290 likes | 1.63k Views
รายงาน เรื่อง การจัดการเรียนรู้แบบ สตอ รี่ ไลน์ (Storyline method ) จัดทำโดย 1. นางสาว กัญ ชรส อิ นาลา เลขที่ 1 2. นางสาว ปรางค์ทิพย์ สุริยนต์ เลขที่ 2 3. นางสาว ศรัญญา แสนคำ เลขที่ 4 4. นางสาว ปาริชาติ คำ พะทิก เลขที่ 23 5. นางสาว อมรรัตน์ ศรีภิรมย์ เลขที่ 26 เสนอ
E N D
รายงาน เรื่อง การจัดการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ (Storyline method) จัดทำโดย 1.นางสาว กัญชรสอินาลาเลขที่ 1 2.นางสาว ปรางค์ทิพย์ สุริยนต์เลขที่ 2 3.นางสาว ศรัญญา แสนคำเลขที่ 4 4.นางสาว ปาริชาติ คำพะทิก เลขที่ 23 5.นางสาว อมรรัตน์ ศรีภิรมย์เลขที่ 26 เสนอ อาจารย์ สุวิสาข์ เหล่าเกิด • วิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา • คณะศิลปะศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
การจัดการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ (Storyline Method) การเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเทคนิคหนึ่งโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีที่ว่าความรู้นั้นมีหลายขั้นตอนและซับซ้อน ผู้เรียนเกิดจากการเรียนรู้จากความรู้เดิมผสมผสานกับประสบการณ์ใหม่ เพื่อสร้างความรู้ใหม่ให้เกิดขึ้น โดยผ่านการปฏิบัติด้วยตนเองอีกส่วนหนึ่ง
ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของสตอรี่ไลน์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จะจัดกิจกรรมแบบบูรณาการประสบการณ์ทักษะในการวิเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์การจินตนาการและการตัดสินใจตลอดจนการทำงานร่วมกันภายในแนวทางดำเนินเรื่องที่ต่อเนื่องกันซึ่งใช้ศิลปะเป็นสื่อและผู้เรียนจะเป็นผู้สร้างความรู้ใหม่ด้วยตนเอง (Boll & Fifield. 1998) ซึ่ง วลัย พานิช (2542) สรุปว่า สตอรี่ไลน์เป็นวิธีสอนแบบบูรณาการเนื้อหาหลักสูตรและกระบวนการเนื้อหาหลักสูตรโดยสามารถรวมวิชาสังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศิลปะ สิ่งแวดล้อมและภาษารวมกันได้ภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน
ทฤษฎีและแนวคิด สตอรี่ไลน์ เกิดจากสถานการณ์การปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ในสหราชอาณาจักร เนื่องจากนักการศึกษาพบว่าดัชนีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนในประเทศต่างๆ ของทวีปยุโรปอยู่ในเกณฑ์ตกต่ำอย่างน่าเป็นห่วง แต่ในขณะเดียวกันประเทศต่างๆ ในซีกโลกตะวันออกกลับมีการพัฒนาการในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น จนกลายเป็นคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญยากที่จะเอาชนะได้ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลแห่งราชอาราจักรจึงได้กำหนดนโยบายปฏิรูปการศึกษาขึ้น เพื่อให้ระบบการศึกษาของชาติในด้านต่างๆ มีประสิทธิภาพโดยนำระบบการประกันคุณภาพมาใช้ในวงการศึกษาอย่างจริงจัง
แนวทางการจัดการเรียนรู้แนวทางการจัดการเรียนรู้ Steve Bell ได้เสนอหลักการที่จะเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ไว้ดังนี้ 1. เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนรู้ของตนเองและสิ่งสำคัญที่สุด ความรู้ประสบการณ์และทักษะเดิมของผู้เรียนในชั้นจะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญในการออกแบบหัวเรื่องเพื่อสร้างความรู้ ประสบการณ์และทักษะใหม่ให้แก่ผู้เรียน
2. สร้างความตื่นตัวให้กับผู้เรียนตลอดเวลา โดยผู้สอนใช้วิธีการตั้งคำถามแล้วผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยเน้นการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจซึ่งจะช่วยการพัฒนาด้านสติปัญญา ทักษะและทัศนคติ 3. สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมหรือเป็นเจ้าของในการสร้างเรื่องนั้นๆ ทั้งในเรื่องของสถานที่ผู้คนที่อยู่อาศัยการดำเนินชีวิตตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องผู้เรียนจะร่วมกันคิด และสร้างขึ้นมาจากการศึกษาค้นคว้ารวมทั้งจินตนาการด้วยกัน
5.เชื่อมการฝึกทักษะพื้นฐานเข้ากับการดำรงชีวิตจริง โดยผู้เรียนจะสามารถฝึกทักษะนั้นๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย เป็นลักษณะการเรียนการสอนเรื่องราวสิ่งที่ใกล้ตัวมากที่สุด เช่น ตัวเรา บ้านของเรา ครอบครัวของเรา จากนั้นจึงขยายเป็นวงกว้างออกไปสู่สภาพแวดล้อมในชุมชนของผู้เรียนและออกไปสู่ประเทศอื่นๆ เมื่ออยู่ในชั้นเรียนที่สูงขึ้นในลักษณะของการบูรณาการเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบองค์รวมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เป็นวิถีชีวิตจริงส่งผลให้ผู้เรียนได้เห็นประโยชน์ของการเรียนรู้
6.เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่งที่กว้างขวางกว่าที่มีไว้ในหลักสูตร เมื่อผู้เรียนได้สร้างจินตนาการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและผู้อยู่อาศัยขึ้นมาแล้ว สิ่งที่จะเกิดตามมาก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว ค่านิยมในด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ เป็นต้น เรื่องราวเหล่านี้คือการเรียนรู้ผ่านการทดสอบแบบบทบาทสมมติ ผู้เรียนจะยอมรับบุคลิกลักษณะของตัวละครที่สร้างขึ้นจนกลายเป็นบุคลิกลักษณะของตนเอง
7.ส่งเสริมให้เกิดอารยธรรมขึ้นระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน โดยเรื่องราวต่างๆ ในกระดาษจะมีชีวิตจริงขึ้นมาได้ โดยการทำกิจกรรมและจินตนาการของผู้เรียนในห้องเรียน โดยมีครูทำหน้าที่เป็นผู้ประสานการทำงานร่วมกัน 8.ส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนที่เป็นของจริงตามเนื้อหาที่กำหนดซึ่งผู้สอนและผู้เรียนจะเป็นผู้ใช้และฝึกฝนจนสามารถใช้ได้อย่างดี
10. เน้นการเรียนรู้ร่วมกัน โดยการให้โอกาสให้ผู้เรียนร่วมกันทำกิจกรรมหลายรูปแบบซึ่งคณะทำงานแบ่งกลุ่มเป็นงานเดียว จับคู่ กลุ่มย่อย หรือเรียนร่วมกันทั้งชั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของงาน โดยกิจกรรมจะเป็นตัวกำหนดว่าควรจะแบ่งกลุ่มผู้เรียนอย่างไร 11. ก่อให้เกิดการฝึกทักษะปฏิบัติที่ซ้ำๆ กันแต่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตัวแปรสำคัญในการเรียนรู้อย่างหนึ่งของทฤษฎี retention คือการฝึกปฏิบัติแต่การวางแผนการสอนให้มีการฝึกปฏิบัติที่มีจำนวนเหมาะสมนั้นค่อนข้างทำได้ยากแต่ก็เปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะการปฏิบัติอีกด้วย
12.เน้นให้เห็นความสำคัญของการกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนารูปแบบความคิดรวบยอดด้วยตนเองก่อน เช่น มีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนสร้างกระเป๋าเครื่องมือแพทย์พร้อมเครื่องเวชภัณฑ์บรรจุในกระเป๋าซึ่งสิ่งที่สร้างขึ้นนั้นจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากความคิดรวบยอดของเขาที่คิดว่ามันน่าจะเป็นและหลังจากนี้เมื่อมีโอกาสได้เห็นกระเป๋าเครื่องมือแพทย์จริงๆ แล้วสามารถเปรียบเทียบกับกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ที่เขาได้ทำขึ้นมา การเปรียบเทียบดังกล่าวก่อให้เกิดการเรียนรู้เพื่อการปรับปรุงพัฒนางานซึ่งเป็นลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพนั่นเอง
13.เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ สตอรี่ไลน์เป็นวิธีการเรียนรู้แบบบูรณาการทั้งเนื้อหาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน โดยสามารถหลอมรวมเนื้อหาวิชาต่างๆ เช่น สังคมศึกษา ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ภาษาอังกฤษ ดนตรีนาฏศิลป์ ฯลฯ เข้ามาจัดการเรียนการสอนภายใต้หัวข้อเรื่องเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวันที่จะต้องใช้กระบวนการคิด ทักษะต่างๆ ที่มีความหลากหลายมาช่วยในการแก้ปัญหา จึงเป็นการฝึกทักษะแก้ปัญหาของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
14.เน้นเรื่องการตั้งคำถามของครูผู้สอน การตั้งคำถามของครูผู้สอนเป็นหัวใจของการเรียนการสอนแบบสตอรี่ไลน์เพราะคำถามหลักจะเป็นสื่อนำไปสู่ปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียนอย่างหลากหลายและจะเป็นตัวเชื่อมโยงการดำเนินเรื่องให้ต่อเนื่องเป็นลำดับภายใต้หัวข้อเดียวกัน 15.เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้หรือวิธีสอนที่หลากหลาย ในการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบต่างๆ เช่น เกม บทบาทสมมติ กระบวนการ สถานการณ์จำลอง ละครสืบสวนสอบสวนกรณีศึกษา สาธิต ทดลอง โครงงาน และการใช้แหล่งรู้ในท้องถิ่น
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 1.การสังเคราะห์และวิเคราะห์เนื้อหาของรายวิชา หรือกลุ่มประสบการณ์แล้วแต่กรณีด้วยการร่วมมือกันในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และผู้สอน เพื่อพิจารณาอย่างละเอียดว่าองค์ความรู้ที่ประสงค์จะจัดให้แก่ผู้เรียนนั้นได้แก้อะไรบ้าง มีความโดดเด่นหรือซ้ำซ้อนอยู่ในรายวิชา กลุ่มวิชา หรือกลุ่มประสบการณ์ต่างๆ อย่างไร แล้วกำหนดองค์รวมแห่งองค์ความรู้ที่พึ่งประสงค์ไว้ให้ชัดเจนในรูปของหลักสูตร หรือในรูปของหัวเรื่อง
2. การเขียนหลักสูตรหรือแผนการสอน โดยใช้เส้นทางการเดินเรื่อง (topic line) ของวิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์เป็นกรอบในการเขียน โดยมีหัวเรื่องเป็นเครื่องกำหนดเนื้อหา ความแตกต่างของการบูรณาการหลักสูตรและการบูรณาการเรียนการสอนอยู่ที่คำถามนำที่ใช้ในแต่ละองค์ กล่าวคือการบูรณาการหลักสูตรจะเน้นคำถามนำที่มีความเกี่ยวพันกันของรายวิชา กลุ่มวิชา หรือลุ่มประสบการณ์ต่างๆ อย่างไร แล้วกำหนดองค์รวมแห่งองค์ความรู้ที่พึ่งประสงค์ไว้ให้ชัดเจนในรูปของหลักสูตร หรือในรูปของหัวเรื่อง
3. การกำหนดเส้นทางการเดินเรื่องให้สอดคล้องกับหลักสูตรหรือหัวข้อ เส้นทางการเดินเรื่อง (Topic Line) ที่ใช้เป็นกรอบสำหรับการดำเนินการโดยวิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์ ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 4 องค์ด้วยกัน คือ ฉาก ตัวละคร วิถีชีวิต และเหตุการณ์ ลักษณะองค์ (Episode) ทั้ง 4 ของวิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์ มีดังนี้ 3.1ฉาก (setting) ได้แก่ สถานที่หรือภาพกว้างๆ ที่เป็นความคิดรวบยอดเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของตัวละครในเรื่องนั้นๆ และจะมีเงื่อนไขของเวลาเป็นตัวกำกับด้วย เช่น เวลาปัจจุบัน เวลาในยุคประวัติศาสตร์ เป็นต้น
3.2ตัวละคร (character) ได้แก่ คนหรือสัตว์ที่มีชีวิตโลดแล่นอยู่ในเนื้อเรื่องโดยต้องคำนึงอยู่เสมอว่า จะต้องมีให้ผู้เรียนเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในเรื่องที่จะเรียนด้วย โดยผู้เรียนจะมีฐานะเป็นตัวละครตัวหนึ่งของเรื่อง โดยจะสร้างเป็นสัญลักษณ์ตุ๊กตาหรือหุ่นแทนก็ได้ ตัวละครนั้นจะมีบทบาทในการเดินทางเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดความภูมิใจ 3.3วิถีชีวิต หรือการดำเนินชีวิต(a way of life) ได้แก่ เรื่องราวที่เป็นการดำเนินชีวิตโดยปกติของตัวละครในสถานที่และเวลาตามฉากที่กำหนด
3.4เหตุการณ์ (events) ได้แก่ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือปัญหาที่ตัวละคร ต้องเผชิญ เช่น การผจญภัย การท่องเที่ยว เป็นต้น ชนาธิป พรกุล (2534) ได้อธิบายวิธีการเรียนการสอนแบบสตอรี่ไลน์ว่า ผู้สอนและผู้เรียนช่วยการสร้างฉากให้ปรากฏด้วยการใช้เทคนิคแห่งศิลปะในการประดิษฐ์ฉาก จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการฝึกทักษะตามที่ครูวางแผนไว้จากการออกแบบคำถามสำคัญ (key questions) ให้เป็นไปตามขั้นตอนของการทำกิจกรรมโดยที่สอนจะกำหนดเส้นทางเดินเรื่อง แต่รายละเอียดของเนื้อหาผู้เรียนจะเป็นผู้กำหนดเท่านั้น ขั้นตอนการสอนมีดังนี้
ขั้นที่ 1 ผู้สอนให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มสร้างครอบครัว โดยแสดงวิธีสร้างตัวละครของสมาชิกในครอบครัว ขั้นที่ 2 ให้ผู้เรียนกำหนดบทบาทของสมาชิกในครอบครัวตามแผนของผู้สอน ผู้เรียนจะต้องสร้างประวัติของตนโดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับงานอดิเรก ความสนใจ บุคลิกภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัวและปัญหา ขั้นที่ 3 ผู้สอนตั้งคำถามสำคัญ ตัวอย่างเช่น “ครอบครัวท่านมีใครบ้าง ขอให้ตัวแทนสมาชิกในครอบครัว 1 คน ทำหน้าที่แนะนำคนในครอบครัว”ขณะฟังคำอธิบาย ผู้สอนต้องสร้าง แรงจูงใจโดยดึงบางประเด็นในเรื่องมาฝึกทักษะ
ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนสร้างบ้านของตนและครอบครัว โดยใช้คำถามสำคัญข้อต่อไปนี้ ตัวอย่างเช่น “ช่วยกันสร้างบ้านให้ครูดูซิว่าบ้านมีลักษณะอย่างไร” ผู้สอนช่วยจัดสัดส่วนพื้นที่และอภิปรายเทคนิคการสร้างบ้าน เมื่อสร้างบ้านเสร็จผู้เรียนอาจรายงานด้วยการแสดงบทบาทสมมติหรือเขียนรายงาน หรือวาดแบบแปลน
ข้อค้นพบจากการวิจัย ข้อค้นพบจากการวิจัย จากผลการวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีข้อค้นพบดังนี้ 1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ธาริณี วิทยาอนิวรรตน์ (2542) และเกรียงไกร ยิ่งสง่า(2543)ได้วิจัยพบว่าเป็นวิธีการที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 2. การนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในการดำเนินชีวิต สุรินทร์ วังคะฮาด (2543) ได้วิจัยพบว่านักเรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
3.เจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ ธาริณี วิทยาอนิวรรตน์ (2542) ได้วิจัยพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนด้วยวิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์ในเกณฑ์ที่สูง รวมทั้งเกรียงไกร ยิ่งสง่า (2543) และจีรภัทร์ บัวสุวรรณ (2543) ได้วิจัยพบว่า วีสอนแบบสตอรี่ไลน์ ส่งผลให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อเรื่องที่เรียน • 4.คุณลักษณะของผู้เรียน เกรียงไกร ยิ่งสง่า (2543) ได้วิจัยพบว่าวิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และสุรินทร์ วังคะฮาด (2543) วิจัยพบว่า ผู้เรียนมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ใฝ่เรียนรู้ รู้จักการวางแผนการทำงาน และผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น