1 / 55

2 โครงสร้างรับแรงดึง Tension Members

2 โครงสร้างรับแรงดึง Tension Members. ดร.ศิริชัย ตันรัตนวงศ์. โครงสร้างที่รับแรงดึงตรงปลายทั้ง2ข้าง โดยกระทำผ่านศูนย์ถ่วงของรูปตัด ชิ้นส่วนของโครงสะพาน หอสูง ค้ำยัน ระบบเคเบิ้ล การออกแบบหน้าตัดค่อนข้างง่าย เนื่องจากไม่ต้องระวังเรื่องการโค้งโก่งงอ ที่จะทำให้ชิ้นส่วนไร้ความมีเสถียรภาพ

clancy
Download Presentation

2 โครงสร้างรับแรงดึง Tension Members

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 2โครงสร้างรับแรงดึงTension Members ดร.ศิริชัย ตันรัตนวงศ์

  2. โครงสร้างที่รับแรงดึงตรงปลายทั้ง2ข้าง โดยกระทำผ่านศูนย์ถ่วงของรูปตัด • ชิ้นส่วนของโครงสะพาน หอสูง ค้ำยัน ระบบเคเบิ้ล • การออกแบบหน้าตัดค่อนข้างง่าย เนื่องจากไม่ต้องระวังเรื่องการโค้งโก่งงอ ที่จะทำให้ชิ้นส่วนไร้ความมีเสถียรภาพ • ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการทำรอยต่อที่ปลายของส่วนโครงสร้าง

  3. T T T A ft

  4. หน่วยแรงดึงที่เกิดขึ้น : ft = T/A แรงดึงที่ส่วนโครงสร้างรับได้ : T = FtA A: เนื้อที่หน้าตัดบนรูปตัด P: แรงดึงทั้งหมดที่กระทำตั้งฉากบนรูปตัด ft : หน่วยแรงดึงที่เกิดขึ้นแผ่กระจายสม่ำเสมอตลอดเนื้อที่หน้าตัดดังนั้น หรือใน Ft :หน่วยแรงดึงที่ส่วนโครงสร้างจะสามารถรับได้ การคำนวณออกแบบโครงสร้างส่วนรับแรงดึง มักพิจารณาร่วมกันกับการออกแบบทำรอยต่อที่ปลายชิ้นส่วน ซึ่งอาจต่อโดยการเชื่อมหรือโดยใช้ตัวยึด หากทราบเกี่ยวกับลักษณะของการต่อปลาย จะช่วยให้การออกแบบและเลือกใช้ส่วนโครงสร้างที่รับแรงดึงง่ายขึ้น

  5. รูปตัดของโครงสร้างส่วนรับแรงดึงรูปตัดของโครงสร้างส่วนรับแรงดึง การเลือกใช้รูปตัดของโครงสร้างส่วนที่รับแรงดึง ขึ้นอยู่กับชนิด หรือแบบของการต่อปลายมากกว่าอย่างอื่น

  6. ลักษณะการวิบัติของโครงสร้างส่วนรับแรงดึงลักษณะการวิบัติของโครงสร้างส่วนรับแรงดึง • การคราก (yielding): แรงดึงที่กระทำบนหน้าตัดทั้งหมด(gross area : Ag) • ของชิ้นส่วนมีค่าสูงมากเกินกว่ากำลังที่จุดครากของเหล็ก (Fy) • ทำให้ชิ้นส่วนถูกดึงยืดออกจนทำให้โครงสร้างโดยรวมเสียรูปร่างไป • ป้องกัน • เปลี่ยนขนาดรูปตัดใหญ่ขึ้น • เปลี่ยนเหล็กที่มีกำลังจุดครากสูงขึ้น • ทั้งนี้เพื่อให้หน่วยแรงดึงที่กระทำมีค่าไม่เกินกว่าหน่วยแรงที่กำหนด

  7. การฉีกขาด (fracture):แรงดึงที่กระทำตรงหน้าตัดที่มีรูเจาะเพื่อทำรอยต่อ • หรือที่เรียกว่า หน้าตัดสุทธิ (net area : An) ซึ่งมีหน้าตัดน้อยกว่าหน้าตัดทั้งหมด • หน่วยแรงดึงที่กระทำตรงหน้าตัดสุทธิมีค่าสูงมากกว่าปกติ • และเมื่อมีค่าสูงเกินกว่ากำลังต้านทานแรงดึง (minimum tensile strength : Fu)ของเหล็ก ชิ้นส่วนจะฉีกขาดออกจากกัน • ป้องกันได้โดยการจัดระยะห่างระหว่างเจาะรูและระยะที่ปลายชิ้นส่วน • ให้มีค่ามากขึ้น เพื่อให้ได้เนื้อที่หน้าตัดสุทธิมากขึ้น • ซึ่งเป็นการลดหน่วยค่าแรงดึงมิให้เกินกว่าหน่วยแรงดึงที่กำหนด • หรือเปลี่ยนใช้เหล็กที่มีกำลังต้านทานแรงดึงสูงขึ้น

  8. การวิบัติเนื่องจาการฉีกขาด อาจเกิดขึ้นกับชิ้นส่วนตรงรอยต่อ • จากการกระทำร่วมกันระหว่างแรงดึงและแรงเฉือน เรียกว่า Block Shear • โดยหน้าตัดของชิ้นส่วนที่ตั้งฉากกับแนวแรงจะรับแรงดึง • ส่วนหน้าตัดของชิ้นส่วนที่ขนานกับแนวแรงจะรับแรงเฉือน • ทำให้ชิ้นส่วนอาจเกิดการวิบัติ • 2 ลักษณะ • ชิ้นส่วนถูกดึงขาด • ในขณะที่เกิดการคราก • ที่ด้านรับแรงเฉือน • ชิ้นส่วนถูกเฉือนขาด • ในขณะที่เกิดการคราก • ที่ด้านรับแรงดึง

  9. ชิ้นส่วนถูกดึงขาดในขณะที่เกิดการครากที่ด้านรับแรงเฉือนชิ้นส่วนถูกดึงขาดในขณะที่เกิดการครากที่ด้านรับแรงเฉือน

  10. ชิ้นส่วนถูกเฉือนขาดในขณะที่เกิดการครากที่ด้านรับแรงดึงชิ้นส่วนถูกเฉือนขาดในขณะที่เกิดการครากที่ด้านรับแรงดึง

  11. หน้าตัดสุทธิ (Net Section) • เนื้อที่หน้าตัดสุทธิ (Net cross-section area : An) • หมายถึง เนื้อที่หน้าตัดของส่วนโครงสร้าง • ที่อยู่ในแนวตั้งฉากกับน้ำหนักหรือแรงดึงที่กระทำ • เมื่อหักเนื้อที่ส่วนที่เป็นรูเจาะออกแล้ว • ขนาดรูเจาะมาตรฐานของตัวยึด •  ตัวยึด กว่า 24 มม.: 2 มม. •  ตัวยึด  กว่า 24 มม.: 3 มม.

  12. ถ้าให้ Agเป็นเนื้อที่หน้าตัดทั้งหมด = (Wg) (t) • (Gross cross-sectional area) • Aholeเป็นเนื้อที่หน้าตัดของรูเจาะ = (dh)(t) • เมื่อ Wgเป็นความกว้างทั้งหมดของเหล็กแผ่นที่ตั้งฉากกับแรงดึง • t เป็นความหนาแน่นของเหล็กแผ่น • dhเป็นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของรูเจาะ • ดังนั้น หน้าตัดสุทธิ An = Ag - Ahole • = (Wg)(t)-(dh)(t) • เมื่อความหนาของแผ่นเหล็กมีค่าคงที่ • จะได้ความกว้างสุทธิ Wn = Wg - dh

  13. เมื่อรอยต่อหนึ่งๆ ต้องใช้ตัวยึดมากกว่าหนึ่งแถวในแนว ที่ขนานกับแนวแรง จะต้องพยายามจัดระยะห่างระหว่างตัวยึด (ตามมาตรฐานกำหนด) เพื่อให้ได้เนื้อที่หน้าตัดสุทธิมากที่สุด หรือ เพื่อให้ส่วนโครงสร้างนั้นสามารถรับแรงหรือน้ำหนักได้มากที่สุด การจัดระยะ ต้องจัดให้รูเจาะมีแนวเยื้องกัน (Zigzag) และให้ระยะห่างระหว่างรูเจาะ (s) มีค่ามากพอ เพื่อลดปัญหาการฉีกขาดหรือชำรุดของแผ่นเหล็กตามแนว ABCD

  14. Pitch (s) A B gage (g) C E D

  15. ระยะห่างระหว่างศูนย์กลางของรูเจาะในแนวขนานกับแนวแรง: Pitch= s • ระยะห่างของรูเจาะในแนวตั้งฉากกับแนวแรง:Gage = g • ถ้าแผ่นเหล็กมีความหนาคงที่ ความกว้างสุทธิ Wnในแนวเยื้อง • ที่ผ่านรูเจาะ มีค่าเท่ากับ ความกว้างทั้งหมดของแผ่นเหล็ก • ลบด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของรูเจาะทั้งหมด ในแนวเยื้องที่ • พิจารณา แล้วบวกด้วยผลบวกของ s2/4gทั้งหมดที่มีในแนวเยื้องนั้น ความกว้างสุทธิ Wn = Wg -dh + (s2/4g) ในการคำนวณออกแบบ ต้องพิจารณาหาความกว้างสุทธิ หลาย ๆ แนวแล้วนำค่าน้อยที่สุดมาใช้คำนวณหากำลังแรงดึง

  16. หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล(Effective Net Cross-sectional Area) • เมื่อทำรอยต่อที่ปลายของส่วนโครงสร้างรับแรงดึงโดยการใช้ตัวยึดหรือโดยการเชื่อม หากทำการยึดต่อหรือเชื่อมต่อเพียงบางส่วนของรูปตัดเช่น ยึดต่อเหล็กรูปตัดฉากเดี่ยวที่ขาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียวการรับและถ่ายแรงจะไม่แผ่กระจายอย่างสม่ำเสมอขาของด้านที่ถูกยึดติดจะรับแรงกระทำมากกว่าขาของด้านที่ไม่ถูกยึดเป็นผลให้รอยต่อต้องรับแรงเยื้องศูนย์ที่เรียกว่า Shear Lag ทำให้กำลังหรือประสิทธิภาพของการรับแรงดึงลดลง

  17. มาตรฐาน AISC กำหนดให้พิจารณาการรับและถ่ายแรงดึง • บนหน้าตัดสุทธิประสิทธิผล(Ae) • ซึ่งเป็นเนื้อที่หน้าตัดของส่วนโครงสร้างที่ถูกลดค่าลง • จากผลของการต่อปลาย โดยอาศัยตัวคูณลดค่า (reduction factor : U) • 1. เมื่อต่อปลายโดยใช้ตัวยึด หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล : Ae = UAn • 2. เมื่อต่อปลายโดยใช้การเชื่อม หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล : Ae = UAg • มาตรฐาน AISC: U = 1- ( x /L )  0.9 • เมื่อ x= ระยะจากระนาบรับแรงเฉือนถึงจุดศูนย์ถ่วงของรูปตัดที่นำมาต่อ • L = ความยาวของรอยต่อในทิศที่ขนานกับแรงกระทำ

  18. มาตรฐาน AISC/ASD/LRFD • ก) สำหรับเหล็กรูปพรรณที่มีรูปตัดตัว W, M, S, T • ถ้าส่งถ่ายแรงดึงผ่านรอยเชื่อมที่อยู่ตั้งฉากกับแนวแรงอย่างเดียว: • Ae = พื้นที่ที่เชื่อมต่อ • ถ้าส่งถ่ายแรงดึงผ่านสลักเกลียวหรือตัวยึด : • ใช้สลักเกลียวทำรอยต่อที่ปีกชิ้นส่วนในแนวของแรงกระทำ 3 ตัว/แถว & ชิ้นส่วนมีอัตราส่วนความกว้างของปีก:ความลึก  2/3: U= 0.9 • ใช้สลักเกลียวในแนวของแรงกระทำ 3 ตัว/แถว แต่ไม่ตรงตามเงื่อนไขข้างต้น:U= 0.85 • ใช้สลักเกลียวในแนวของแรงกระทำ= 2 ตัว/แถว: U = 0.75

  19. ข) สำหรับเหล็กแผ่นหรือท่อนเหล็ก ที่ทำรอยเชื่อมขนานกับแนวแรง • ความยาวของรอยเชื่อมทั้งหมด 2 เท่าของระยะห่างระหว่างรอยเชื่อม: U = 1.0 • ความยาวของรอยเชื่อมทั้งหมดอยู่ระหว่าง 2 - 1.5เท่าของระยะห่างระหว่างรอยเชื่อม: U = 0.87 • ความยาวของรอยเชื่อมทั้งหมดอยู่ระหว่าง 1 - 1.5 เท่าของระยะห่างระหว่างรอยเชื่อม: U = 0.75

  20. การออกแบบโครงสร้างส่วนรับแรงดึง – มาตรฐาน AISC • การออกแบบโดยวิธี ASD • 1. โครงสร้างรับแรงดึงทั่วไป (ยกเว้นท่อนเหล็ก&เหล็กแผ่นเจาะรูทำข้อต่อ) • ใช้ค่าน้อยของหน่วยแรงดึงที่ยอมให้ ต่อไปนี้ • หน่วยแรงดึงที่ยอมให้บนหน้าตัดทั้งหมด: Ft = 0.6Fy • หน่วยแรงดึงที่ยอมให้บนหน้าตัดสุทธิประสิทธิผล: Ft = 0.5Fu • 2. สำหรับท่อนเหล็กหรือเคเบิ้ลรับแรงดึง • หน่วยแรงดึงที่ยอมให้: F1 = 0.33Fu

  21. 3. ข้อต่อแบบหมุนได้ในเหล็กแผ่น (pin-connected plate) /รูหมุดตาไก่ (pin hole) ใช้ค่าน้อยของหน่วยแรงดึงที่ยอมให้ต่อไปนี้ • หน่วยแรงดึงที่ยอมให้บนหน้าตัดทั้งหมด: Ft = 0.6Fy • หน่วยแรงดึงที่ยอมให้บนหน้าตัดสุทธิที่ผ่านรูเจาะ: Ft = 0.45Fy • หน่วยแรงกดตรงรูเจาะที่ยอมให้: Fp = 0.9Fy

  22. 4. โครงสร้างที่รับแรงดึงร่วมกับแรงเฉือน (block shear) แรงดึงที่ยอมให้ = 0.5FuAnt + 0.3FuAnv Fy:กำลังจุดครากของเหล็ก (yield strength of steel) Fu :กำลังรับแรงดึงประลัยของเหล็ก (minimum tensile strength of steel) Ant :หน้าตัดสุทธิที่รับแรงดึง Anv :หน้าตัดสุทธิที่รับแรงเฉือน

  23. การออกแบบโดยวิธี LRFD • 1. โครงสร้างรับแรงดึงทั่วไป (ยกเว้นท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นเจาะรูทำข้อต่อ) ใช้ค่าน้อยของกำลังรับแรงดึงประลัย (tPn) ตามสภาวะของการวิบัติต่อไปนี้ • หน้าตัดทั้งหมดเกิดการคราก : • กำลังรับแรงดึงประลัย = 0.9FyAg (t=0.9) • หน้าตัดสุทธิประสิทธิผลเกิดการฉีกขาด : • กำลังรับแรงดึงประลัย = 0.75FuAe (t=0.75) • 2. ท่อนเหล็กหรือเคเบิ้ลรับแรงดึง • กำลังรับแรงดึงประลัย = 0.75 (0.75FuAb) (t=0.75)

  24. 3. ข้อต่อแบบหมุนได้ในเหล็กแผ่น (pin-conneced plate)/รูหมุดตาไก่ (pin hole) • ใช้ค่าน้อยของกำลังรับแรงประลัย (Pn) ตามสภาวะของการวิบัติ • เมื่อหน้าตัดทั้งหมดเกิดการคราก : • กำลังรับแรงดึงประลัย = 0.9FyAg (t=0.9) • เมื่อหน้าตัดสุทธิประสิทธิผลเกิดการฉีกขาด : • กำลังรับแรงดึงประลัย = 0.75FuAe (t=0.75) • เมื่อรับแรงกดประลัยตรงรูเจาะ : • กำลังรับแรงกดประลัย = 0.75(1.8FyApb) (t=0.75) • เมื่อรับแรงเฉือนขาด : • กำลังรับแรงเฉือนประลัย = 0.75(0.6FuAsf) (sf=0.75)

  25. โครงสร้างที่รับแรงดึงร่วมกับแรงเฉือน (block shear) • หากำลังรับแรงดึงประลัยจากข้อกำหนด ต่อไปนี้ • เมื่อ FuAnt0.6FuAnv (ชิ้นส่วนถูกดึงขาดและครากจากการเฉือน): • กำลังรับแรงดึงประลัย = 0.75 (0.6FyAgv+FuAnt) (t=0.75) • เมื่อ 0.6FuAnv>FuAnt (ชิ้นส่วนถูกเฉือนขาดและครากจากแรงดึง): • กำลังรับแรงดึงประลัย = 0.75 (0.6FuAnv+FyAgt) (t=0.75) • Ab = เนื้อที่หน้าตัดของท่อนเหล็กหรือเคเบิ้ล • Apb = เนื้อที่ที่รับแรงกด • Asf = เนื้อที่ที่รับแรงเฉือน • Agt = หน้าตัดทั้งหมดที่รับแรงดึง • Agv = หน้าตัดทั้งหมดที่รับแรงเฉือน

  26. อัตราส่วนความชะลูด แม้ว่าจะไม่ต้องระวังเรื่องการโก่งงอในโครงสร้างส่วนที่รับแรงดึง แต่เมื่อโครงสร้างส่วนนั้นมีรูปร่างเรียวหรือชะลูด นั่นคือมีstiffnessน้อย ก็อาจหย่อนตกท้องช้าง เนื่องจากน้ำหนักของส่วนโครงสร้างเองหรือเกิด การแกว่งหรือโก่งทางด้านข้าง (Lateral deflection) หรือสั่นไหวตัว (vibration) เนื่องจากแรงลม AISC/ASD/LRFD: KL 300 (ยกเว้นท่อนเหล็กกลม rod) r K= ตัวประกอบความยาวประสิทธิผล (=1.00) L = ช่วงความยาวของส่วนโครงสร้างรับแรงดึง ซม. r = รัศมีไจเรชั่นที่น้อยที่สุด (= I/A) ของส่วนโครงสร้างรับแรงดึง ซม. I = โมเมนต์อินเนอร์เชียของหน้าตัดของส่วนโครงสร้างรับแรงดึง ซม.4 A = เนื้อที่หน้าตัดของส่วนโครงสร้างรับแรงดึง ซม.2 สำหรับท่อนเหล็กกลม ให้ใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อยเท่ากับ 15 มิลลิเมตร

  27. วิธีออกแบบโครงสร้างส่วนแรงดึงวิธีออกแบบโครงสร้างส่วนแรงดึง • วิธี ASD: • ตามกำหนดข้อแรก : ต้องการ Ag =T/0.6 Fy • 2. ตามข้อกำหนดข้อที่สอง : ต้องการ Ae = T/0.5Fu • แต่ Ae = UAnดังนั้นต้องการ An = T/0.5FuU • ฉะนั้นต้องการ Ag = T/0.5FuF + เนื้อที่รูเจาะ (ประมาณ) • 3. เลือกขนาดรูปตัดจากค่ามากของ Agที่ได้ในข้อ1หรือข้อ2 • ให้เหมาะสมกับงานโดยคำนึงถึงแบบการต่อปลายโครงสร้าง • (โดยการเชื่อมหรือใช้ตัวยึด) • 4. หาหน่วยแรงดึงที่เกิดขึ้นจริง ตามมาตรฐานกำหนดถ้าหน่วยแรง • ดึงเกิดขึ้นจริงมากกว่าที่กำหนดให้เลือกรูปตัดที่ใหญ่กว่าถัดไป • 5. ตรวจสอบอัตราส่วนความชะลูด ซึ่งต้องไม่เกินกว่า 300

  28. วิธี LRFD • ถ้า Puเป็นแรงดึงที่ได้จากน้ำหนักบรรทุกใช้งานที่เพิ่มค่าแล้ว • 1. ตามข้อกำหนดข้อแรก : ต้องการ Ag = Pu /0.9 Fy • 2. ตามข้อกำหนดข้อที่สอง : ต้องการ Ae = Pu /0.75Fu • แต่ Ae = UAn ดังนั้นต้องการ An = Pu/0.75FuU • ฉะนั้น ต้องการ Ag = Pu /0.75 FuU + เนื้อที่รูเจาะ(ประมาณ) • 3. เลือกขนาดรูปตัดจากค่ามากของ Agที่ได้ในข้อ 1 หรือ 2 ให้เหมาะสมกับงาน โดยคำนึงถึงแบบการต่อปลายโครงสร้าง(โดยการเชื่อมตัวหรือใช้ตัวยึด) • 4. หากำลังรับแรงดึงประลัยจริงของรูปตัด ตามมาตรฐานกำหนด ถ้ากำลังแรงดึงประลัยจริง น้อยกว่าที่ต้องการ ให้เลือกรูปตัดที่ใหญ่กว่า • 5. ตรวจสอบอัตราส่วนความชะลูด ซึ่งต้องไม่เกินกว่า300

  29. ตัวอย่างที่ 2.1 จงหาเนื้อที่หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล (effective net area; Ae) เมื่อทำรอยต่อระหว่างเหล็กฉากชิ้นเดียว กับแผ่นประกับด้วยสลักเกลียว ดังรูป สมมุติใช้เหล็กชนิด A36 (Fy = 2500 กก./ ตร.ซม. Fu = 4050 กก/ตร.ซม.) วิธีทำ 1. เนื้อที่หน้าตัดสุทธิ An = 34.77-2(1.2)(1.6+0.2) = 30.45 ตร.ซม. 2. เนื่องจากทำรอยต่อเพียงขาเดียว ดังนั้น ค่า U = 0.85 นั่นคือ เนื้อที่หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล Ae = UAn = 0.85 An = 0.85 (30.45) = 25.88 ตร.ซม.

  30. ตัวอย่างที่ 2.2 หากต่อเหล็กฉากคู่แบบขาไม่เท่ากันโดยการเชื่อมขา ด้านยาวติดกับแผ่นเหล็กประกับ (gusset plate) ดังรูป ให้หาค่า reduction factor U วิธีทำ จากการทำรอยต่อดังที่แสดง จะต้องหาค่า reduction factor U จากสมการ U = 1 ( x/L)  0.9 ในที่นี้ ระยะ x = 2.22 ซม. ระยะ L = 18.5 ซม. แทนค่า จะได้ reduction factor U = 0.88

  31. ตัวอย่าง 2.3 เหล็กฉากเดียวขนาด 75x75x9 มม. (Ag = 12.69 ตร.ซม.) ทำรอยต่อกับแผ่นเหล็กประกับด้วยสลักเกลียวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 มม. ทั้งสองขา สมมุติใช้เหล็กชนิด A36 (Fy =2500 กก./ตร.ซม.) จงหากำลังรับแรงดึงของเหล็กฉากนี้ (สมมุติว่า ไม่เกิดการวิบัติที่ตัวสลัก เกลียว หรือการวิบัติแบบ block shear)

  32. วิธีทำ 1. หาเนื้อที่หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล ถ้าชำรุดตามแนว ABC : Wn = 14.1 – 1 (1.6 + 0.2) = 12.3 ซม. ถ้าชำรุดตามแนว ABDE : Wn = Wg - d +  (s2/4g) Wn = 14.1 – 2(1.6 + 0.2) + 42 = 11.0 ซม. 4[2x(4.5-0.9)] ดังนั้น เนื้อที่หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล Ae = An = 0.9(11.0) = 9.9 ตร.ซม.

  33. 2. กำลังรับแรงดึง ตามวิธี ASD 0.6FyAg = 0.6(2500) (12.69) = 19035 กก. 0.5FuAe = 0.5(4050) (9.9) = 20047.5 กก. ตามวิธี LRFD 0.9FyAg = 0.9(2500) (12.69) = 28552 กก. 0.75FuAe = 0.75(4050) (9.9) = 30071 กก. กำลังรับแรงดึงประลัย = 28552กก.

  34. ตัวอย่างที่ 2.4 จงหากำลังรับแรงดึงของหน้าตัดรูปตัว S ที่ทำด้วยเหล็ก ชนิด A36 (Fy-2500 กก./ตร.ซม.Fu = 4050 กก./ตร.ซม.) เมื่อทำรอยต่อ ด้วยสลักเกลียวดังรูป (สมมุติว่า ไม่เกิดการวิบัติที่ตัวสลักเกลียว หรือ การวิบัติแบบ block shear)

  35. วิธีทำ 1. หาเนื้อที่หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล ถ้าชำรุดตามแนว ad: An = 91.73 – 4(1.6 + 0.2) (1.8) = 78.77 ตร.ซม. ถ้าชำรุดตามแนว abcd : ระยะ g = g1/2 + g2 – tw/2 = 8/2 +7-1/2 = 10.5 ซม. An = 91.73-4(1.6+0.2) (1.8) -2(1.6+0.2) (1.0)+ 2(1.0)(52) 4(10.5) = 76.36 ตร.ซม. ดังนั้น เนื้อที่หน้าตัดสุทธิประสิทธิผล Ae = An = 76.36 ตร.ซม.

More Related