2.75k likes | 5.57k Views
สื่อการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ศิลปะในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เส้น แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 สี แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 รูปร่าง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 รูปทรง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 พื้นผิว. เส้น ความหมายของเส้น
E N D
สื่อการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ศิลปะในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เส้น แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 สี แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 รูปร่าง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 รูปทรง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 พื้นผิว
เส้น ความหมายของเส้น เส้น เกิดจากการเคลื่อนที่ของจุด (Moving dot) จำนวนมาก ไปในทิศทางที่กำหนด หรือเส้นคือทางเดินของจุดไปในทิศทางเดียวกันที่กำหนด เส้น เป็นแนวเชื่อมโยงระหว่าง จุดสองจุดขึ้นไป เส้นจะมีปฏิกิริยา โต้ตอบ กับสายตาของมนุษย์ให้เคลื่อนที่ไป ตามลักษณะของเส้น ได้เป็นอย่างดี เราจะเห็นเส้นใน การ เคลื่อนไหวของมนุษย์ เส้นรูปทรงของสัตว์ วัตถุ และธรรมชาติ ที่แตกต่าง กัน รูปลักษณะของเส้นเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเส้นที่ปรากฏตามสายตา (Visual Elements) หรือเส้นที่ที่ปรากฏในความคิด (Conceptual Elements) ก็ตาม สามารถทำให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ตื่นเต้น สงบราบเรียบ นิ่มนวล ร่าเริง เคร่งขรึม อ่อนหวาน เป็นต้น เส้น จึงเป็น องค์ประกอบหนึ่ง ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของ ผู้สร้าง งาน ศิลปะ ให้ผู้อื่น ได้สัมผัสได้เป็นอย่างดี
ลักษณะของเส้น เส้นมีมิติเดียว คือ ความยาวไม่มีความกว้างมีแต่ มีความหนาที่ เรียกว่า เส้นหนา เส้นบาง เส้นใหญ่ เส้นเล็ก ความหนาของเส้น จะต้อง พิจารณาเปรียบเทียบกับความยาวด้วย คือถ้าเส้นนั้นสั้น แต่มีความหนา มากจะหมดคุณลักษณะ ของความเป็นเส้น กลายเป็น รูปร่างสี่เหลี่ยม ผืนผ้าไป เส้นมีทิศทางต่างกัน เช่น แนวราบ แนวดิ่ง แนวเฉียง และมีลักษณะต่าง ๆ เช่น ตรง คด เป็นคลื่น ก้นหอย ชัด พร่า ประ ฯลฯ ทิศทาง และลักษณะของเส้น ให้ความรู้สึกต่อผู้สัมผัส แตกต่างกัน ออกไปดังต่อไปนี้
เส้นตรง (Straight Line) หมายถึงเส้นตรงในทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง ให้ความรู้สึก แข็งแรง แน่นอน หยุดนิ่ง ถูกต้อง ตรง เข้มแข็ง • ไม่ประนีประนอม รุนแรง เด็ดเดี่ยว ให้ความรู้สึกหยาบ และการ • เอาชนะ เส้นตรงใช้มากในทัศนศิลป์ ประเภทสถาปัตยกรรม
2. เส้นโค้ง (Curved Line)เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกมีการเคลื่อนไหว เส้นโค้ง มีหลายลักษณะ คือ เส้นโค้งน้อย ๆ หรือเป็นคลื่นน้อย ๆ ให้ ความรู้สึกสบายเปลี่ยนแปลงได้ เลื่อนไหลต่อเนื่อง คลายความกระด้าง มีความกลมกลืนในการเปลี่ยน ทิศทาง มีความเคลื่อนไหวช้า ๆ สุภาพ เย้ายวน มีความเป็นผู้หญิง นุ่มนวล และอิ่มเอิบ ถ้าใช้เส้นแบบนี้มากเกินไป จะให้ความรู้สึกกังวล เรื่อย ๆ เฉื่อยชา ขาดจุดหมาย
เส้นโค้งก้นหอย ให้ความรู้สึก หมุนเวียน เคลื่อนไหว คลี่คลาย เจริญเติบโต เป็นเส้นโค้งที่ขยายตัวออกไม่มีจุดจบ เมื่อมองจากภายในออกมา แต่ถ้ามองจากภายนอกเข้าไป จะให้ความรู้สึกที่ไม่สิ้นสุดของพลังเคลื่อนไหว
3. เส้นฟันปลา หรือเส้นซิกแซ็ก (Zigzag Line) เป็นเส้นคดที่หักเห โดย กระทันหัน เปลี่ยนทิศทาง รวดเร็วมาก ทำให้ประสาทกระตุก ให้ความรู้สึก รุนแรง ตื่นเต้น สับสน วุ่นวาย ไม่แน่นอน ให้จังหวะ กระแทก เกร็ง ทำให้ นึกถึงพลังไฟฟ้า ฟ้าผ่า กิจกรรมที่ขัดแย้ง ความรุนแรง ต่อสู้ การทำลาย และสงคราม
ทิศทางของเส้น เส้นทุกเส้นมีทิศทาง คือ ทางแนวนอน ทางแนวตั้ง หรือทางแนว เฉียง ในแต่ละทิศทางจะให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ดังนี้ 1. เส้นแนวนอน (Horizontal Line) เป็นเส้นเดินทางตาม แนวนอนกลมกลืนกับแรงดึงดูดของโลก ให้ความรู้สึกในทางราบ กว้าง พักผ่อน เงียบ เฉย สงบ นิ่ง เป็นสัญลักษณ์ของการพักผ่อน ผ่อนคลาย ที่ให้ความรู้สึก เช่นนี้มาจากท่าทางของคนนอนที่เป็นการพักผ่อน ไปจนถึง ความสงบที่เหมือนกับท่านอนของคนไม่มีชีวิต เส้นในแนวนอนให้ความรู้สึก เหมือนคนนอนพักผ่อน
2. เส้นแนวตั้ง (Vertical Line) เป็นเส้นที่มีลักษณะตรงกันข้าม กับเส้นนอน คือเป็น เส้นที่เดินทางในแนวดิ่ง ให้ความสมดุล มั่นคง แข็งแรง สูงสง่า พุ่งขึ้น จริงจัง และเงียบ ขรึม เป็นสัญลักษณ์ของ ความถูกต้อง ซื่อสัตย์ มีความสมบูรณ์ในตัว เป็นผู้ดี จริงจังเคร่งขรึม สง่า ทะเยอทะยาน และรุ่งเรือง ทั้งนี้มาจากท่าทางมนุษย์ เวลาตื่นตัวมีพลัง จะอยู่ในลักษณะยืนขึ้นมากกว่าการนอนราบ ความรู้สึกเส้นในแนวตั้ง หรือแนวดิ่ง ให้ ความรู้สึกมาจากท่าทางมนุษย์เวลาตื่นตัวมีพลังจะอยู่ในลักษณะยืน
3. เส้นแนวเฉียง (Diagonal Line) เป็นเส้นที่อยู่ระหว่างเส้นนอน กับเส้นตั้ง ให้ ความรู้สึกเคลื่อนไหว รวดเร็ว ไม่สมบูรณ์ ไม่มั่นคง ต้องการเส้นเฉียง อีกเส้นหนึ่งมา ช่วยให้มีความมั่นคง สมดุลขึ้น เส้นที่เฉียง และโค้ง ให้ความรู้สึกที่ขาดระเบียบ ตาม ยถากรรม ให้ความรู้สึกพุ่งเข้า หรือพุ่งออกจากที่ว่าง ในงานออกแบบทัศนศิลป์ เส้นเฉียง ให้ประโยชน์ในการลดความกระด้าง จากการใช้เส้นตั้ง และเส้น นอน ความรู้สึกเส้นในแนวเฉียง ให้ความรู้สึกมาจากท่าทางมนุษย์ เวลาเคลื่อนไหว รุด ไปข้างหน้า
ความหมายของสี สี หมายถึง แสงที่มากระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตาเรา ทำให้เห็นเป็นสีต่างๆ การที่เรามองเห็นวัตถุเป็นสีใดๆ ได้ เพราะวัตถุนั้นดูดแสงสีอื่น สะท้อนแต่สีของมันเอง เช่น วัตถุสีแดง เมื่อมีแสงส่องกระทบ ก็จะดูดทุกสี สะท้อนแต่สีแดง ทำให้เรามองเห็น เป็นสีแดง ที่มาของสี 1. สีที่มนุษย์ใช้อยู่ทั่วไป ได้มาจากสสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และนำมาใช้ โดยตรง หรือด้วยการสกัด ดัดแปลงบ้าง จากพืช สัตว์ ดิน แร่ธาตุต่าง ๆ 2. สสารที่ได้จากการสังเคราะห์ซึ่งผลิตขึ้นโดยกระบวนการทางเคมี เป็น สารเคมีที่ผลิตขึ้นเพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้ สะดวกมากขึ้น ซึ่งเป็นสีที่เราใช้อยู่ทั่วไป ในปัจจุบัน
3. แสง เป็นพลังงานชนิดเดียวที่ให้สี โดยอยู่ในรูปของรังสี (Ray) ที่มีความเข้มของแสงอยู่ในช่วงที่สายตามองเห็นได้ ความสำคัญของสี สี คือลักษณะของแสงที่ปรากฏแก่สายตาให้เห็นเป็นสีในทางวิทยาศาสตร์ ให้คำจำกัดความของสีว่า เป็นคลื่นแสงหรือความเข้มของแสง ที่สายตาสามารถมองเห็น ในทางศิลปะ สีคือ ทัศนธาตุอย่างหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของงานศิลปะ และใช้ในการสร้างงานศิลปะโดยจะทำให้ผลงานมีความสวยงาม ช่วยสร้างบรรยากาศมีความสมจริงเด่นชัด และน่าสนใจมากขึ้น
คุณลักษณะของสีมี 3 ประการ คือ 1. สีแท้ หรือความเป็นสี (Hue ) หมายถึง สีที่อยู่ในวงจรสีธรรมชาติ ทั้ง 12 สี สี ที่เรา เห็นอยู่ทุกวันนี้แบ่งเป็น 2 วรรณะ โดยแบ่งวงจรสีออกเป็น 2 ส่วน จากสีเหลือง วนไป ถึงสีม่วง คือ 1. สีร้อน (Warm Color) ให้ความรู้สึกรุนแรง ร้อน ตื่นเต้น ประกอบด้วย สีเหลือง สีเหลืองส้ม สีส้ม สีแดงส้ม สีแดง สีม่วงแดง สีม่วง 2. สีเย็น (Cool Color) ให้ความรู้สึกเย็น สงบ สบายตา ประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียวเหลือง สีเขียว สีน้ำเงินเขียว สีน้ำเงิน สีม่วงน้ำเงิน สีม่วง 2. ความจัดของสี (Intensity) หมายถึง ความสด หรือความบริสุทธิ์ของสีใดสีหนึ่ง สีที่ ถูกผสมด้วย สีดำจนหม่นลง ความจัด หรือความบริสุทธิ์จะลดลง ความจัดของสีจะ เรียงลำดับจากจัดที่สุด ไปจน หม่นที่สุด ได้หลายลำดับ ด้วยการค่อยๆ เพิ่มปริมาณของ สีดำที่ผสมเข้าไปทีละน้อยจนถึงลำดับที่ความจัดของสีมีน้อยที่สุด คือเกือบเป็นสีดำ
3. น้ำหนักของสี (Values) หมายถึง สีที่สดใส (Brightness) สีกลาง (Grayness) สีทึบ (Darkness) ของสีแต่ละสี สีทุกสีจะมีน้ำหนักในตัวเอง ถ้าเราผสมสีขาวเข้าไปในสีใดสีหนึ่ง สีนั้นจะสว่างขึ้น หรือมีน้ำหนักอ่อนลง ถ้าเพิ่มสีขาวเข้าไปทีละน้อยๆ ตามลำดับ เราจะได้น้ำหนักของสีที่ เรียงลำดับจากแก่สุดไปจนถึงอ่อนสุด น้ำหนักอ่อนแก่ของสีก็ได้ เกิดจาก การผสมด้วยสีขาว เทา และ ดำ น้ำหนักของสียังหมายถึงการเรียงลำดับ น้ำหนักของสีแท้ด้วยกันเอง โดยเปรียบเทียบน้ำหนักอ่อนแก่กับสีขาว – ดำ
ทฤษฎีสี แม่สีจิตวิทยา คือสีที่เราพบเห็นจะสามารถโน้มน้าวชวน ให้รู้สึกตื่นเต้นโศกเศร้า โดยมากมักใช้ในการรักษาคนไข้ได้ เช่นโรคประสาท หรือโรคทางจิต แม่สีจิตวิทยาสี 4 สีประกอบด้วย สีแดง สีเหลือง สีเขียว และสีน้ำเงิน แม่สีวิทยาศาสตร์ เป็นสีที่เกิดจากการสร้าง หรือประดิษฐ์ขึ้นจากกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ เช่น สีของหลอดไฟ สีที่ผ่านแท่งแก้วปริซึม ที่เกิดจากการสะท้อน และการหักเหของแสง แม่สีในกลุ่มนี้ประกอบด้วย สีแสด สีเขียวมรกต และสีม่วง แม่สีศิลปะ แม่สีศิลปะ หรือบางครั้งเรียกว่า แม่สีวัตถุธาตุ หมายถึงสีที่ใช้ในการวาดภาพ หรือสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะทั่วๆ ไปซึ่งเมื่อนำมาผสมกัน ในปริมาณต่างๆที่ต่าง อัตราส่วนกันจะเกิดสีสันต่างๆมากมายให้เราได้เลือก หรือนำมาใช้ในการสร้างสรรค์
แม่สี Primary Colors แม่สี Primary Colorsหรือแม่สีของแสง คือ สีที่นำมาผสมกันแล้ว ทำให้เกิดสีใหม่ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสีเดิม • วงจรสี • วงจรสี ประกอบด้วย • สีขั้นที่ 1 มี 3 สี คือ สีแดง, สีเหลือง, สีน้ำเงิน • สีขั้นที่ 2 มี 3 สี คือ สีส้ม, สีม่วง, สีเขียว • และสีขั้นที่ 3 มี 6 สี คือ สีส้มแดง, สีม่วงแดง, สีเขียวเหลือง, สีเขียวน้ำเงิน, สีม่วงน้ำ • เงิน และสีส้มเหลือง • รวมทั้งสิ้น 12 สี
วงจรสี 12 สี สีแดง (แม่สี) สีม่วงแดง สีส้มแดง สีม่วง สีส้ม สีส้มเหลือง สีม่วงน้ำเงิน สีน้ำเงิน(แม่สี) สีเหลือง(แม่สี) สีเขียวน้ำเงิน สีเขียวเหลือง สีเขียว
สีขั้นที่ 1 คือ แม่สี ได้แก่ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน • สีขั้นที่ 2 คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 หรือแม่สีผสมกันในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะทำให้เกิดสีใหม่ 3 สี ได้แก่ • สีแดง ผสมกับสีเหลือง ได้สีส้ม • สีแดง ผสมกับสีน้ำเงิน ได้สีม่วง • สีเหลือง ผสมกับสีน้ำเงิน ได้สีเขียว
สีขั้นที่ 3 คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 ผสมกับสีขั้นที่ 2 ในอัตราส่วนที่เท่ากัน • จะได้สีอื่น ๆอีก 6 สี คือสีแดง ผสมกับสีส้ม ได้สีส้มแดง, • สีแดง ผสมกับสีม่วง ได้สีม่วงแดง, สีเหลือง ผสมกับสีเขียว ได้สีเขียวเหลือง, สีน้ำเงิน ผสมกับสีเขียว ได้สีเขียวน้ำเงิน, สีน้ำเงิน ผสมกับสีม่วง • ได้สีม่วงน้ำเงิน, สีเหลือง ผสมกับสีส้ม ได้สีส้มเหลือง
วรรณะของสี • คือสีที่ให้ความรู้สึกร้อน และเย็นในวงจรสีจะมีสีร้อน 7 สี และสีเย็น 7 สี ซึ่ง • แบ่งที่สีม่วงกับสีเหลืองซึ่งเป็นได้ทั้งสองวรรณะ สีวรรณะร้อน (Warm tone) สีวรรณะเย็น (Cool tone)
สีตรงข้าม หรือสีตัดกัน หรือสีคู่ปฏิปักษ์ • เป็นสีที่มีค่าความเข้มของสี ตัดกันอย่างรุนแรง ในทางปฏิบัติ ไม่นิยม • นำมาใช้ร่วมกัน เพราะจะทำให้แต่ละสีไม่สดใสเท่าที่ควร การนำสีตรงข้ามกันมาใช้ • ร่วมกัน อาจกระทำได้ ดังนี้ มีพื้นที่ของสีหนึ่งมาก อีกสีหนึ่งน้อย ผสมสีอื่นๆ ลงไปสี • สีใดสีหนึ่ง หรือทั้งสองสี ผสมสีตรงข้ามลงไปในสีทั้งสองสี
สีกลาง คือ สีที่เข้าได้กับสีทุกสี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สี น้ำตาล กับสีเทา สีน้ำตาล เกิดจากสีตรงข้ามกันในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนที่ เท่ากัน สีน้ำตาลมีคุณสมบัติสำคัญ คือใช้ผสมกับสีอื่นแล้วจะทำให้สีนั้นๆ เข้มขึ้นโดยไม่เปลี่ยนแปลงค่าสี ถ้าผสมมาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็นสีน้ำตาล สีเทา เกิดจากสีทุกสี ๆ สีในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนเท่ากัน สีเทา มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ ใช้ผสมกับสีอื่น ๆ แล้วจะทำให้ มืดหม่น ใช้ในส่วนที่เป็นเงา ซึ่งมีน้ำหนักอ่อนแก่ในระดับต่าง ๆ ถ้าผสมมาก ๆ เข้าจะกลายเป็นสีเทา
รูปร่าง (Shape) รูปร่าง (Shape) คือ รูปแบน ๆ มี 2 มิติ มีความกว้าง กับความยาว ไม่มีความ หนาเกิดจากเส้นรอบนอกที่แสดงพื้นที่ขอบเขตของรูปต่าง ๆ เช่น รูปวงกลม รูป สามเหลี่ยม หรือ รูปอิสระ ที่แสดงเนื้อที่ของผิวที่เป็นระนาบมากกว่าแสดงปริมาตร หรือมวล รูปร่าง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. รูปร่างธรรมชาติ (Natural Shape) หมายถึง รูปร่างที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น คน สัตว์ และพืช เป็นต้น
2. รูปร่างเรขาคณิต (Geometrical Shape) หมายถึง รูปร่างที่มนุษย์สร้างขึ้น มีโครงสร้างแน่นอน เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม และรูปวงกลม เป็นต้น 3. รูปร่างอิสระ (Free Shape) หมายถึง รูปร่างที่เกิดขึ้นตามความต้องการ ของผู้สร้างสรรค์ ให้ความรู้สึกที่เป็นเสรี ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอนของตัวเอง เป็นไป ตามอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม เช่น รูปร่างของหยดน้ำ เมฆ และควัน เป็นต้น
ความหนาแน่น มีมวลสาร ที่เกิดจากการใช้ค่าน้ำหนัก หรือการจัดองค์ประกอบของรูปทรง หลายรูปรวมกัน รูปเรขาคณิต (Geometric Form) มีรูปที่แน่นอน มาตรฐานสามารถวัด หรือคำนวณได้ง่าย มีกฎเกณฑ์ เกิดจากการสร้างของมนุษย์ เช่น รูปสี่เหลี่ยม รูปวงกลม รูปวงรี นอกจากนี้ยังรวมถึงรูปทรง ของสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นอย่างมีแบบแผนแน่นอน เช่น รถยนต์ เครื่องจักรกล เครื่องบิน สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ผลิตโดยระบบอุตสาหกรรม ก็จัดเป็นรูปเรขาคณิต เช่นกัน รูปเรขาคณิตเป็นรูป ที่ให้ โครงสร้างพื้นฐานของรูปต่าง ๆดังนั้น การสร้างสรรค์รูปอื่น ๆ ควรศึกษารูปเรขาคณิตให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน รูปอินทรีย์ (Organic Form) เป็นรูปของสิ่งที่มีชีวิต หรือคล้าย กับสิ่งมีชีวิตที่สามารถเจริญเติบโต เคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนแปลงรูปได้ เช่น รูปของคน สัตว์ พืช
รูปอิสระ (Free Form) เป็นรูปที่ไม่ใช่แบบเรขาคณิต หรือแบบอินทรีย์ แต่เกิดขึ้นอย่างอิสระ ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน ซึ่งเป็นไปตามอิทธิพล และการกระทำจากสิ่งแวดล้อม เช่น รูปก้อนเมฆ ก้อนหิน หยดน้ำ ควัน ซึ่งให้ความรู้สึกที่เคลื่อนไหว มีพลัง รูปอิสระจะมีลักษณะ ขัดแย้งกับรูปเรขาคณิต แต่กลมกลืน กับรูปอินทรีย์ รูปอิสระอาจเกิดจากรูปเรขาคณิต หรือรูปอินทรีย์ ที่ถูกกระทำจนมีรูปลักษณะเปลี่ยนไปจากเดิม จนไม่เหลือสภาพ เช่น รถยนต์ที่ถูกชนจนยับเยินทั้งคัน เครื่องบินตก ตอไม้ที่ถูกเผาทำลาย หรือซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยผุพัง
รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างทั้งหมดของวัตถุที่ปรากฎแก่สายตาในลักษณะ 3 มิติ คือมีทั้งส่วนกว้าง ส่วนยาว ส่วนหนา หรือลึก คือจะให้ความรู้สึกเป็นแท่ง มีเนื้อที่ภายใน มีปริมาตร และมีน้ำหนัก ความหมายของพื้นผิวในทางทัศนศิลป์ พื้นผิว หรือ ผิวสัมผัส (Texture)พื้นผิว หมายถึงบริเวณผิวนอก ของสิ่ง ต่าง ๆ ที่ปรากฎให้เห็น รับรู้ได้ด้วยการ รับสัมผัสทางตา และกายสัมผัส ก่อให้เกิด ความรู้สึกใน ลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น หยาบ ละเอียด มันวาว ด้าน และขรุขระ พื้นผิว เป็นส่วนประกอบ (Element) ที่สำคัญของศิลปะอันหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้สร้างสรรค์ ทัศนศิลป์ เพราะพื้นผิวสามารถ
ก่อให้เกิดปฎิกิริยาทางด้านความรู้สึกรับรู้ได้ด้วยการรับสัมผัสทางตา และจับต้องได้ทางกาย สัมผัส หน้าที่ของนักออกแบบ และศิลปินก็คือ การนำเอาพื้นผิวในลักษณะต่าง ๆ มาใช้เพื่อสร้างสรรค์ ความงาม และประโยชน์ใช้สอย พื้นผิวมีความสำคัญมากสำหรับ การสร้างสรรค์ งานทัศนศิลป์ และการออกแบบ พื้นผิวจะถูก นำมาใช้ในลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น ในผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ศิลปินจะใช้พื้นผิว สร้างความงาม และค่าน้ำหนัก เพื่อให้ เกิดความประสานกลมกลืน ความ แตกต่าง และจุดเด่น เป็นต้น
การเกิดของพื้นผิว พื้นผิวที่สัมผัสได้ มีแหล่งกำเนิด 2 แหล่ง คือ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ได้แก่พื้นผิวของสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิต เช่น เปลือกไม้ ก้อนกรวด ก้อนหิน กิ่งไม้ ใบไม้ ผิวหนังสัตว์ 2. เกิดขึ้นโดยมนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ การขูด ขีด ระบาย ฯลฯ ให้เกิดเป็นร่องรอยพื้นผิว ในลักษณะต่าง ๆ ในงานจิตรกรรม การสร้างพื้นผิวหยาบ และละเอียด ในงานประติมากรรม และสถาปัตยกรรม
3. เกิดขึ้นโดยกระบวนการผลิตของเครื่องจักร การเกิดของพื้นผิวลักษณะนี้ ถือว่าเกิดขึ้นโดยมนุษย์เช่นเดียวกัน แต่ผ่านทางเครื่องจักร์ ไม่ใช่โดยน้ำมือ มนุษย์โดยตรง ซึ่งทำให้ได้ พื้นผิวที่หลากหลาย และพื้นผิวที่เกิดขึ้นนี้ มีทั้งล้อเลียนจากธรรมชาติ และพื้นผิวที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อประโยชน์ ทางใดทางหนึ่ง
ลักษณะของพื้นผิว พื้นผิว ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ หรือจากมนุษย์ และเครื่องจักร์ จะมี ลักษณะ ที่สัมผัสได้ ใน 2 ลักษณะ คือ 1. พื้นผิวจริง (Real Textures) หมายถึงพื้นผิวที่สามารถจับต้องได้ เช่น เปลือกของต้น ไม้ ใบไม้ ก้อนหิน ก้อนกรวด ผลไม้ ผิวหนังคน สัตว์ ฯลฯ พื้นผิวลักษณะนี้มนุษย์สามารถ สัมผัสได้ ทั้งทางจักษุสัมผัส และ กายสัมผัส (Tactile Textures ) และความรู้สึกที่สัมผัสได้ ก็มักจะตรงกัน ทั้งที่ตาเห็นและการสัมผัส พื้นผิวจริง จะมีคุณสมบัติของส่วนประกอบอื่น มาเกี่ยวข้องโดยตรงก็คือ น้ำหนัก และทิศทาง ของแสงและเงา เพราะสิ่งนี้ จะทำให้การ เกิดของพื้นผิว เด่นชัดขึ้น
2. พื้นผิวเทียม (Artificial Textures) หมายถึงพื้นผิวที่เลียนแบบพื้นผิวจริง และเป็นพื้นผิวที่ รับรู้ได้ทางจักษุสัมผัส(Visual Textures) โดยรู้สึกได้ โดย ประสบการณ์ที่เคย รับรู้จากพื้นผิวจริง เช่นมองเห็นว่า เรียบมัน หยาบ ขรุขระ ฯลฯ แต่เมื่อสัมผัสจากทางกาย อาจจะมีลักษณะคล้อยตามกับที่ตาเห็น หรือค้านกับที่ตาเห็นก็ได้
ขอกราบขอบคุณ ท่านปนัดดา พิริยชนานันท์ ผู้อำนวยการสถานศึกษา โรงเรียนนครนนท์วิทยา 3 วัดนครอินทร์ ที่ให้การสนับสนุนในการจัดทำสื่อการสอน ชุดนี้ และกราบขอบคุณหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องที่สนับสนุน และจัดกิจกรรมนี้ จัดทำโดย นายปิยะ ศรีละออ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ธุรการ โรงเรียนนครนนท์วิทยา 3 วัดนครอินทร์ สำนักการศึกษา เทศบาลนครนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี สื่อการสอนที่จัดทำขึ้นชุดนี้ เป็นการนำตัวอย่างรูปภาพมาใช้ เพื่อช่วยให้ นักเรียนเข้าใจ และเข้าสู่บทเรียนได้ง่ายขึ้น โดยใช้แนวทางจากคู่มือครูวิชาศิลปะ ป.3 ของ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)