1 / 26

บทที่ 7 เขตอำนาจรัฐ (Jurisdiction)

บทที่ 7 เขตอำนาจรัฐ (Jurisdiction). กอบกุล รายะนาคร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. เขตอำนาจรัฐ (jurisdiction) หมายถึง การใช้อำนาจของรัฐที่มีผลต่อบุคคล ทรัพย์สิน หรือเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง

lilly
Download Presentation

บทที่ 7 เขตอำนาจรัฐ (Jurisdiction)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 7เขตอำนาจรัฐ(Jurisdiction) กอบกุล รายะนาคร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

  2. เขตอำนาจรัฐ (jurisdiction) หมายถึง การใช้อำนาจของรัฐที่มีผลต่อบุคคล ทรัพย์สิน หรือเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง • เขตอำนาจรัฐเกิดจากหลักอำนาจอธิปไตย หลักความเท่าเทียมกันของรัฐ และหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐ

  3. รัฐอาจใช้กฎหมายบังคับกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้นนอกเขตดินแดนของตนได้ในบางกรณีรัฐอาจใช้กฎหมายบังคับกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้นนอกเขตดินแดนของตนได้ในบางกรณี • บุคคล (เช่น ตัวแทนทางทูต) หรือกิจกรรมและทรัพย์สินของรัฐอื่น อาจได้รับความคุ้มกันจากเขตอำนาจรัฐได้ตามหลักความคุ้มกันของรัฐาธิปัตย์ (sovereign immunity)

  4. เขตอำนาจรัฐในด้านต่างๆเขตอำนาจรัฐในด้านต่างๆ • อำนาจในการตรากฎหมาย (legislative jurisdiction) โดยไม่ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ • อำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย (executive jurisdiction) ภายในดินแดนของตน • อำนาจทางศาล (judicial jurisdiction) ในการพิจารณาคดี

  5. เขตอำนาจรัฐในทางแพ่ง (Civil Jurisdiction) • ในประเทศกลุ่มคอมมอนลอว์ เช่น สหรัฐฯ และอังกฤษ อำนาจในการดำเนินคดีแพ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการออกหมายเรียก หากจำเลยปรากฎตัวในดินแดน แม้จะเป็นการชั่วคราวก็ตาม • ประเทศในภาคพื้นยุโรป ใช้อำนาจทางแพ่งเมื่อจำเลยมีถิ่นที่อยู่ในเขตดินแดนของตน • เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก และสวีเดน ใช้อำนาจทางแพ่ง หากจำเลยมีทรัพย์สินในเขตราชอาณาจักร และหากเป็นคดีครอบครัว อำนาจศาลเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายที่ฟ้องคดีมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในประเทศ

  6. เขตอำนาจรัฐในทางคดีอาญา(Criminal Jurisdiction) • หลักดินแดน (territorial principle) • หลักสัญชาติ (nationality principle) • หลักผู้ถูกระทำ (passive personality principle) • หลักป้องกัน (protective principle) • หลักสากล (universality principle) • อำนาจรัฐที่เกิดจากสนธิสัญญา

  7. หลักดินแดน (Territorial Jurisdiction) • กฎหมายของรัฐใช้บังคับเหนือการกระทำทั้งหมดที่เกิดในดินแดนหรือในเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐ • เขตอำนาจอธิปไตยได้แก่ พื้นดิน พื้นน้ำที่อยู่ในเขตแดน น่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต และห้วงอากาศที่อยู่เหนือพื้นที่เหล่านั้น • รวมถึงการกระทำที่ส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดขึ้นในราชอาณาจักร • มาตรา 4 – 5ประมวลกฎหมายอาญา

  8. หลักสัญชาติ (Nationality Principle) • รัฐสามารถใช้กฎหมายอาญาบังคับกับคนชาติตน • ใช้บังคับรวมถึงนิติบุคคล เรือ อากาศยาน • รัฐมีอำนาจเต็มที่ในการกำหนดเงื่อนไขในการให้สัญชาติ แต่หากจะนำสัญชาติไปอ้างกับรัฐอื่นในระดับระหว่างประเทศ จะต้องมีความเกี่ยวโยงอย่างแท้จริง (คดี Nottebohm) • มาตรา 8 (ก) ประมวลกฎหมายอาญา

  9. หลักผู้ถูกกระทำ(Passive Personality Principle) • รัฐใช้กฎหมายบังคับต่อการกระทำที่เกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักร แต่ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่คนชาติตน • เป็นหลักที่ได้รับการยอมรับน้อยกว่าหลักอื่นและได้รับการคัดค้านจากสหรัฐฯ และอังกฤษ • Cutting Case (1886) เป็นตัวอย่างที่เม็กซิโก พยายามใช้หลักผู้ถูกกระทำ • มาตรา 8 (ข) ประมวลกฎหมายอาญา

  10. หลักป้องกัน (Protective Principle) • กฎหมายของรัฐย่อมใช้บังคับกับการกระทำผิดที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของรัฐ • Joyce v. D.P.P. (1946) การกระทำผิดที่ถือเป็นการทรยศต่อชาติ แม้กระทำนอกราชอาณาจักร ก็ต้องรับโทษในราชอาณาจักร • มาตรา 7 และ มาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญา

  11. หลักสากล(Universality Principle) กฎหมายของรัฐย่อมใช้บังคับได้กับการกระทำผิดซึ่งเป็นการละเมิดต่อประชาคมโลกโดยส่วนรวม • การกระทำอันเป็นโจรสลัด (piracy) • การกระทำผิดที่เป็นอาชญากรรมต่อสันติภาพ อาชญากรรมต่อมนุษย์ การละมิดกฎหมายด้านมนุษยธรรม • Eichmann Case(1961) • มาตรา 7 (3) ประมวลกฎหมายอาญา

  12. การใช้อำนาจรัฐตามสนธิสัญญาการใช้อำนาจรัฐตามสนธิสัญญา • อนุสัญญาว่าด้วยความผิดและการกระทำอื่นๆบางประการที่กระทำบนอากาศยาน (Tokyo Convention) ค.ศ. 1963 • อนุสัญญาเพื่อการปราบปรามการยึดอากาศยานโดยมิชอบด้วยกฎหมาย(Hague Convention) ค.ศ. 1970 • อนุสัญญาเพื่อปราบปรามการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายต่อความปลอดภัยของการบินพลเรือน (Montreal Convention) ค.ศ. 1971

  13. การใช้อำนาจรัฐตามสนธิสัญญาการใช้อำนาจรัฐตามสนธิสัญญา • อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (Convention against Torture) ค.ศ. 1984 • อนุสัญญาว่าด้วยบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองในระดับระหว่างประเทศ (Internationally Protected Persons Convention) ค.ศ. 1973 • อนุสัญญาต่อต้านการจับตัวประกัน (Convention against the Taking of Hostages) ค.ศ. 1979 • อนุสัญญาและพิธีสารปราบปรามการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อความปลอดภัยในการเดินทะเล ค.ศ. 1988 • อนุสัญญาต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ. 1988

  14. กฎหมายไทยที่ให้อำนาจรัฐในทางคดีอาญากฎหมายไทยที่ให้อำนาจรัฐในทางคดีอาญา • พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2521 • พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัด พ.ศ. 2534 • พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 • พระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535

  15. การส่งผู้ร้ายข้ามแดน(Extradition)การส่งผู้ร้ายข้ามแดน(Extradition) • ความผิดอาญาที่ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนต้องเป็นความผิดอาญาในทั้งสองประเทศ (หลัก Double Criminality) • บุคคลที่ถูกส่งตัวจะถูกพิจารณาและลงโทษเฉพาะในความผิดที่ขอให้ส่งตัวเท่านั้น (หลัก Specialty) • ไม่ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีที่เป็นความผิดทางการเมือง

  16. ความผิดเกี่ยวกับการเมืองความผิดเกี่ยวกับการเมือง • ไม่รวมการปลงชีวิต หรือประทุษร้ายประมุขแห่งรัฐ สมาชิกในครอบครัว หรือผู้รักษาราชการแทนประมุข • อาจมีปัญหาการพิจารณาว่าเป็นความผิดที่เกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ เช่น หากเป็นการทำรัฐประหาร แต่ล้มเหลว

  17. พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 • แม้ไม่มีสนธิสัญญาก็ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ แต่ต้องเป็นความผิดที่กฎหมายไทยกำหนดโทษจำคุกไม่น้อยว่า 1 ปี (มาตรา 4) • ต้องมีคำร้องขอจากรัฐบาลต่างประเทศโดยทางทูตหรือทางกงสุล พร้อมส่งหลักฐานประกอบ เช่น สำเนาคำพิพากษาของศาล หรือหมายจับ (มาตรา 6-7) • ให้แจ้งกระทรวงมหาดไทยเพื่อออกหมายจับและให้นำจำเลยขึ้นสู่ศาลโดยเร็วที่สุด (มาตรา 8-11)

  18. พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 (2) มาตรา 12 ศาลจะต้องทำให้เป็นที่พอใจว่า (1) จำเลยเป็นตัวบุคคลที่ถูกร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน (2) มีพยานหลักฐานเพียงพอ (3) ความผิดนั้นอยู่ในประเภทที่จะส่งตัวจำเลยข้ามแดนได้ และไม่ใช่เป็นความผิดอันมีลักษณะในทางการเมือง

  19. พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 (3) มาตรา 13 ศาลไม่จำต้องฟังพยานหลักฐานข้อต่อสู้ฝ่ายจำเลย นอกจากในข้อต่อไปนี้ คือ • จำเลยไม่ใช่ตัวบุคคลที่ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดน • ความผิดนั้นไม่อยู่ในประเภทที่จะส่งข้ามแดนได้ หรือเป็นความผิดอันมีลักษณะทางการเมือง • การที่ขอให้ส่งข้ามแดนนั้น ความจริงเพื่อประสงค์จะเอาตัวไปลงโทษสำหรับความผิดอย่างอื่นอันมีลักษณะในทางการเมือง • สัญชาติของจำเลย

  20. พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 (4) • ถ้าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ให้สั่งปล่อยจำเลย • ถ้าเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็ให้ออกคำสั่งขังจำเลยเพื่อส่งตัวข้ามแดนต่อไป • จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วัน • หากเป็นคนในบังคับของไทย หรือมีข้อสงสัย ให้ออกคำสั่งปล่อยตัวจำเลย

  21. อาชญากรรมระหว่างประเทศ (International Crimes) • อาชญากรรมต่อสันติภาพ (crime against peace) • อาชญากรรมต่อมนุษย์ (crime against humanity) • การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) • การละเมิดอนุสัญญาเจนีวาด้านมนุษยธรรม ค.ศ. 1949 (humanitarian law) • การฆ่า ทรมาน หรือปฏิบัติอย่างผิดมนุษย์ • การยึดและทำลายทรัพย์สินโดยมิใช่วัตถุประสงค์ทางทหาร • การโจมตีเป้าหมายพลเรือน • การโจมตีสถานที่ประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม หรือสถานที่ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา

  22. ศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจ • ศาลอาญาระหว่างประเทศในอดีตยูโกสลาเวีย • จัดตั้งโดยมติคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อ ค.ศ. 1993 เพื่อพิจารณาคดีผู้กระทำผิดกฎหมายมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงในอดีตยูโกสลาเวีย • ศาลอาญาระหว่างประเทศในรวันดา • จัดตั้งขึ้นโดยมติคณะมนตรีความมั่นคง ค.ศ. 1994 เพื่อพิจารณาคดีผู้กระทำผิดด้านมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงในประเทศรวันดาและประเทศเพื่อนบ้านในช่วง 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 1994

  23. ศาลอาญาระหว่างประเทศ(International Criminal Court หรือ ICC) • จัดตั้งโดย Rome Statute of the International Criminal Court ค.ศ. 1998 • เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 • ตั้งอยู่ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ • ณ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 มีรัฐภาคี 106 ประเทศ

  24. อำนาจในการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศอำนาจในการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ • มีอำนาจพิจารณาคดีที่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุด (the most serious crimes of concern) ซึ่งกระทำโดยปัจเจกบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ได้แก่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษย์ และอาชญากรรมสงคราม • ศาลจะมีอำนาจในการพิจารณาคดีที่เป็นอาชญากรรมต่อสันติภาพ เมื่อมีการกำหนดนิยามและเงื่อนไขชัดเจนในอนาคต

  25. อำนาจในการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศอำนาจในการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ • ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคดีที่เป็นอาชญากรรมซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 • การก่อการร้ายอาจอยู่ในอำนาจศาล หากว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษย์ และอาชญากรรมสงคราม

  26. อำนาจในการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศอำนาจในการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ • ไม่ยกเว้นประมุขของรัฐหรือรัฐบาล สมาชิกรัฐบาลหรือรัฐสภา หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ • อำนาจศาลเกิดขึ้นเมื่อรัฐไม่สามารถหรือไม่ต้องการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด • การริเริ่มคดีอาจเกิดจากการยื่นคำร้องขอโดยรัฐภาคี อัยการประจำศาล หรือคณะมนตรีความมั่นคง

More Related