้ถึง 10 – 20%

  36. Krejcie & Morgan Formular for Determining needed sample sizes

  37. s = required sample size. X2 = the table value of chi-square for 1 degree of freedom at the desired confidence level (3.841). N = the population size. P = the population proportion (assumed to be .50 since this would provide the maximum sample size). d = the degree of accuracy expressed as a proportion (.05).

  38. No one is in charge of your happiness except you.

  39. Other Sample Size Determination 1. Regression Analysis n = 5 or 10 x number of independent variables. 2. Factor Analysis Should not be done with n < 100. 3. Sampling non respondents Should take sample of 10-20% of non respondents to use in non-respondent follow up analysis.

  40. 4. Budget, time and other constraints. - report both appropriate sample size & sample sizes actually used in the study. - The reasons for using inadequate sample size. - Should exercise caution when making programmatic recommendations based on research conducted with inadequate sample sizes.

  41. Reference : • Woodward M. Epidemiology Study Design And Data Analysis. 2nd ed. Florida: Chapman & Hall, 2004. • Donglas GA. Practical statistics for medical research. London: Chapman & Hall, 1991. • Norman RG, Streiner LD. Biostatistics the bare essentials. Missouri: Mosby – Year Book, 1994. • Norman RG, Streiner LD. PDQ statistics. Ontario : B.C. Decker, 1986. • Saunders DB, Trapp GR. Basic and clinical biostatistics. New Jersey: Applenton & Lange, 1990. • Knapp GR, Miller MC. Clinical epidemiology and biostatistics. Maryland: Williams & Wilkins, 1992: 187-231.

More Related