1 / 34

บทที่ 5

บทที่ 5. ระบบฐานข้อมูล. การจัดระเบียบข้อมูล. ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ จะต้องเป็นสารสนเทศที่ถูกต้อง แม่นยำ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ถ้าข้อมูลถูกจัดเก็บและเรียบเรียงไว้อย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์ที่ดี ก็จะเป็นการง่ายต่อการเข้าถึง

Download Presentation

บทที่ 5

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 5 ระบบฐานข้อมูล

  2. การจัดระเบียบข้อมูล • ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ จะต้องเป็นสารสนเทศที่ถูกต้อง แม่นยำ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ • ถ้าข้อมูลถูกจัดเก็บและเรียบเรียงไว้อย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์ที่ดี ก็จะเป็นการง่ายต่อการเข้าถึง • ถ้าข้อมูลจัดเก็บไม่ดี ขาดการวางแผน และจัดระบบอย่างไม่ถูกต้อง อาจจะก่อให้เกิดความสับสนหรือยุ่งยาก • ถ้าระบบจัดเก็บขาดประสิทธิภาพก็จะก่อให้เกิดความล่าช้าในการเลือกข้อมูล การสูญหายของข้อมูล

  3. การจัดแฟ้มข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 แบบ 1. การจัดแฟ้มข้องมูลแบบเรียงลำดับ (Sequential File Organization) 2. การจัดแฟ้มข้องมูลแบบสุ่ม (Random File Organization)

  4. 1. การจัดแฟ้มข้องมูลแบบเรียงลำดับ • เป็นวิธีการจัดเก็บและรวบรวมระเบียน (Record) ของข้อมูลตามลำดับก่อนหลัง โดยจัดเรียงจากน้อยไปมาก หรือจากมากไปน้อย • วิธีการจัดแฟ้มข้อมูลแบบนี้เหมาะกับงานที่มีระยะเวลาในการประมวลผลค่อนข้างแน่นอน และต้องใช้ข้อมูลปริมาณมากในการประมวลผล

  5. 1. การจัดแฟ้มข้องมูลแบบเรียงลำดับ การจัดแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับมีข้อดีดังต่อไปนี้ • ช่วยให้งานออกแบบแฟ้มข้อมูลง่าย เนื่องจากการจัดข้อมูลจะต้องดำเนินงานตามขั้นตอนโดยเรียงลำดับก่อนหลัง • สะดวกต่อการออกแบบและประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับการประมวลผลข้อมูลในปริมาณมาก • ประหยัดคาใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ เพราะใช้เทปแม่เหล็กในการจัดเก็บ ซึ่งมีราคาถูกกว่าอุปกรณ์อื่น

  6. 1. การจัดแฟ้มข้องมูลแบบเรียงลำดับ ข้อจำกัด • เสียเวลาในการดำเนินงาน เนื่องจากผู้ใช้ต้องเสียเวลาในการเข้าถึงแฟ้มข้อมูลทั้งหมดถึงแม้จะใช้ข้อมูลบางส่วน • ข้อมูลไม่ทันสมัยหรือไม่เป็นไปตามความจริง เนื่องจากการเข้าถึงต้องเป็นไปตามลำดับและใช้ระยะเวลามาก จึงต้องปรับปรุงข้อมูลตามระยะเวลาที่กำหนด • ต้องจัดลำดับข้อมูลที่ต้องการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะมีการนำไปแก้ไขแฟ้ข้อมูล ทำให้ล่าช้า ยุ่งยากในการ ใช้แรงงานซับซ้อน ดำเนินงาน

  7. 2. การจัดแฟ้มข้องมูลแบบสุ่ม • เป็นวิธีการจัดเก็บและรวบรวมระเบียน (Record) ที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยตรง และไม่ต้องผ่านระเบียนอื่นตามลำดับก่อนหลัง • การจัดแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม ใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลไม่มาก

  8. 2. การจัดแฟ้มข้องมูลแบบสุ่ม ข้อดี • การเข้าถึงข้อมูลสะดวกและรวดเร็ว โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านแฟ้มอื่น • สะดวกในการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย เพราะทำได้งาน ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับหรือรอเวลา • มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับงานที่ต้องการประมวลผลแบบโต้ตอบ

  9. 2. การจัดแฟ้มข้องมูลแบบสุ่ม ข้อจำกัด • ข้อมูลมีโอกาสผิดพลาดและสูญหาย เนื่องจากการดำเนินงานมีความยืดหยุ่น ถ้าขาดการจัดการที่เป็นระบบ • การเปลี่ยนแปลงจำนวนระเบียนจะทำได้ลำบากกว่าวิธีเรียงลำดับ เพราะต้องจัดรูปแบบความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ • มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีสูง และผู้ใช้ต้องมีทักษะ

  10. ฐานข้อมูล • สมัยเริ่มต้นของการรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ของหน่วยงาน เช่น แผนกบัญชี แผนกขาย เป็นต้น มักจะจัดซื้อคอมพิวเตอร์ ชุดคำสั่ง และอุปกรณ์ต่อพ่ง โดยไม่เกี่ยวข้องและขึ้นอยู่กับแผนกอื่น ทำให้ข้อมูลมีความหลากหลาย และทำให้เกิดความสับสนที่หน่วยงานอื่นจะนำข้อมูลไปใช้ให้เป็นประโยชน์

  11. ฐานข้อมูล โดยสาเหตุ มีดังนี้ • มีความซ้ำซ้อนในการเก็บข้อมูลภายในองค์กร • ไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ • ข้อมูลขาดความยืดหยุ่นในการนำไปใช้ • ความปลอดภัยของข้อมูลต่ำ • ข้อมูลสูญหายและผิดพลาดได้ง่าย • ข้อมูลแต่ละชนิดแตกตางกัน • สิ้นแปลืองเวลา สถานที่ และบุคลากรในการทำงาน

  12. ฐานข้อมูล หมายถึง • การเก็บรวบรวมข้อมูลเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีแบบแผน ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อผู้ใช้สามารถนำข้อมูลมาประมวลผล และประยุกต์ใช้งานตามที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น • กลุ่มของแฟ้มข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและถูกนำมารวมกัน เช่น ฐานข้อมูลในบริษัทแห่งหนึ่งอาจประกอบไปด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้ม โดยที่แต่ละแฟ้มจะมีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ ข้อมูลพนักงาน ข้อมูลแผนกในบริษัท ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลสินค้า ข้อมูลการขาย

  13. ระบบฐานข้อมูล ระบบฐานข้อมูล คือ ระบบการจัดเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำรุงรักษาข้อสนเทศ(maintain informationและสามารถนำข้อสนเทศเหล่านั้นมาใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ อาจกล่าวได้ว่า ระบบฐานข้อมูล เป็นการนำเอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันมารวมไว้ในระบบเดียวกันเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูลที่อยู่บนฐานข้อมูลเดียวกันได้แม้ว่าผู้ใช้จะมีความต้องการในการใช้งานข้อมูลต่างกันก็ตาม

  14. ความรู้พื้นฐานเรื่องเขตข้อมูล ระเบียน และฐานข้อมูล โดยทั่วไปกิจการจะมีการจัดข้อมูลให้ง่ายต่อการใช้ (File organization) โดยจัดเป็นโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลที่ถูกจัดเก็บบนอุปกรณ์เก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น การจัดเก็บข้อมูลแบบเรียงลำดับตัวอักษรชื่อ เป็นต้น เมื่อมีความต้องการรายละเอียดของลูกค้าคนใด ก็จะนำแฟ้มข้อมูลลูกค้าออกมาเปิด และดึงเอารายละเอียดของลูกค้านั้นออกมา ซึ่งรายละเอียดของลูกค้าแต่ละคนอาจประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น รายละเอียดของลูกค้าแต่ละคนนี้ เรียกว่า ระเบียนหรือเรคอร์ด แฟ้มข้อมูลหนึ่ง ๆ จะประกอบ ด้วยระเบียนหลาย ๆ ระเบียน

  15. เขตข้อมูล (Field) เขตข้อมูลหรือฟิลด์ (filed) คือกลุ่มของอักขระที่สัมพันธ์กันตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปที่นำมารวมกันแล้วแสดงลักษณะหรือความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งสามารถแยกประเภทของฟิลด์ได้เป็น 3 ประเภทคือ • ฟิลด์ตัวเลข (numeric field) • ฟิลด์ตัวอักษร (alphabetic field) • ฟิลด์อักขระ (character field หรือ alphanumeric field)

  16. เขตข้อมูล (Field) • ฟิลด์ตัวเลข (numeric field) ประกอบด้วย อักขระที่เป็นตัวเลข ซึ่งอาจเป็นเลขจำนวนเต็มหรือทศนิยมและอาจมีเครื่องหมายลบหรือบวก เช่น ยอดคงเหลือในบัญชีเป็นกลุ่มของตัวเลข • ฟิลด์ตัวอักษร (alphabetic field) ประกอบด้วย อักขระที่เป็นตัวอักษรหรือช่องว่าง (blank) เช่น ชื่อลูกค้าเป็นกลุ่มของตัวอักษร • ฟิลด์อักขระ (character field หรือ alphanumeric field) ประกอบด้วย อักขระซึ่งอาจจะเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ เช่น ที่อยู่ของลูกค้า

  17. ระเบียนหรือเรคอร์ด (Record) ระเบียนหรือเรคอร์ด (record) คือ กลุ่มของฟิลด์ที่สัมพันธ์กัน ประกอบขึ้นมาจากข้อมูลพื้นฐานต่างประเภทกันรวมขึ้นมาเป็น 1 ระเบียน ระเบียนจะประกอบด้วย ฟิลด์ ต่างประเภทกันอยู่รวมกันเป็นชุด เช่น ระเบียนของเช็คแต่ละระเบียนจะประกอบด้วยฟิลด็ ชื่อธนาคาร เช็คเลขที่ วันที่ สั่งจ่าย จำนวนเงิน สาขาเลขที่เลขที่บัญชี แต่ละระเบียนจะมีฟิลด์ที่ใช้อ้างอิงถึงข้อมูลในระเบียนนั้น ๆ อย่างน้อย 1 ฟิลด์เสมอ ฟิลด์ที่ใช้อ้างอิงนี้เรียกว่าคีย์ฟิลด์ (key field) จะเป็นฟิลด์ที่มีค่าไม่ซ้ำกันในแต่ละระเบียน (unique) เพื่อสะดวกในการจัดเรียงระเบียนในแฟ้มข้อมูลและการจัดโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล

  18. ภาพรวมของฐานข้อมูล

  19. ส่วนประกอบของระบบฐานข้อมูลส่วนประกอบของระบบฐานข้อมูล ระบบฐานข้อมูล ประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆ 4 ส่วนได้แก่ • ข้อมูล (Data)โดยจะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ ต้องมีความคงสภาพ (Integrated) และสามารถใช้งานร่วมกันได้ (Shared) • ฮาร์ดแวร์ (Hardware)ประกอบด้วย อุปกรณ์บันทึกข้อมูล เช่น Harddisk, หน่วยประมวลผล, หน่วยความจำหลัก เป็นต้น • ซอฟต์แวร์ (Software) ตัวกลางที่เชื่อมระหว่างฐานข้อมูล และผู้ใช้ คือ DBMS เป็นซอฟต์แวร์ที่สำคัญที่สุดของระบบฐานข้อมูล นอกจากนี้ยังมี Ulitities, Application Development และอื่น • ผู้ใช้งาน (Users) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ Application Programmer, End Users และ Data Administrator & Database Administrator

  20. ข้อดีของการใช้ระบบฐานข้อมูลข้อดีของการใช้ระบบฐานข้อมูล • ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Data Redundancy) • หลีกเลี่ยงความไม่สอดคล้องของข้อมูล (Data Inconsistency) • ความถูกต้องของข้อมูล (Data Integrity) • รูปแบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน • ความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) • นำเสนอรายงานได้ง่าย (Easy Reporting) • สามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลจากผู้ใช้หลายคน (Concurrency Control) • ตอบสนองความต้องการใช้งานข้อมูลได้หลายแบบ

  21. ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System: DBMS) โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางการทำงานระหว่างผู้ใช้งานฐานข้อมูลกับฐานข้อมูล เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้ ในการสร้าง ลบ ปรับปรุง สืบค้น และเรียกใช้ข้อมูล ฐานข้อมูล ผู้ดูแลฐานข้อมูล (DBA) DBMS Application ผู้ใช้ (User)

  22. DBMS: หน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูล • การจัดเตรียมมุมมองของผู้ใช้ (User View) • การสร้างและแก้ไขฐานข้อมูล • การจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูล • การดำเนินงานกับข้อมูลและการสร้างรายงาน

  23. DBMS: ประโยชน์ของระบบจัดการฐานข้อมูล • ผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ • ผู้ใช้มีความสะดวกและรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูล • ลดความซ้ำซ้อนของการจัดเก็บข้อมูล • สามารถควบคุม ความถูกต้องและความสอดคล้องของข้อมูล

  24. ชนิดของฐานข้อมูล • ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Database) • ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) • ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database)

  25. ชนิดของฐานข้อมูล : ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Database) • เป็นโครงสร้างข้อมูลที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลาย (One-to-Many) • ลักษณะการจัดโครงสร้างเหมือนต้นไม้ (Tree Structure) ที่เริ่มจากส่วนราก (Root) แล้วแพร่ขยายออำไปเป็นสาขา (Node) ต่างๆ ซึ่งแต่ละสาขาสามารถแตกออกเป็นสาขาย่อยๆ ได้อีก โดยมีข้อจำกัดว่าแต่ละสาขาจะต้องเกิดมาจากต้นกำเนิด (Parent) เพียงจุดเดียวเท่านั้น

  26. ชนิดของฐานข้อมูล : ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Database) คุณอุทัย เซี่ยงเจ็น คุณยายไฮ A1 A2 A3 A2 A3 B1 รหัสสินค้า ตะปู ปูน สี ปูน สี จอบ ชื่อสินค้า ปริมาณ 250 15 150 100 50 10

  27. ชนิดของฐานข้อมูล : ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) • เป็นแบบจำลองโครงสร้างข้อมูลที่มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกว่าแบบจำลองเชิงลำดับขั้น • เป็นความสัมพันธ์แบบ หลายต่อหนึ่ง (Many-to-One) หรือหลายต่อหลาย (Many-to-Many) • แบบจำลองจะอนุญาตให้สาขาสามารถมาจากต้นกำเนิดได้มากกว่า 1 แห่ง

  28. ชนิดของฐานข้อมูล : ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) คุณอุทัย เซี่ยงเจ็น คุณยายไฮ A1 A2 A3 B1 รหัสสินค้า ตะปู ปูน สี จอบ ชื่อสินค้า ปริมาณ 250 115 200 10

  29. ชนิดของฐานข้อมูล : ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) • จำลองโครงสร้างข้อมูลที่แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลในรูปแบบตาราง 2 มิติ ที่อยู่ในตารางเดียวกัน

  30. ชนิดของฐานข้อมูล : ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) Customer Order Product

  31. ภาษาที่ใช้ในระบบฐานข้อมูลภาษาที่ใช้ในระบบฐานข้อมูล ภาษาของระบบจัดการฐานข้อมูลที่มีใช้กันในปัจจุบันได้แก่ • ภาษานิยามข้อมูล (Data Definition Language; DDL) • ภาษาจัดการข้อมูล (Data Manipulation Language; DML) • ภาษาที่ใช้ในการควบคุมข้อมูล หรือ DCL (data control language)

  32. ภาษานิยามข้อมูล (Data Definition Language: DDL) เป็นภาษาที่ใช้ในการกำหนดสคีมาระดับแนวคิด ภาษานิยามข้อมูลใช้กำหนดวิวของผู้ใช้และโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล สำหรับระบบจัดการฐานข้อมูลบางตัวอาจมีภาษานิยามวิว (View Definition Language; VDL) และภาษานิยามการจัดเก็บข้อมูล (Storage Definition Language; SDL) แยกต่างหากเพื่อกำหนดวิวและโครงสร้างการจัดเก็บ ตามลำดับ ซึ่งระบบจัดการฐานข้อมูลจะมีส่วนแปลภาษานิยามข้อมูล ทำหน้าที่แปลงประโยคคำสั่งภาษานิยามข้อมูล (DDL) เพื่อกำหนดรายละเอียดของโครงสร้างและเก็บไว้ในสารบัญแฟ้มของระบบจัดการฐานข้อมูล

  33. ภาษาจัดการข้อมูล(Data Manipulation Language: DML) เป็นภาษาใช้สำหรับจัดการข้อมูลภายในฐานข้อมูล ได้แก่การเรียกค้น เพิ่ม ลบ และปรับปรุงฐานข้อมูล ภาษาจัดการข้อมูล (DML) มี ประเภทหลักๆ คือเป็นภาษาที่ผู้ใช้กำหนดโครงสร้างหรือแบบแผนในการเก็บข้อมูล เช่น กำหนดหัวข้อและลักษณะของคอลัมน์ของตารางต่าง ๆ ที่จะใช้บันทึกข้อมูล ภาษากำหนดข้อมูล จะทำให้เกิดตารางที่จะจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญต่อการทำงานของ DBMS ขึ้นมาชุดหนึ่ง ตารางนี้มีชื่อว่า พจนานุกรมข้อมูล (data dictionary) ซึ่งระบบจัดการฐานข้อมูลจะอาศัยโครงสร้างจากแฟ้มข้อมูลนี้เสมอ เช่น ดัชนี (index) เป็นต้น

  34. ภาษาที่ใช้ในการควบคุมข้อมูลหรือ(data control language: DCL) เป็นภาษาที่ใช้ในการควบคุมความถูกต้องของข้อมูล และควบคุมความ ปลอดภัยของข้อมูล ภาษาในส่วนนี้จะทำการป้องกันการเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ใช้หลายคนเรียกใช้ข้อมูลพร้อมกัน โดยจะทำหน้าที่ควบคุมความถูกต้องของการใช้ข้อมูลและทำการลำดับการใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนและตรวจสอบสิทธิ์ในการใช้ข้อมูลนั้นๆ

More Related