460 likes | 767 Views
เกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับยางพารา Good Agricultural Practice (GAP) for Rubber โดย ศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี.
E N D
เกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับยางพาราเกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับยางพารา Good Agricultural Practice (GAP) for Rubber โดย ศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการปลูกยางเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้และบางจังหวัดของภาคตะวันออกซึ่งเป็นแหล่งปลูกยางเดิมต่อมาได้มีการขยายพื้นที่ปลูกยางไปแหล่งปลูกยางใหม่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือซึ่งมีสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการปลูกยางเช่น ขาดความชื้น อุณหภูมิต่ำ ลมแรงมีสภาพพื้นที่เป็นที่สูง ลาดชัน ความลึกของดิน โครงสร้างเนื้อดิน การระบายน้ำ สมบัติทางเคมีของดินต่ำแต่ยางพารามีคุณสมบัติสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆได้
ต้นยางที่ปลูกในภาคใต้สามารถเปิดกรีดได้เร็วมากว่าต้นยางที่ปลูกในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 6 เดือน(ภาคเหนือและภาคะวันออกเฉียงเหนือกรีดได้เมื่ออายุ 7 ½ ปีผลผลิต 260 กิโลกรัมต่อไร่ , 221 กิโลกรัมต่อไร่ และในภาคใต้ผลผลิตเฉลี่ย285 กิโลกรัมต่อไร่ การให้ผลผลิตของต้นยางไม่ว่าผลผลิตน้ำยางหรือเนื้อไม้ ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พันธุ์ยาง ความเหมาะสมของพื้นที่ การจัดการสวนยาง
แหล่งปลูกยาง สภาพพื้นที่ - มีระดับความสูงจากน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตร - เป็นที่ราบหรือมีความลาดเอียงไม่เกิน 35 องศา ถ้าเกิน 15 องศาต้องทำขั้นบันไดและปลูกพืชคลุมดิน - ไม่เป็นแหล่งที่มีน้ำท่วมขัง
ลักษณะดิน - เป็นดินร่วนเหนียวถึงดินร่วนทราย ไม่เป็นดินเกลือ หรือดินเค็ม - ดินมีความอุดมสมบูรณ์ - หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร ไม่มีชั้นหินแข็ง หรือหินดินดาน - ระดับน้ำใต้ดินต่ำกว่า 1 เมตร - การระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศดี - มีความเป็นกรดด่างประมาณ 4.5-5.5
เป็นพื้นที่ที่มีความลาดชันไม่เกิน 35 องศาถ้ามีความ ลาดชันเกินกว่า 15 องศาจำเป็นต้องทำขั้นบันได • ไม่เป็นพื้นที่นาหรือพื้นที่ลุ่มน้ำขังสีของดินควรมีสี สม่ำเสมอตลอดหน้าตัดดิน • ดินไม่มีชั้นกรวดอัดแน่นหรือแผ่นหินสูงใน ระดับสูงกว่า 1 เพราะจะทำให้ต้นยางไม่สามารถใช้ น้ำในระดับรากแขนงในฤดูแล้งได้ หากช่วงแล้ง ยาวนานจะทำให้ต้นยางตายจากยอด
สภาพภูมิอากาศ - ปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1250 มิลลิเมตรต่อปี และมีจำนวนวันฝนตกประมาณ 120-150 วัน แหล่งน้ำ - อาศัยน้ำฝน
สถาบันวิจัยยางกรมวิชาการเกษตรได้กำหนดเขตปลูกยางสถาบันวิจัยยางกรมวิชาการเกษตรได้กำหนดเขตปลูกยาง พาราตามสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย เป็น 6 เขตคือ เขตที่ 1 ปริมาณน้ำฝนต่ำกว่า 1,000 มิลิเมตร ต่อปี เป็นพื้นที่ที่ ไม่แนะนำให้ปลูกยาง เขตที่ 2 ปริมาณน้ำฝนอยู่ระหว่าง 1,000 – 1,200 มิลิเมตรต่อปี ช่วงฤดูแล้งประมาณ 5 เดือน มีศักยภาพการปลูกยางต่ำ เขตที่ 3 ปริมาณน้ำฝนอยู่ระหว่าง 1,200 – 1,400 มิลิเมตรต่อปี ช่วงฤดูแล้งประมาณ 3 – 4 เดือนเป็นเขตที่เหมาะสม ปานกลางสำหรับยางพารา
เขตที่ 4 เป็นเขตที่เหมาะสมสำหรับยางพารามีปริมาณ น้ำฝนอยู่ระหว่าง 1,500 – 2,200 มิลลิเมตรต่อปี ช่วงฤดูแล้ง 1 – 3 เดือน เขตที่ 5 เป็นเขตที่มีปริมาณน้ำฝนสูงมาก ปริมาณน้ำฝนอป อยู่ระหว่าง 2,300 – 3,000มิลลิเมตรต่อปี เป็น ขีดจำกัดต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตยาง เขตที่ 6 เป็นเขตที่มีปริมาณน้ำฝนสูงมากเกินไปจนเป็น ขีดจำกัดที่รุนแรงสำหรับยางพาราในทางด้านโรค และการเก็บเกี่ยวผลผลิต
สวนยางที่ปลูกในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมจำเป็นต้องมี สวนยางที่ปลูกในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมจำเป็นต้องมี • การจัดการสวนยางอย่างถูกต้องแต่เกษตรกรต้องเสีย • ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มต้นทุนซึ่งมีหลายวิธีการดังนี้ • ปรับปรุงดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดินโดย • การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก เพื่อช่วยให้โครงสร้างของดินดีขึ้น • ดูแลรักษาสวนยางก่อนเข้าฤดูแล้งโดยการใช้วัสดุคลุมดินรอบโคนต้นยางในช่วง 2 ปีแรกหลังจากปลูก • ใส่ปุ๋ยบำรุงต้นยางด้วยปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ตามคำแนะนำเพื่อให้ต้นยางสมบูรณ์แข็งแรง
สวนยางที่เปิดกรีดแล้วไม่ควรไถ่พรวนในระหว่างแถวยางสวนยางที่เปิดกรีดแล้วไม่ควรไถ่พรวนในระหว่างแถวยาง • กรณีที่ปลูกยางในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดีหรือเกิดน้ำท่วมขังควรขุดคูระบายน้ำก่อนที่ • ต้นยางได้รับความเสียหาย • ดังนั้นในการตัดสินใจปลูกยางพาราควรพิจารณาหลักเกณฑ์สำหรับการปลูกยางพาราให้เหมาะสมเช่น การเลือกพื้นที่ปลูก พันธุ์ยางที่เหมาะสมกับพื้นที่ และการจัดการสวนยางที่ถูกต้อง
พันธุ์ยาง การปลูกยาง การใส่ปุ๋ย การกรีดยาง โรคยางพารา
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกพันธุ์ยาง 1วัตถุประสงค์การปลูก ว่าต้องการน้ำยางหรือเนื้อไม้ 2การเลือกพันธุ์ยาง -ให้ผลผลิตสูง -การเจริญเติบโตดี - มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ - ต้านทานโรคในพื้นที่ที่มีปัญหารุนแรงดี
พันธุ์ยางที่แนะนำให้ปลูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามวัตถุประสงค์ของการปลูก กลุ่ม 1 พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางสูง เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตน้ำยางสูง เป็นหลัก การเลือกปลูกพันธุ์ยางกลุ่มนี้ควรมุ่งเน้นน้ำยาง กลุ่ม 2 พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้สูง เป็นพันธุ์ที่ให้ทั้ง ผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้ โดยให้ผลผลิตน้ำยางสูง และมีการ เจริญเติบโตดี ลักษณะลำต้นตรง ให้ปริมาตรเนื้อไม้ในส่วน ลำต้นสูง กลุ่ม 3 พันธุ์ยางผลผลิตเนื้อไม้สูง เป็นพันธุ์ที่ให้เนื้อไม้สูงเป็นหลัก มีการเจริญเติบโตดีมาก ลักษณะลำต้นตรง ให้ปริมาตรเนื้อไม้ ในส่วนลำต้นสูงมาก แต่ผลผลิตน้ำยางต่ำกว่ากลุ่ม 1 และ 2 เหมาะสำหรับเป็นพันธุ์ที่จะปลูกเป็นสวนป่าเพื่อการผลิตเนื้อไม้
พันธุ์ยางชั้น 1 ที่แนะนำ กลุ่ม 1 พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางสูง RRIT 251 RRIM 600 BPM 24 RRIT 226
กลุ่ม 2 พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้สูง PB 235 RRIC 110 PB 255 PB 260
กลุ่ม 3 พันธุ์ยางผลผลิตเนื้อไม้สูง AVROS 2037 ฉะเชิงเทรา 50 BPM 1
การเตรียมพื้นที่ปลูกยางการเตรียมพื้นที่ปลูกยาง 1การทำความสะอาดพื้นที่ ควรปรับพื้นที่ให้เหมาะสมและทำลาย เศษเหลือของพืชให้เหลือน้อยที่สุด 2การทำแนวกันไฟ ควรทำแนวป้องกันไฟกว้าง 8-10เมตร ให้รอบแปลง
การวางแนวและขุดหลุมปลูกยางการวางแนวและขุดหลุมปลูกยาง หลักการวางแนวปลูก ควรคำนึงถึง 1ความลาดชันของพื้นที่ ถ้าพื้นที่ลาดชันควรวางแถว ขวางทางน้ำไหล 2ทิศทางลม ในเขตที่ลมแรงด้านเหนือลมควรปลูกไม้ โตเร็วเป็นแนวตลอดแปลงก่อน 3แนวตะวันออก-ตก ถ้าต้องการปลูกพืชแซมยาง
ระยะปลูก 2.5 x 8 หรือ 3 x 7 เมตร ในแหล่งปลูกยางเดิม 2.5 x 7 หรือ 3 x 6 เมตร ในแหล่งปลูกยางใหม่ การขุดหลุมปลูก ขุดหลุมขนาด 50 x 50 x 50 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหินฟอสเฟต หลุมละ 170 กรัม
การเตรียมวัสดุปลูก 1 การติดตาในแปลง โดยการเพาะเมล็ดในหลุมปลูก แล้วนำตาพันธุ์ดีไปติดบนต้นตอเมื่อได้ขนาด 2 การปลูกด้วยยางชำถุง โดยการนำยางชำถุง 1-2 ฉัตร ที่ผ่านการเตรียมความ พร้อมแล้วลงปลูกในแปลง
วิธีการปลูก ปลูกในช่วงต้นฝน ใช้ยางชำถุงขนาด 1-2 ฉัตร ที่สมบูรณ์แข็งแรง ให้รอยต่อระหว่างรากกับตาอยู่ระดับปากหลุม
ตารางการใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-8-20 กับต้นยางก่อนเปิดกรีด อายุยาง (ปี) อัตราปุ๋ย (กรัมต่อต้น) ดินร่วนเหนียว ดินร่วนทราย 1 100 140 2 150 210 3 230 320 4 240 330 5 260 360 6270 370 ใส่ปีละ 2 ครั้ง และควรใส่ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์
การใส่ปุ๋ยยางพาราหลังเปิดกรีดการใส่ปุ๋ยยางพาราหลังเปิดกรีด - ปุ๋ยสูตร 30-5-18 - แบ่งใส่ 2 ครั้ง ๆ ละ 500 กรัมต่อต้น - ครั้งแรกต้นฤดูฝน เดือนเมษายนถึงพฤษภาคม - ครั้งที่ 2 เดือนสิงหาคมถึงกันยายน - หว่านห่างจากโคนต้นยาง ประมาณ 3 เมตร
การเปิดกรีดหน้ายาง ข้อควรพิจารณาในการเปิดกรีด 1 ขนาดของต้นยาง วัดที่ระดับความสูงจากพื้นดิน 150 ซม. ต้องมีขนาดรอบลำต้น 50 ซม.ขึ้นไป 2 เปิดกรีดได้ที่ระดับความสูง 150 ซม. 3 ใช้ระบบกรีดครึ่งต้นวันเว้นวัน 4 การกรีดหน้าที่ 2 จะต้องเปิดกรีดที่ระดับความสูง 150 ซม. 5 ความลาดเอียงของรอยกรีด ทำมุม 30 องศากับแนวระดับ
หลักในการกรีดยางและระบบกรีดที่ดีหลักในการกรีดยางและระบบกรีดที่ดี 1 กรีดได้น้ำยางมากที่สุด 2 ต้นยางเสียหายน้อยที่สุด 3 กรีดได้นานที่สุด 4 สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
ข้อควรจำในการกรีดยาง • ไม่กรีดยางขณะต้นเปียก • ก่อนกรีดยางควรทำความสะอาดถ้วยยางเสมอ • มีดกรีดยางควรลับให้คมเสมอ • ควรกรีดในตอนเช้า • ไม่กรีดถึงเยื่อเจริญ และกรีดเปลือกหนา 2.5 มม.ต่อครั้งกรีด • เมื่อเก็บน้ำยางแล้วควรคว่ำถ้วย • หยุดกรีดในฤดูยางผลัดใบ
โรคราแป้ง สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ลักษณะอาการ ใบอ่อนร่วง ใบที่ไม่ร่วง แผ่นใบจะมีแผลขนาดไม่แน่นอน มีปุยเชื้อรา สีขาวเทา การป้องกันกำจัด- ปลูกยางพันธุ์ต้านทาน คือ RRIT 251, BPM 24, PB 260, PR 255, RRIC 110 และ RRIM 600- ใช้สารป้องกันกำจัดโรค คือ เบโนมิล 50% WP อัตรา 20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร วิธีใช้ ต้นยางอายุน้อย กว่า 2 ปี ให้พ่นพุ่มใบตั้งแต่เริ่มผลิใบอ่อนทุก 7 วัน
โรคใบร่วงและฝักเน่า สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ลักษณะอาการ ใบร่วง ก้านใบช้ำสีดำมีน้ำยางเกาะติดอยู่ ฝักยางจะเน่าดำ และไม่แตกร่วงจากต้น การป้องกันและกำจัด- ปลูกยางพันธุ์ต้านทาน คือ RRIT 251, พันธุ์สงขลา 36, BPM 24, PB 260, PR 255 และ RRIC 110 ตัดแต่งกิ่งและกำจัดวัชพืชในสวนยางให้โล่งเตียน เพื่อลดความชื้นและความรุนแรงของโรค- ใช้สารป้องกันกำจัดโรค คือ เมทาแลกซิล 35 SD หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร วิธีใช้ ต้นยางอายุน้อยกว่า 2 ปี ให้พ่นพุ่มใบยางก่อนฤดูกาลโรคระบาด
โรคใบจุดก้างปลา สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ลักษณะอาการ แผลบนใบมีสองลักษณะ เป็นจุดกลมทึบ สีน้ำตาลดำ ขอบแผลสีเหลืองและแผลลายก้างปลา ต่อมาใบจะร่วง สำหรับแผลบนกิ่งก้านเป็นรูปยาวรี ตามความยาวของกิ่งก้าน กลางแผลจะช้ำ ต่อมากิ่งก้าน จะแห้งตายการป้องกันกำจัด- ปลูกยางพันธุ์ต้านทานโรค คือ RRIT 251- ตัดแต่งกิ่งก้านและกำจัดวัชพืชในสวนยางให้โล่งเตียน เพื่อลดความชื้นและความรุนแรงของโรค- ไม่ควรปลูกงา ถั่วเหลือง และมะละกอ ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค เนื่องจากเป็นพืชอาศัยของโรค- ใช้สารป้องกันกำจัดโรคคือ ไตรดีมอร์ฟ 75% EC อัตรา 10 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือบีโนมิล 50% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร วิธีใช้กับต้นยางอายุน้อยกว่า 2 ปี ให้พ่นพุ่มใบตั้งแต่เริ่มผลิใบอ่อน ทุก 7 วัน
โรคราสีชมพู สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ลักษณะอาการ บริเวณที่ถูกทำลายจะเป็นรอยปริมีน้ำยางไหลซึมเป็นทางยาว และมีเส้นใยสีขาว คล้ายใยแมงมุมปกคลุม เมื่อเชื้อราเจริญลุกลามเข้าถึงเนื้อไม้จะเห็นผิวเปลือกเป็นแผ่นสีชมพู และมีกิ่งใหม่แตกออกบริเวณใต้รอยแผล การป้องกันกำจัด- ปลูกยางพันธุ์ต้านทาน คือ RRIT 251, BPM 24, PB 260, PR 255 และ RRIC 110- ตัดแต่งกิ่งก้าน และกำจัดวัชพืชในสวนยางให้โล่งเตียน เพื่อลดความชื้นและความรุนแรงของโรค- ต้นที่เป็นโรค ให้ตัดส่วนที่โรคต่ำกว่ารอยแผล 2-3 นิ้ว เผาส่วนที่เป็นโรค ทาสารป้องกันโรคเคลือบ รอยแผลที่ตัด- ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรค คือ เบโนมิล 50% WP อัตรา 2000-4000 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไตรดีมอร์ฟ 75% WP อัตรา 1200-2400 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร วิธีใช้ ขูดเปลือกบริเวณแผลออก แล้วทาสารเคมีทุกวัน
โรคเส้นดำ สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ลักษณะอาการ บริเวณเหนือรอยกรีดเป็นรอยช้ำ ต่อมาเป็นรอยบุ๋มขยายตัวตามแนวขนานกับลำต้น เมื่อเฉือนเปลือกออกให้ลึกถึงเนื้อไม้ จะเห็นลายเส้นสีดำบนเนื้อไม้ การป้องกันกำจัด - ปลูกยางพันธุ์ต้านทาน คือ RRIT 251, พันธุ์สงขลา 36, BPM 24, PB 260, PR 255 และ RRIC 110- ตัดแต่งกิ่งและกำจัดวัชพืชในสวนยางให้โล่งเตียน เพื่อลดความชื้นและความรุนแรงของโรค- ไม่ควรเปิดกรีดยางในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันการเกิดโรคเส้นดำ- ใช้สารป้องกันกำจัดโรค คือ เมทาแลกซิล 35% SD อัตรา 280 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ออกซาดิกซิล+แมนโคเซบ (10%+56% WP) อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร
โรครากขาว สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา ลักษณะอาการ พุ่มใบมีสีเหลืองบางส่วนหรือทั้งต้น เมื่อขุดดูรากจะพบเส้นใยสีขาวปลาย แบน เกาะติดอยู่บนผิวราก เมื่อเส้นใยแก่ จะกลมนูนสีเหลืองซีด มีดอกเห็ดเกิดบริเวณโคนต้น ลักษณะเป็น แผ่นแข็งครึ่งวงกลม แผ่นเดียวหรือซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ผิวด้านบนของดอกเห็นเป็นสีเหลืองส้ม โดยมีสีเข้มและอ่อนเรียงสลับ กันเป็นวง ผิวด้านล่างเป็นสีส้มแดงหรือน้ำตาล ขอบดอกเป็นสีขาวการป้องกันและกำจัด- พื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ไม่ควรปลูกพริกขี้หนู มะเขือเปราะ มันเทศ มันสำปะหลัง น้อยหน่า ลองกอง สะตอ จำปาดะ สะเดาเทียม ทัง และทุเรียน เพราะเป็นพืชอาศัยของโรค- ขุดคูล้อมรอบต้นยางที่เป็นโรค ไม่ให้รากยางที่เป็นโรคสัมผัสกับรากที่ไม่เป็นโรค- ใช้สารป้องกันกำจัดโรค คือ ไซโพรโคนาโซล 10% SL หรือไตรดีมอร์ฟ 75% EC อัตรา 100-200 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือโพรพิโคนาโซล 25% EC อัตรา 200 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือเฟนพิโคลนิล 40% FS อัตรา 66-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร วิธีใช้ ขุดดินรอบโคนต้นเป็นร่องกว้างและลึกประมาณ 10-15 ซม. ราดสารเคมีลงในร่อง ต้นละ 2-3 ลิตร ทุก 6 เดือน