1 / 22

S.N.P. GROUP OF COMPANIES

S.N.P. NEWS. ข่าวสารฉบับที่ 138. S.N.P. GROUP OF COMPANIES. CLICK HERE. Free. www.snp.co.th Tel.0-2333-1199 ( 12 Line ). 1. MD SAYS. Global News. 2. Privilege Society. 3. Inside Customs. 4. Supply & Demand. 5. ทัศนา นานาท่าเรือ. 6. All about Logistics. 7. NEW PROMOTION.

irving
Download Presentation

S.N.P. GROUP OF COMPANIES

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. S.N.P. NEWS ข่าวสารฉบับที่ 138 S.N.P. GROUP OF COMPANIES CLICK HERE Free

  2. www.snp.co.thTel.0-2333-1199 ( 12 Line ) 1 MD SAYS Global News 2 Privilege Society 3 Inside Customs 4 Supply & Demand 5 ทัศนา นานาท่าเรือ 6 All about Logistics 7 NEW PROMOTION 8 SNP Joke Logistics Specialist and International Freight Forwarder

  3. MD SAYS โลจิสติกส์ไทย การเปิดเสรีทางการค้า มีผลกระทบต่อธุรกิจไทยทั้งทางบวกและทางลบ บางธุรกิจก็มีมากใน ขณะที่บางธุรกิจก็มีน้อย ในส่วนของ Logistics นั้น รัฐบาลพยายามให้ความช่วยเหลือ เนื่องจาก ปัจจุบัน การเปิดเสรีด้าน Logistics กำลังเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายว่า ภายในปี 2015 จะเปิดเสรีเต็มรูปแบบ ผมติดตามข่าวหลายแหล่ง พบว่า ปัจจุบันกิจการ Logistics ขนาดใหญ่ที่อยู่ในประเทศไทย ได้ตกไปอยู่ในมือต่างชาติเกือบหมดแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นของไทยจะมีลักษณะ SME (Small and Medium Entrepreneurs) ซึ่งรัฐบาลแสดงความเป็นห่วงเป็นใยและพยายามให้ความช่วยเหลืออยู่ แม้จะรู้ว่า รายใหญ่เป็นของต่างชาติเกือบหมดแล้ว ในมุมมองของผมนั้น ผมแบ่งธุรกิจ Logistics ของไทยที่ว่าขนาด SME ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่มีศักยภาพในการเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างประเทศได้ตั้งแต่ต้นทางแหล่งผลิต (Point of Origin) แบบครบวงจร จนส่งมอบถึงปลายทางผู้บริโภค (End User) ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการนำเข้าหรือการส่งออกก็ตาม กลุ่มนี้ได้รวมไปถึง Logistics ต่างชาติขนาดใหญ่เข้าไปด้วย ดังนั้น Logistics ขนาด SME ของไทยในกลุ่มนี้จึงต้องต่อสู้กับ Logistics ต่างชาติขนาดใหญ่เหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่หากินกับบรรดาเงินใต้โต๊ะที่มีมาแต่โบราณ กลุ่มนี้มักเรียกตัวเองว่า “ชิปปิ้ง” บางกิจการพยายามตั้งชื่อตัวเองให้สวยหรู แต่สุดท้ายก็หนีคำว่า “ชิปปิ้ง” ไปไม่พ้น แม้ทางราชการได้เปลี่ยนให้เรียกว่า ตัวแทนออกของแล้วก็ตาม กลุ่มนี้จะให้บริการด้านพิธีการเป็นหลักและมีส่วนทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้าของกลุ่มที่ 1 เป็นไปอย่างราบรื่นหรือติดขัด กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ต้องจัดการกับสินค้าภายในประเทศเป็นหลัก ประกอบด้วยกิจการขนส่งขนาดต่าง ๆ ที่มีรถบรรทุกเป็นของตนเอง กิจการคลังสินค้า กิจการเครื่องมือหนักในการเคลื่อนย้ายสินค้า และอื่น ๆ หากเป็นเรื่อง Logistics ระหว่างประเทศเมื่อใด กลุ่มนี้ต้องพึ่งพากลุ่มที่ 1 และ 2 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อ่านต่อหน้า 2

  4. ผมมีความเห็นโดยส่วนตัวว่า ความเป็นห่วงใยของรัฐบาลและการส่งเสริมให้ ธุรกิจ Logistics ของไทยที่มีขนาด SME มิให้ล้มหายตายจากไปนั้น รัฐบาลกำลังเป็นห่วงกลุ่มใดหรือเป็นห่วงทั้ง 3 กลุ่ม หรือรัฐบาลยังไม่มีเป้าหมายของความเป็นห่วง และไม่มีเป้าหมายของความช่วยเหลืออย่างชัดเจนกันแน่ จากประสบการณ์ของผมนั้น กิจการกลุ่มที่หนึ่งเป็นผู้มีความรู้ มีความเข้าใจ และมีความสามารถในการบริหารจัดการเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี กิจการใดที่เป็นขนาดใหญ่ มีเงินทุนหนาแน่น ก็จะมีกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 อยู่ในตัว แต่หากเป็นกิจการขนาด SME ก็จะสร้างสัมพันธ์ร่วมกับกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 เพื่อร่วมมือกันจัดการเคลื่อนย้ายสินค้า ส่วนกิจการกลุ่มที่สองนั้น สามารถยืนบนลำแข็งของตัวเองได้โดด ๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า “ระบบเงินใต้โต๊ะยังมีอยู่” ความยาก ความง่ายของการเคลื่อนย้ายสินค้า จึงขึ้นอยู่กับสายสัมพันธ์ของกลุ่มนี้โดยที่รัฐบาลแทบไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวเลย เว้นแต่ว่า รัฐบาลกำจัดเรื่องเงินใต้โต๊ะให้หมดไปได้จริง ๆ จึงค่อยเข้ามาเป็นห่วงกลุ่มนี้ ในขณะที่กลุ่มที่สามนั้น สู้ไม่ได้แน่กับ Logistics ต่างชาติขนาดใหญ่ เพราะเพียงต่างชาติหิ้วเงินเข้ามาก็สามารถเนรมิตคลังสินค้าและระบบขนส่งภายในประเทศขนาดใหญ่ได้แล้ว จากข้อแตกต่างของ 3 กลุ่มที่ผมมอง การที่รัฐบาลมีโครงการสร้างถนน สร้างสาธารณูปโภคมากมายเพื่อพัฒนา Logistics ของไทย แม้รัฐบาลจะทำให้สิ่งที่ถูกที่ควร แต่ผมกลับสัมผัสไม่ได้ว่า รัฐบาลเป็นห่วงเป็นใย Logistics ของไทยกลุ่มไหนกันแน่ หรือว่าเป็นห่วงทั้ง 3 กลุ่มเหมือน ๆ กัน เพราะหากเป็นประการหลังจริง สุดท้าย Logistics ข้ามชาติขนาดใหญ่ ก็ยังคงเอาไปกินอยู่ดีครับ สิทธิชัย ชวรางกูร กลับสู่หน้าหลัก

  5. Global News ราคาข้าวเปลือกขึ้นหลังต่างประเทศต้องการเพิ่ม นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงสถานการณ์ข้าวเปลือกและข้าวสารว่า ขณะนี้ มีแนวโน้มราคาดีขึ้น เพราะความต้องการซื้อของตลาดต่างประเทศมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวคุณภาพดี ทำให้ผู้ส่งออกต้องการซื้อข้าวเพื่อส่งมอบอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาวะราคาข้าวเปลือก ณ วันที่ 27 ส.ค.53 ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 13,400 - 15,000 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนตันละ 300 บาท ส่วนข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 15,600 - 17,000 บาท และข้าวเปลือกปทุมธานี ตันละ 10,000- 11,000 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ก่อน สำหรับข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 8,000 - 8,900 บาท ส่วนราคาข้าวสาร ณ วันเดียวกัน ข้าวสารหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ตันละ 29,500-29,600 บาท สูงขึ้นตันละ 300 บาท ข้าวปทุมธานี ตันละ 22,800-22,900 บาท สูงขึ้นตันละ 300 บาท ข้าวสารเหนียว 10 % เมล็ดยาว ตันละ 29,500-29,600 บาท ทรงตัวเท่าสัปดาห์ก่อนและข้าวขาว 5% ตันละ 13,000-13,100 บาท ขณะที่การส่งออกระหว่างวันที่ 1-20 ส.ค. ส่งออกแล้ว 362,500 ตัน มูลค่า 6,395 ล้านบาท ส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-20 ส.ค. 53 ส่งออกแล้วรวม 5.067 ล้านตัน มูลค่ากว่า 96,677 ล้านบาท เกณฑ์กลางอ้างอิงข้าวเปลือกรอบที่ 2 เพื่อใช้ในการจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรตามโครงการประกันรายได้เกษตรกร ระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-5ก.ย. 53 ข้าวเปลือก ความชื้น 15 % ว่าข้าวเปลือกเจ้า ตันละ8,435 บาท อัตราชดเชยตันละ 1,565 บาทข้าวเปลือกปทุมธานี ตันละ 10,917 บาท ชดเชยตันละ83 บาท และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 15,524 บาท ไม่ต้องชดเชย อ่านต่อหน้า 2

  6. ไทย-จีน ร่วมลงทุนรถไฟความเร็วสูง นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจมีมติให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม ทดสอบความเห็นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐของไทย ในการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงใน 2เส้นทางคือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ และกรุงเทพ-ระยอง โดยให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงใน 4 เส้นทาง โดยนอกจาก 2 เส้นทางดังกล่าวแล้ว ยังมีอีก 2 เส้นทางคือ เส้นทางกรุงเทพ-หนองคาย และกรุงเทพ-ปาดังเบซาร์ ซึ่งสองเส้นทางหลังนี้ ทางรัฐบาลจีนได้แสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุนกับรัฐบาลไทยแล้ว ที่ชัดเจนนั้นมี 2 เส้นทางที่รัฐบาลจีนสนใจเข้าร่วมลงทุนกับไทย ส่วนอีกสองเส้นทางนั้น ยังเป็นประเด็นที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ระบุว่า รัฐบาลจีนมีความสนใจที่จะร่วมลงทุนด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจ ก็ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมติดต่อกับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งระหว่างนี้ กระทรวงการคลังก็ต้องคิดต่อด้วยว่า รัฐจะเข้าถือหุ้นในโครงการดังกล่าวสัดส่วนเท่าใด เพื่อให้การกำหนดราคาค่าโดยสารนั้นเป็นธรรมต่อประชาชน รมว.คลัง กล่าว นอกจากนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ยังมีมติเห็นชอบแผนยกระดับการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยใช้งบประมาณ 170,000 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบรางเพื่อให้รถไฟสามารถวิ่งได้ในระยะทาง 120-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ไทยรัฐออนไลน์ อ่านต่อหน้า 3

  7. กัมพูชา..ป้ายหน้าอุตสาหกรรมน้ำมันลุ้นเขมรพ้นคำสาปมหกรรมโกงเรียบ?กัมพูชา..ป้ายหน้าอุตสาหกรรมน้ำมันลุ้นเขมรพ้นคำสาปมหกรรมโกงเรียบ? ในยุคที่ราคาน้ำมันโลกพุ่งกระฉูดไม่ปราณีปราศรัย บริษัทผู้ผลิตจึงพากันน้อมรับสุภาษิตน้ำขึ้นให้รีบตัก โดยการเร่งค้นหาแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ๆ ในทำเลที่ไม่เคยมีใครเคยแตะต้องมาก่อน และหนึ่งในนั้นอยู่ในน่านน้ำนอกชายฝั่งกัมพูชา ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่งของพัฒนาการนี้หมายถึงความหวังที่ประเทศยากจนอย่างกัมพูชาจะได้ลืมตาอ้าปากภายในชั่วข้ามคืน แต่อีกด้านกลับระอุด้วยความกังวลของผู้สังเกตการณ์ว่า เขมรอาจหนีไม่พ้นคำสาปน้ำมันที่จะตามราวีในรูปการคอร์รัปชั่นสะบั้นหั่นแหลก หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เชฟรอนจะสามารถสกัดและสูบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากบ่อเจาะทดสอบ 15 แห่งนอกชายฝั่งเมืองสีหนุวิลล์ได้ตั้งแต่ปี 2011 จริงอยู่ปริมาณการผลิตดังกล่าวน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียที่มีน้ำมันสำรองราว 4,300 ล้านบาร์เรล หรือ 3,000 ล้านบาร์เรลของมาเลเซีย แต่สำหรับชาติยากจนอย่างกัมพูชา ที่มีทรัพยากรมีค่าน้อยมาก นี่ถือเป็นข่าวดีในรอบศตวรรษก็ว่าได้ แม้นายกฯ ฮุนเซนแบ่งรับแบ่งสู้เรื่องบ่อน้ำมันที่เชฟรอน ประเมินเบื้องต้นว่าจะสามารถผลิตน้ำมันออกมาได้ 400 ล้านบาร์เรล ว่าอาจเป็นการคาดการณ์กันเกินเลย แต่เอาเข้าจริง ท่านนายกฯ กลับชักชวนพันธมิตรที่ไม่มีการเปิดเผยชื่อ หารือเรื่องการตั้งโรงกลั่นน้ำมันเล็กๆ ภายในประเทศ ขณะที่องค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชาหรือ CNPA เกริ่นว่าจะตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นมารองรับปัญหาก็คือ ประเทศด้อยพัฒนาอย่างกัมพูชาจะสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ ลำพังความเป็นไปได้ที่รัฐบาลฮุนเซนจะตั้งรัฐวิสาหกิจน้ำมันและโรงกลั่น ก็ทำให้ที่ปรึกษาชาวต่างชาติหลายคนกังวลว่า กัมพูชาอาจหนีไม่พ้นคำสาปน้ำมัน ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ ‘กินแหลก’ ในประเทศกำลังพัฒนาโดย รัฐวิสาหกิจน้ำมันซึ่งเป็นผู้ควบคุมน้ำมันสำรอง ภายใต้การชักใยของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐบาล อ่านต่อหน้า 4

  8. วอร์วิก บราวน์ อดีตผู้จัดการโครงการของอ็อกซ์แฟม อเมริกาในกัมพูชา บอกว่าโรงกลั่นน้ำมันแห่งชาติขนาดเล็กทำกำไรยาก และรัฐบาลยังต้องควบคุมราคาขายเพื่อจุนเจือประชาชน แลกกับโอกาสในการส่งออกน้ำมันเพื่อดึงรายได้เข้าประเทศ เจ้าหน้าที่รัฐบาลพนมเปญปิดปากเงียบต่อข้อสงสัยทั้งหลายแหล่ ขณะที่เชฟรอน ที่หมดเงินไปแล้วกว่า 120 ล้านดอลลาร์ในการสำรวจนานสามปี แถลงว่าบ่อน้ำมันที่กำลังพยายามสูบขึ้นมานั้นต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและเงินทุน มากกว่าปกติ ที่ปรึกษาในวงการน้ำมันคนหนึ่งบอกว่า บริษัทต่างๆ เหล่านี้กำลังรอดูว่าโครงการของเชฟรอนจะหมู่หรือจ่า เพราะสัญญาการสำรวจมีอายุนานถึง 6 ปี ดังนั้น จึงยังไม่ต้องรีบร้อนลงมือ ยกเลิก หรือขายใบอนุญาตต่อแต่อย่างใดในส่วนของปัญหาคอร์รัปชันนั้น ดูเหมือนเขมรจะหมดความอดทนกับพวกชอบมองโลกแง่ร้าย ปลายปีที่แล้ว ฮุนเซนจึงป่าวประกาศในงานประชุมในพนมเปญว่า กัมพูชารู้วิธีหลีกเลี่ยงคำสาปน้ำมัน และจะสามารถจัดสรรรายได้จากทรัพยากรนี้เพื่อพัฒนาประเทศ แต่นั่นยังไม่ใช่การรับประกันที่มั่นคง หลังจากนั้นเพียงเดือนเดียว สัมรังสี ผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา จึงเรียกร้องให้สภาออกกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันก่อนที่จะมีการสูบน้ำมันขึ้นมาจากบ่อ เพื่อป้องกันรัฐบาลสูบความมั่งคั่งของประเทศไปเป็นของตนเองและพวกพ้อง เช่นเดียวกัน โจ มัสโซเมลี เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำพนมเปญ ไม่มั่นใจว่ากัมพูชา ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำมันเลย จะสามารถใช้ทองดำยกระดับชีวิตประชาชน หรือปล่อยให้เงินรายได้ไหลเข้ากระเป๋านักการเมืองขี้ฉ้อเหมือนในหลายประเทศ มัสโซเมลียังเรียกร้องให้กัมพูชาลงนามกรอบโครงนโยบายความโปร่งใสเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีการนำรายได้จากน้ำมันไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ อ่านต่อหน้า 5

  9. ส่งออกเตรียมรุกตลาดโรตีภายใต้โครงการThailand Trade Force 2010 นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ได้เป็นประธานเปิดงาน Thailand Trade Exhibition 2010 ณ อาคาร World Trade Centre Complex เมืองมุมไบ งานนี้กรมส่งเสริมการส่งออกนำคณะผู้ส่งออกไทยเข้าร่วมงานกว่า 82 รายบนพื้นที่กว่า 2,300 ตารางเมตร ภายในอาคาร World Trade Center Complex โดยมีนักธุรกิจและประชาชนเข้าชมงาน ตลอด 4 วัน รวมกว่า 20,000 ราย มียอดการสั่งซื้อทันทีเกิดขึ้นภายในงาน รวม 550,000 เหรียญสหรัฐฯ และยอดการสั่งซื้อภายใน 1 ปี คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้ายอดนิยมที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ สินค้าอาหารประเภทซอสปรุงรส ผลไม้แห้ง น้ำผลไม้ ขนมขบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์ธัญพืช ผลิตภัณฑ์สปา ของขวัญของตกแต่งบ้าน ผลิตภัณฑ์เซรามิค สินค้าแฟชั่น ชุดกีฬา และกระเป๋าถือสตรีฯลฯโดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตตามความต้องการของตลาดเช่น งานหัตถกรรมแกะสลักเป็นรูปพระพิฆเนศ ดอกไม้ประดิษฐ์ติดไฟตามแบบคำสั่งซื้อของผู้นำเข้าอินเดีย นางศรีรัตน์ เผยว่า อินเดียเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทย ที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 11 และเป็นคู่ค้าอันดับ 1ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ มีมูลค่าส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดทุกปี โดยในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2553 มีมูลค่าการส่งออกกว่า 2,129 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถึงร้อยละ 54 และคาดว่าตลอดปี 2553 ประเทศไทยจะสามารถส่งออกไปยังตลาดอินเดีย มีมูลค่าถึง 4,029 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 25 ทั้งนี้จากรายงานของธนาคารกลางแห่งชาติอินเดีย (Reserve Bank of India) คาดการณ์ว่าในปี 2553 นี้ อินเดียจะมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวม 711 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 38.1 เมื่อเทียบกับปี 2552 เนื่องจากเศรษฐกิจของอินเดียกำลังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยคาดว่า GDP จะขยายตัวไม่น้อยกว่า ร้อยละ 8 ในปี 2553 สำหรับแผนงานปี 2554 ทางกรมฯ ได้เตรียมพร้อมที่จะจัดกิจกรรมที่ล้วนเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการขยายการค้าระหว่าง ไทย-อินเดีย เช่น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในภูมิภาคเอเชียใต้ จำนวน 6 งาน การจัดงาน Thailand Trade Exhibition 7 งาน โครงการจัดคณะผู้แทนการค้าไทยเยือนประเทศอินเดียในกลุ่มสินค้าธุรกิจแฟรนไชส์ Auto Part และผลิตภัณฑ์ไม้ยางพารา การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำในอินเดีย เช่น ห้าง The Bombay Store, Big Bazaar และ Spencer’s ฯลฯ ที่มา: http://www.depthai.go.th กลับสู่หน้าหลัก

  10. Privilege Society ตอน..จับคู่ C/O พอดีผมมีโอกาสเปิดเข้าไปเยี่ยมชมเวปไซต์www.thaifta.comทำให้ผมตระหนักถึงควาจริงขึ้นมาอยู่หนึ่งเรื่องครับ ความจริงที่ว่าก็คือ ปัจจุบันประเทศไทยมีข้อตกลง FTA กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งที่มีผลบังคับใช้แล้ว และที่ยังอยู่ในระหว่างการเจรจา มากมายเกือบ 20 กรอบ และถ้าหากทุกข้อตกลง มีผลบังคับใช้ทั้งหมด จะทำให้ประเทศไทยมีคู่ค้าภายใต้ FTA ครอบคลุมแทบจะทุกมุมโลกอยู่แล้ว เนื่องจากรายละเอียดปลีกย่อย ที่มักไม่ตรงกันในการเจรจา FTA แต่ละกรอบ ทำให้รายละเอียดต่างๆ ที่จะใส่ลงไปใน C/O ย่อมมีความแตกต่างกันไปด้วย แล้วพอรายละเอียดที่เราต้องใส่ลงไปใน C/O นั้นแตกต่างกัน มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ ที่ C/O ของ FTA แต่ละกรอบ จะมีรูปร่างหน้าตา แตกต่างกันออกไป ปัจจุบัน C/O ที่ประเทศเราใช้อยู่มีมากมายหลายชนิดเหลือเกิน ผมจึงขอสาธยายให้ท่านๆได้ฟังกันผ่าน Privilege Society ในสัปดาห์นี้กัน ดังนี้ครับ อ่านต่อหน้า 2

  11. จริงๆ แล้ว ยังมี C/O อีกหลายประเภท นอกเหนือจากในตารางนี้นะครับ ยกตัวอย่างเช่น C/O Chamber, C/O Textile, C/O General Form ฯลฯ สัปดาห์หน้าผมจะมาเล่าให้ฟังครับ กลับสู่หน้าหลัก โดย...Mr. Privilege

  12. Inside Customs ตอน Post Audit นับตั้งแต่กรมศุลกากรปรับเปลี่ยนระบบในการผ่านพิธีการทางศุลกากรทั้งเข้า-ออก มาเป็นระบบไร้เอกสาร (Paperless) ปรากฏว่า การนำเข้า-ส่งออกของผู้ประกอบการชาวไทยสามารถกระทำได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลไทยแทบจะทุกชุด ทุกยุคสมัยนะครับ สำหรับการส่งเสริมการส่งออกและนำเข้า อย่างไรก็ดี อย่างที่ทราบกัน การที่ศุลกากรผ่อนปรนให้การผ่านพิธีการต่างๆเป็นไปได้โดยง่ายนั้น มิได้หมายความว่าท่านจะสามารถกระทำการใดๆ ตามใจชอบได้นะครับ เพราะมาตรการการตรวจสอบย้อนหลังของกรมศุลกากรที่นับวันจะยิ่งทวีความเข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางโดยสิ้นเชิงกับความง่ายดายที่เราๆ ท่านๆ เผชิญตอนผ่านพิธีการฯ ไม่ยอมให้ท่านทำอย่างนั้นได้แน่ พูดกันภาษาชาวบ้านก็เข้าทำนอง “ทีเองข้าไม่ว่า ทีข้าเองห้ามโวย” นั่นแหล่ะครับ นโยบายของศุลกากรที่ผมแอบได้ยินข่าววงในมานั้น แสดงท่าทีชัดเจนนะครับว่า ภายใน 1 ปี โรงงานทุกแห่งทั่วประเทศ จะต้องผ่านการ Post Audit อย่างน้อย 1 ครั้ง(แม้ในความคิดผม ผมจะเชื่อว่าเฉพาะโรงงานตามจังหวัดใหญ่ๆเท่านั้นล่ะครับ) ฟังแล้วน่าขนลุกพอสมควรเลย ใช่ไหมครับ แต่หากเราเตรียมตัวดี เข้าใจหลักการและเหตุผลของการเข้า Post Audit ของเจ้าหน้าที่ฯ มีสติ ไม่ตื่นเต้น บวกกับมนุษยสัมพันธ์ดีๆอีกสักนิด ผมเชื่อครับ Post Audit ปีละ 10 ครั้ง ก็ไม่น่าหวั่นครับ วันนี้ผมจึงขออนุญาติมาสรุปสาระสำคัญของหลักการทั่วๆ ไป ในการ Post Audit ของศุลกากรคร่าวๆ ซึ่งบางท่านอาจทราบอยู่แล้ว บางท่านยังไม่ทราบ ดังนี้ครับ อ่านต่อหน้า 2

  13. 1.ไม่ใช่เฉพาะผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าเท่านั้น ที่มีโอกาสได้รับการ Post Audit จากศุลกากร บรรดาดัวแทนสายเรือ ตัวแทนผ่านพิธีการ หรือบุคคลและนิติบุคคลใดๆ ก็แล้วแต่ ที่เกี่ยวข้อวกับการส่งออก-นำเข้า ก็มีโอกาสถูก Post Audit ได้ 2. ผู้ถูก Post Audit ต้องเก็บเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก เป็นระยะเวลา 5 ปีย้อนหลังโดยเอกสารที่จัดเก็บต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ใน ประกาศศุลกากรที่ 26/2543 กรณีไม่ทำตามที่ประกาศไว้ ผู้ถูก Post Audit จะมีโทษตามกฏหมาย คือต้องระวางคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 3. เจ้าหน้าที่จะทำการส่งหนังสือแจ้งว่าจะมีการเข้าไป Post Audit ล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วัน ก่อนวันตรวจสอบ ยกเว้นมีเหตุอันควร ซึ่งสามารเข้าตรวจสอบได้เลยทันที (พูดง่ายๆ ก็คือพี่เค้าจะเข้าตอนไหนก็ได้นั่นแหละ 555) 4. เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีสิทธิทำการ Post Audit ณ สถานประกอบการ ได้สูงสุด 10 วันทำการ หากยังไม่เสร็จสิ้นสามารถขอต่ออายุได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 10 วันทำการ (แต่ส่วนมาก เท่าที่ผมทราบ เจ้าหน้าที่ Post Audit จะมาไว เครมไว กับไว ครับ ไวมากจนบ้างครั้งผู้ถูกตรวจสอบยังงงอยู่เลย) 5. ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของศุลกากรส่วน Post Audit มีดังต่อไปนี้ 5.1 เข้าไปในสถานที่ของผู้ตรวจสอบในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น ถึงพระอาทิตย์ตกหรือในเวลาทำการ โดยมีอำนาจในการสั่งให้ผู้ถูกตรวจสอบปฏิบัติตามคำสั่งได้ตามสมควร เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในการตรวจสอบเท่านั้น 5.2สอบถามข้อเท็จจริงหรือเรียกดูเอกสารต่างที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกได้ทุกรูปแบบ 5.3ยึดหรืออายัตเอกสารใดๆ ก็แล้วแต่ ที่อาจมีความผิดตามกฏหมาย 6. ในกรณีถูกขัดขวางการเข้า Post Audit ณ สถานประกอบการ เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะเข้าไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน และจะเข้าตรวจสอบอีกครั้ง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพยานจริงๆแล้ว สาระสำคัญของการ Post Audit จะไปอยู่ในส่วนของการจัดเก็บเอกสารที่จำเป็นไว้ ตามลักษณะที่ประกาศฯ ฉบับที่ 26/2543 กำหนดไว้นั่นแหล่ะครับ ซึ่งหากมีโอกาส ผมต้องนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปแน่นอน อย่าลืมนะครับ เตรียมตัวของท่านให้พร้อม ปรึกษาตัวแทนของท่านให้ดี เพราะการที่ท่าน ยังไม่โดน Post Audit ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่โดนนี่ครับ โดย......ชิปปิ้งสีเทา กลับสู่หน้าหลัก

  14. Supply & Demand ข้าวหอมมะลิ : ทำความรู้จักกันก่อน สวัสดีค่ะท่านผู้ประกอบการทุกท่าน พบกันอีกแล้วนะคะสำหรับคอลัมน์ Supply & Demand สำหรับสัปดาห์นี้เรามาดูเรื่องสินค้าใกล้ๆกับชาวไทยทุกท่านอย่างข้าวหอมมะลิกันนะคะ ข้าวหอมมะลิเป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย จัดเป็นข้าวนาปี ปลูกได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ลักษณะข้าวเปลือกเรียวยาว เมื่อสีเป็นข้าวสารจะได้ข้าวเมล็ดเรียว ยาว ขาวใสเป็นเงา แกร่ง มีท้องไข่น้อย มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เป็นพันธุ์ข้าวที่นิยมบริโภคอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นพันธุ์ข้าวที่สร้างชื่อเสียงให้ข้าวไทยเป็นที่รู้จักทั่วโลกไม่น้อยหน้าผัดไท และต้มยำกุ้งเลยค่ะ ประเทศไทยถือเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่ง โดยมีแหล่งเพาะปลูกสำคัญ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เขตทุ่งกุลาร้องไห้) และมีพื้นที่เพาะปลูกครอบคลุมกว่า 19 ล้านไร่ทั่วประเทศ โดยมีแหล่งผลิตสำคัญ คือ จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ นครราชสีมา อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด รองลงมาคือภาคเหนือ เนื่องจากสภาพดินฟ้า-อากาศและพื้นที่เพาะปลูกของทั้งสองภาคคล้ายคลึงกัน เหมาะแก่การเจริญเติบโตของข้าวหอมมะลิ กล่าวคือ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ดอน ฝนจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ชาวนาจะเริ่มหว่านไถ ในเดือนมิถุนายน และเพาะปลูกอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม เมื่อฝนเริ่มหมด ปลายเดือนตุลาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน จึงเริ่มเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายนความชื้นจะน้อยเพราะเป็นช่วงที่ลมหนาวจากเมืองจีนเริ่มพัดเข้ามาในสองภาคนี้ ทำให้อากาศแห้งเหมาะในการเก็บเกี่ยว การตาก การนวด ก็ทำได้ง่าย เพราะน้ำแห้งนาหมดแล้ว ไม่มีฝน จึงทำให้ได้เมล็ดข้าวที่มีคุณภาพ สำหรับการปลูกข้าวหอมจะทำกันได้ดีเฉพาะที่ที่เป็นนาดอนเสียเป็นส่วนใหญ่ นี่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นที่ว่าทำไมข้าวหอมมะลิจึงเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของไทยและเป็นที่ต้องการของทั่วโลก สัปดาห์หน้าดิฉันจะบอกกล่าวถึงคุณสมบัติของข้ามหอมมะลิที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลกให้ทุกท่านได้ทราบกันค่ะ เพนกวิ้นตัวกลม กลับสู่หน้าหลัก

  15. ทัศนา นานาท่าเรือ ไปดู Port of Elizabeth ที่ South Africa สวัสดีครับ ท่านผู้ประกอบการทุกท่าน นี่ก็เพิ่งจะผ่านไปไม่นานกับเทศกาลสาร์ทจีนให้คนไทยเชื้อสายจีน ได้ทำความเคารพและระลึกถึงบรรพบุรุษกัน นอกจากนี้ขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนคอลัมน์นี้อยู่ เป็นวันเดียวกันกับการเลือกตั้ง สก สข ด้วย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงนับผลคะแนนของการเลือกตั้งอยู่ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการใช้สิทธิ์และเสียงของตนเองอย่างพร้อมเพรียงกันนะครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยวชมที่ Main Port ของ South Africa กันครับ อาจ จะช้าไปหน่อยที่จะพูดถึงท่าเรือที่ปีนี้เป็นเจ้าภาพจัด ฟุตบอลโลก 2010 แต่คงไม่ช้า เกินไปใช่มั้ยครับ ที่จะนำเรื่องราวของ Port of Elizabeth มาเล่าให้ฟังกัน Port of Elizabeth ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ South Africa หันหน้าเข้าสู่ Indian Ocean หรือ คาบสมุทรอินเดีย เป็น port ที่เรียกได้ว่า มีกำลังการผลิตในด้านอุตสาหกรรมยาน ยนต์มากที่สุด port นึงของ South Africa เลยทีเดียว และยังเป็นฐานการผลิตที่ สำคัญของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างVolkswagen,General Motors, และ Ford อีกด้วย ถามว่าทำไม Port of Elizabeth ถึงมีชื่อเสียงเรียงนามเหมือนกับผู้หญิงเช่นนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกครับ Port นี้ตั้งตามชื่อภรรยา ของท่าน Sir Rufane Donkin เป็นชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Port นี้ขึ้นมาครับ ด้วยความรักและคิดถึงในตัว Elizabeth ภรรยาของท่าน ซึ่งเสียชีวิตลงทั้งที่อายุยังน้อยๆ อยู่เลยครับ (เหมือนตำนานรักอย่าง ทัชมาฮาลมั้ยครับ) อ่านต่อหน้า 2

  16. Port of Elizabeth เริ่มเปิดทำการเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1861 และมีพัฒนาการมากขึ้นอย่างเป็นก้าวกระโดดในปี ค.ศ. 1873 เมื่อมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อ จวบจนกระทั่งมาปี ค.ศ. 1960-1970 ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นไปอีก เมื่อมีการส่งเสริมการศึกษามากขึ้น มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัย สร้างระบบคมนาคมที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงเส้นทางตลอดรอบชายฝั่ง และยิ่งมาจนถึงปี 2010 แทบไม่ต้องพูดถึงเลยว่าฟุตบอลโลก 2010 ได้สร้างความแตกต่างชนิดที่ในอดีตนั้นคงเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว ในช่วง ค.ศ. 2008-2009 Port of Elizabeth ได้รอบรับสายเรือ กว่า 1258 ลำ ขนถ่ายสินค้ากว่า 10 ล้านตัน สินค้าบรรจุตู้เสีย 5.4 ล้านตัน เป็นสินค้าเรือ Bulk กว่า 3.8 ล้านตัน เป็นเรือ Break Bulk กว่า 864.8 ตัน Port of Elizabeth นอกจากจะเป็นท่าเรือสำคัญในด้านอุตสาหกรรมรถยนต์แล้ว ยังเป็นท่าเรือหลักในการส่งออกแร่แมงกานีสจำนวนมหาศาลอีกด้วย ส่วนสินค้าอื่นๆ ในการส่งออกได้แก่ พวกขนสัตว์ต่างๆ เช่น ขนนกกระจอกเทศ ขนแพะ ขนแกะ หนังสัตว์ กลองที่ทำจากหนังสัตว์ และพวกข้าวโพด สินค้านำเข้าได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียมเป็นหลัก เครื่องจักร สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ส่วนระยะเวลาในการเดินทางหากออกจากประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 20-25 วันครับ แต่ระยะหลังมีผู้สอบถามเข้ามาเหมือนกันว่ามีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องของโจรสลัดที่มีผลต่อการเดินเรือไปยัง Port ต่างๆ ทางตอนใต้ของ South Africa ซึ่งทางทีมงานได้มีการไปศึกษาข้อมูลมาโดยพอสังเขป ก็พบว่าโจรสลัดดังกล่าวที่ส่งผลนั้น คือโจรสลัดโซมาเลียนั่นเองครับ เนื่องจากการกดดันจากรัฐบาลโซมาเลีย และประเทศโดยรอบในการหยุดยั้งอาชญากรรมบนท้องทะเล (นึกถึงหนังเรื่อง Pirate of Caribian เลยมั้ยครับ) ทำให้พวกโจรสลัด ต้องระหกระเหมาหากินกันไกลขึ้น ครอบคลุมไปถึงพื้นที่ใกล้เคียงทางแหลมกู๊ดโฮป และเส้นทางเดินเรือไปยัง Port ทางตอนใต้ เช่น Port of Elizabeth ด้วยครับ ซึ่งผู้ประกอบการที่ต้องการจะติดต่อค้าขายกับทาง Port ทางตอนใต้ของ South Africa ก็ควรจะศึกษาข้อมูลและตามข่าวกัน ก่อนนะครับผม โย่ง ยิงยาว กลับสู่หน้าหลัก

  17. All about Logistics ยุทธศาสตร์ด่านหน้า...พาจีนสู่ผู้นำโลก (ภาคไม่รู้จบ) การที่ประเทศไทยจะพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ทันสมัยเทียบเท่าประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนด้วยกันนั้น ฟังดูอาจจะเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคิดอีกที ก็คงไม่ยากเกินความสามารถหาเราตั้งใจจะทำกันจริงๆ ก็เป็นที่น่าดีใจว่า รัฐบาลชุดหลังๆให้ความสนใจในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทยอยู่มากพอควร อีกทั้งยังมีความรู้ความเข้าใจในระบบโลจิสติกส์ และ supply chain มากพอควร ซึ่งในขณะนี้ กระทรวงคมนาคมเล็งเห็นความสำคัญของประเทศจีนในเรื่องเส้นทางการค้ากับไทยจึงได้มุ่งปรับปรุงเส้นทางขนส่งระหว่างไทยจีนก่อนโดยเน้นทางการขนส่งทางถนนและเส้นทางหลวงเอเซีย โดยมีแผนการที่จะทำถนนเชื่อมต่อระหว่างประเทศทุกประเทศในเอเซียทั้งหมด และเชื่อมต่อไปยังทวีปยุโรปได้ ซึ่งหากดำเนินการเชื่อมต่อ 2 ทวีปนี้สำเร็จ เราจะสามารถเดินทางทางรถยนต์เชื่อมต่อกันได้ถึง 32 ประเทศ เพื่อเป็นการให้สิทธิสินค้าผ่านแดน (Goods in Transit) โดยในปี 2015 ประเทศต่างๆในกลุ่มอาเซียนจะมีสิทธินำรถทะเบียนประเทศตัวเองไปวิ่งในประเทศในสหภาพได้ประเทศละ 500 คัน ในปัจจุบันนี้หากสังเกตทางหลวงของไทยที่มีป้ายสีฟ้าที่มีตัวอักษร AH นั้นหมายความว่าสามารถให้รถจากประเทศในกลุ่มอาเซียนเดินทางเข้ามาใช้ทางนั้นได้ (ทะเบียนต่างประเทศ) แต่มีข้อจำกัดว่าจะต้องอยู่เฉพาะบนเส้นทางป้ายสีฟ้าเท่านั้น ดังนั้นการขนส่ง in transit จะต้องมีรถขนส่งในประเทศนั้นๆมารับช่วงสินค้าต่อในจุดพักรถ เนื่องจากเส้นทางนี้ยังไม่อำนวยในด้านการขนส่งแบบ DDU อ่านต่อหน้า 2

  18. นอกจากนั้น กระทรวงคมนาคมยังเล็งเห็นความสำคัญของการขนส่งทางรถไฟ เนื่องจากก็ให้เกิดความเสียหายบนท้องถนนน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการปรับปรุงรางรถไฟและตู้ขบวนใหม่ทั้งหมด เนื่องจากรางรถไฟที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นแบบรางแคบเพียง 1 เมตรที่ใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และยังไม่ได้รับการปรับปรุงแต่อย่างใด โดยในเร็ววันนี้ หากสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อไทย-จีน(คุนหมิง)นั้น อีก 5 ปีหลังจากนี้ ประชาชนชาวไทยอาจจะมีโอกาสเดินทาง หรือติดต่อค้าขายกับประเทศจีนได้สะดวก และรวดเร็วขึ้นก็เป็นได้ ฉบับนี้ ผู้เขียนคาดว่า น่าจะเป็นฉบับสุดท้ายสำหรับการวิพากษ์ระบบโลจิสติกส์ระหว่างไทย - จีน เพื่อเปิดโอกาสให้กับหัวข้ออื่นๆที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการที่มีธุรกิจกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอื่นๆกันบ้างฉบับหน้าเราจะย้ายไปประเทศไหน โปรดติดตามนะคะ Sathinun กลับสู่หน้าหลัก

  19. SNP JOKE ผมมีเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อสมชาย เขาได้รับการกล่าวขวัญเสมอว่า เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ชอบมองโลกในแง่ดี และมีอารมณ์ดีตลอดเวลา ทุกครั้ง ถ้ามีใครถามเขาว่า ชีวิตเป็นอย่างไร ? เขาจะตอบว่า "ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้" ลูกน้องทุกคนรักในความเป็นผู้นำของเขา ถ้าลูกน้องคนไหนกำลังมีปัญหา เขาจะอยู่ใกล้ๆ และคอยปลอบให้รู้ว่า จะมองเห็นสิ่งที่ดีจากเรื่องร้าย ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร วันหนึ่งผมอดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้ จึงถามเขาว่า "เอ็งมีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่า ถึงได้มีอารมณ์ดีอย่างนี้ได้ตลอดเวลา?" เขาตอบว่า "ทุกวันตอนเช้า เมื่อข้าถามตัวเองว่า วันนี้จะเลือกเป็นคนอารมณ์ดี หรืออารมณ์ร้าย ข้าก็จะเลือกข้อหนึ่งทุกที ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ข้ามีสิทธิที่จะเลือก ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ หรือเลือกเรียนรู้จากเหตุการณ์ ทุกครั้งที่มีใครบ่นให้ผมฟัง “ข้ามีสิทธิ์เลือก ที่จะรับคำบ่น หรือชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดีกว่า สุดท้าย ข้ามักจะเลือกด้านดีของชีวิตเสมอ"ผมแย้งกลับไปว่า "แต่อะไรๆ ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะซิ" เขาตอบว่า "ถูกต้อง ชีวิตคือการเลือก เมื่อเอ็งตัดสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป สุดท้ายจะเลือกแค่การเลือก เอ็งมีสิทธิที่จะเลือก ตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า อ่านต่อหน้า 2

  20. จะทำให้คนอื่นตอบสนองอารมณ์เอ็งได้อย่างไร เอ็งมีสิทธิเลือก ที่จะสบายใจ หรือหัวเสียตลอดเวลาได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า เอ็งจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร ?" หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รับข่าวร้ายว่า เพื่อนผมคนนี้ ถูกโจรที่เข้ามาปล้นร้านอาหารยิง และได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคยังดีที่มีคนมาพบ และนำส่งโรงพยาบาลทัน หลังจากการผ่าตัดนานกว่า 18 ชั่วโมงผ่านไป และนอนพักรักษาตัวเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ สมชายได้รับการปล่อยให้กลับบ้านได้ ในระหว่างที่ผมไปเยี่ยมสมชาย ผมถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ? เขาตอบว่า "ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้แน่" เขาถามผมว่า อยากดูบาดแผลหรือเปล่า ผมตอบว่า “ไม่ แต่อยากรู้ว่า เขาผ่านเรื่องร้ายๆ อย่างนี้มาได้อย่างไร ?” สิ่งแรกที่ข้านึกได้คือ “น่าจะล็อคประตูหลังร้านไว้" สมชายตอบ แต่หลังจากถูกยิง ขณะที่นอนอยู่บนพื้น ข้าบอกตัวเองว่า "ข้าเหลือทางเลือกเพียงสองทาง คือมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ก็ตาย” แน่นอนที่สุด ข้าเลือกที่จะมีชีวิตอยู่"แล้วไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรือ?" ผมถามต่อ สมชายเล่าต่อไปว่า "พวกที่มาช่วยเก่งมาก พวกเขาบอกผมตลอดเวลาว่า “ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องเรียบร้อย” แต่ระหว่างที่ข้าถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด ข้ามองเห็นสีหน้าของหมอ และพยาบาลแล้ว ผู้รู้สึกได้จากสายตาของพวกเขาว่า "ข้ากำลังจะตาย" เลยบอกตัวเองทันทีว่า "ต้องทำอะไรสักอย่าง""แล้วเอ็งทำอะไร ?" ผมถาม อ่านต่อหน้า 3

  21. ข้าก็คิดว่า “โชคยังดี ที่ข้ายังมีลมหายใจ” และพอจะมีแรงถามหมอว่า “กระสุนโดนจุดสำคัญหรือเปล่าครับหมอ” หมอตอบว่า “โชคยังดีที่กระสุนไม่โดนจุดสำคัญ แต่คงต้องตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง เพราะเลือดไม่ได้ไปเลี้ยงที่แขนซ้ายนานกว่าชั่วโมง” “แล้วเอ็งจะทำยังไง” ผมถาม สมชายก็ตอบว่า “โชคยังดีที่ข้ายังเหลือแขนขวาอีกข้าง” ทำให้ข้ามีกำลังใจต่อไป พอดีมีนางพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามว่า “แพ้อะไรหรือเปล่า ?" สมชายก็ร้องออกมาทันทีว่า "หมอ หมอ ผมแพ้อยู่อย่างหนึ่งครับ" ทั้งหมอ และพยาบาลหยุดชั่วขณะ จนห้องทั้งห้องเงียบกริบเพื่อรอฟังคำตอบ ข้าหายใจเข้าลึกๆ และตอบไปว่า "ผมแพ้หัวลูกปืนครับ" ทันใดนั้น ทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นไปหมด ต่อจากนั้น ข้าก็บอกหมอว่า “ผมอยากมีชีวิตอยู่ ช่วยกรุณาผ่าตัดอย่างคนมีชีวิต ไม่ใช่อย่างคนที่ตายไปแล้ว" ในที่สุดการผ่าตัดก็สำเร็จ หมอสามารถช่วยชีวิตของสมชายเพื่อนผมไว้ได้อย่างปาฏิหารย์ และสมชายก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะเขาเลือกที่จะคิดในสิ่งที่ดี ข้อคิดจากเรื่องนี้ก็คือ“คุณมีสิทธิที่จะชื่นชมกับชีวิต ในขณะที่คุณกำลังมีชีวิตขมขื่นได้ ด้วยความคิดในแง่บวกของคุณเอง ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป” กลับสู่หน้าหลัก

  22. กลับสู่หน้าหลัก Logistics Specialist and International Freight Forwarder

More Related