1 / 22

การวิจัยเชิงปริมาณ ( Quantitative Research )

การวิจัยเชิงปริมาณ ( Quantitative Research ). ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นาวาอากาศโท ดร.สุมิตร สุวรรณ กล่าวว่า

teal
Download Presentation

การวิจัยเชิงปริมาณ ( Quantitative Research )

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นาวาอากาศโท ดร.สุมิตร สุวรรณ กล่าวว่า ลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ คือ การศึกษาความรู้ ความคิด พฤติกรรมของมนุษย์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นเหตุเป็นผล พิสูจน์และอ้างอิงได้ ซึ่ง นําไปใช้อธิบายหรือทํานายพฤติกรรมของคนในภาพกว้าง โดยให้ความสําคัญ แก่ข้อมูลที่แจงนับหรือวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ ใช้วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลอาจบอกว่าอะไรมากน้อยกว่ากัน อะไรสัมพันธ์ หรือไม่สัมพันธ์กับอะไร อะไรแตกต่างจากอะไร

  2. การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) • เป็นการแสวงหาความรู้เชิงประจักษ์ • มีทฤษฎีหรือกรอบแนวคิดเป็นแนวทางในการดำเนินงานอย่างชัดแจ้ง • มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรยายลักษณะ ทำนายความสัมพันธ์ หรืออธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล ของปรากฏการณ์ที่ทำการศึกษา • มีการกำหนดมิติของปรากฏการณ์ รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการศึกษาอย่างเป็นระบบ • อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การวัดผลและการวิเคราะห์เชิงสถิติเป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสู่ความแม่นยำของผลการวิจัย • เน้นการใช้ตัวเลขเป็นหลักฐานสนับสนุนข้อค้นพบและข้อสรุปต่างๆ • การแปลงคุณสมบัติของสิ่งที่ทำการศึกษาออกมาเป็นตัวเลขอย่างเป็นระบบ และเป็นปรนัย เพื่อนำไปคำนวณหาความแม่นยำในการตอบคำถามนั้น ทำให้ได้ความรู้ซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือ ปลอดจากอคติและค่านิยมของสังคม

  3. ลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ • การกำหนดหัวข้อปัญหา จะมีทฤษฎีหรือแนวคิดเป็นแนวทางในการดำเนินงานอย่างชัดเจน • การสร้างสมมติฐาน • การใช้เหตุผลเชิงอนุมานเพื่อนำไปสู่นัยเชิงปฏิบัติของสมมติฐานที่ตั้งไว้ • การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล • การยืนยันหรือการไม่ยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้

  4. เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลเครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล แบบสอบถาม (questionnaire) มีลักษณะของการตั้งคำถาม เป็นประเด็นๆ ที่ต้องการ ผู้วิจัยสามารถตั้งคำถามในลักษณะ (พรทิพย์ พิมล- สินธุ์, 2551) • ตั้งเป็นคำถามปลายเปิด(open-ended question) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ตอบแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ • ตั้งเป็นคำถามปลายปิด (close-ended question) แล้วกำหนดตัวเลือกให้ผู้ตอบเลือกตอบได้ โดยสรุป แบบสอบถามอาจประกอบด้วยคำถามทั้ง 2 ประเภท แต่คำถาม ปลายเปิดไม่ควรเกิน 20เปอร์เซ็นต์ ของคำถามทั้งหมด

  5. หลักเกณฑ์พิจารณาในการสร้างแบบสอบถาม (พรทิพย์ พิมลสินธุ์, 2551) • ผู้วิจัยจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะตั้งคำถาม กล่าวคือผู้วิจัยจะต้องมีการศึกษาค้นคว้า หรือสอบถามจากผู้รู้ในเรื่องที่จะสร้างคำถาม • ผู้วิจัยต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถาม โดยรู้ถึงภาษา ขนบธรรมเนียม และลักษณะเฉพาะของผู้ตอบแบบสอบถาม • พยายามหลีกเลี่ยงการตั้งคำถามนำ เช่น ระบบ Q.C.C. ซึ่งเป็นระบบการทำงานที่มีประโยชน์มาก เหมาะสมกับบริษัทของเราใช่หรือไม่ • อย่าตั้งคำถามสองคำถามไว้ในคำถามเดียวกัน เช่น สาเหตุของการปิดโรงงาน X เพราะบ.ต้องการเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และเพิ่มคุณภาพของผลผลิตใช่หรือไม่ • ตั้งคำถามให้กะทัดรัด ชัดเจน • ใช้ภาษาที่ผู้ตอบทั้งหลายจะเข้าใจตรงกัน

  6. หลักเกณฑ์พิจารณาในการสร้างแบบสอบถาม (พรทิพย์ พิมลสินธุ์, 2551) • ตั้งคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการจะศึกษาเท่านั้น เพราะถ้ามีคำถามมากจะทำให้เสียเวลา กำลังคน และงบประมาณ • หลีกเลี่ยงการตั้งคำถามซ้ำ ยกเว้นกรณีที่ต้องการตรวจสอบความเชื่อถือได้ (reliability) • จัดคำถามต่าง ๆ ให้เรียงกันอย่างสอดคล้องต่อเนื่อง โดยนำหลักตรรกวิทยาและจิตวิทยามาประกอบ • ต้องมีการทดสอบแบบสอบถาม (pretest) ก่อนนำไปใช้จริง

  7. เราสามารถนำแบบสอบถามไปแจกให้ผู้ตอบแบบสอบถามตอบ และรอเก็บมาทันที (self-administered questionnaire) หรืออาจส่งทางไปรษณีย์ให้ผู้ตอบแบบสอบถาม (mailed questionnaire) สำหรับการเก็บข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์นั้น อาจมีข้อเสีย คือ อาจมีผู้ตอบแบบสอบถามกลับมาน้อย ซึ่งอาจจะต้องใช้เทคนิคช่วย โดยการส่งจดหมายนำ เป็นจดหมายที่แนบไปกับแบบสอบถาม ชี้แจงให้ผู้ตอบแบบสอบถามเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัย ความสำคัญและบทบาทของผู้ตอบที่มีต่อการให้ข้อมูล และควรแสดงให้ผู้ตอบมีความมั่นใจว่าคำตอบของเขาจะเป็นความลับ หลังจากที่ผู้วิจัยได้ส่งแบบสอบถามให้ผู้ตอบเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว (เช่น 2อาทิตย์) ผู้วิจัยอาจส่งจดหมายตาม เพื่อเตือนผู้ตอบแบบสอบถาม

  8. เทคนิคในการได้รับแบบสอบถามกลับคืนมากที่สุดเทคนิคในการได้รับแบบสอบถามกลับคืนมากที่สุด • ให้ความสะดวกในการส่งแบบสอบถามกลับ เช่น มีซองติดแสตมป์และจ่าหน้ากลับมายังผู้วิจัย • แบบสอบถามที่มีสีเขียวและสีฟ้า จะมีคนตอบสูงกว่าแบบสอบถามสีขาว • แบบสอบถามที่มีความยาว 4หน้า จะมีคนตอบจำนวนสูงกว่าแบบสอบถามที่มีความยาว 6 หรือ 12 หน้า • แบบสอบถามที่ผู้ตอบไม่ต้องระบุชื่อ จะมีการตอบจำนวนสูงกว่าแบบสอบถามที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุชื่อ • การให้สิ่งของตอบแทนแก่ผู้ตอบ จะทำให้จำนวนผู้ตอบสูงกว่าแบบสอบถามที่ไม่ให้สิ่งของตอบแทนแก่ผู้ตอบ

  9. หลักการสร้างแบบสอบถามแบบ Likert Scale (พรทิพย์ พิมลสินธุ์, 2551) ในการวิจัยเพื่อการประชาสัมพันธ์ การวัดทัศนคติจะใช้มาก แต่ปกติแล้วทัศนคติของคนเรานั้นจะวัดยาก แต่นักจิตวิทยาชื่อ เรนนิสไลเคิร์ท (RensisLikert) ถือว่า ทัศนคติของคนนั้น จะสามารถจำแนกความแตกต่างได้เป็นทัศนคติทางบวก (+) และลบ (-) เช่น ชอบ ไม่ชอบ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย เป็นต้น จากหลักนี้ ยังสามารถจำแนกย่อยให้มากขึ้นได้ เช่น ชอบมาก ชอบน้อย สวยมาก สวยธรรมดา เป็นต้น และที่สำคัญในการวัดทัศนคติก็เป็นไปได้ว่า คนผู้นั้นอาจไม่ต้องการแสดงทัศนคติหรือมีทัศนคติเป็นกลางๆ หรือ เฉยๆ ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ดังนั้น การวัดทัศนคติก็ควรที่จะต้องให้มีคำตอบ กลางๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อการจารกรรมทางธุรกิจ ( ) เห็นด้วยอย่างยิ่ง ( ) เห็นด้วย ( ) เฉยๆ ( ) ไม่เห็นด้วย ( ) ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง 5 4 3 2 1 สำหรับตัวเลขที่เขียนคือการแทนค่าของคำตอบนั้นๆ ในการนำไปวิเคราะห์

  10. หลักการสร้างแบบสอบถามแบบ Semantic Differential Scales Charles E Osgood เป็นผู้คิดค้นวิธีนี้ซึ่งใช้หลักทำนองเดียวกับ Likert Scales แต่เป็นการที่ให้คำตอบที่บรรยายความรู้สึก โดยใช้คำคุณศัพท์หรือข้อความที่ตรงข้ามกันเพียง 2 คำ (Bipolar Adjectives) เช่น รักและเกลียด ดีและเลว เป็นต้น และแบ่งระดับคำตอบเป็น 7 ช่วง หรือ 7 ระดับ พึงปรารถนา[__l__l__l__l__l__l__]ไม่พึงปรารถนา 7 6 5 4 3 2 1 สำหรับวิธีนี้ ผู้ที่จะตอบได้จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอยู่ในระดับหนึ่งเพียงพอที่จะแยกแยะความรู้สึกของตนให้ตรงกับความแตกต่างของคำตอบที่ให้ไว้ การวัดวิธีนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายมากในการวัดเกี่ยวกับภาพลักษณ์องค์กร

  11. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ หมายถึงการใช้วิธีการทางสถิติบรรยายและสถิติอ้างอิงเพื่อตอบประเด็นปัญหา การวิจัย หรือทดสอบสมมุติฐานการวิจัยให้ครบทุกข้อ สถิติบรรยายที่ใช้กันมาก ในการวิจัยได้แก่ ร้อยละ การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง การวัดการกระจาย และการวัดความสัมพันธ์ส่วนสถิติอ้างอิงจะมี 2 ประเภท ได้แก่ สถิติประมาณค่า และสถิติทดสอบสมมุติฐาน

  12. สถิติบรรยาย (Descriptive Statistics) ที่ใช้กันมากในการทำวิจัย คือ 1. ร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ 2. การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง 3. การวัดการกระจาย ร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ คือ อัตราส่วนระหว่างจํานวนที่สังเกตต่อจํานวนทั้งหมดคูณด้วยร้อยเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ ร้อยละ = n/N ×100 เมื่อ n คือ จํานวนที่สังเกตได้ N คือ จํานวนทั้งหมด ถ้าไม่คูณด้วย 100 ค่าที่หารกันได้ n/Nเราเรียกว่าสัดส่วน (P) ซึ่งค่านี้เราจะนําไปใช้ในการทดสอบสมมุติฐานของสัดส่วนต่อไป

  13. ตัวอย่าง จากการสอบถามการนับถือศาสนาของกลุ่มตัวอย่างจํานวนหนึ่งปรากฏ ว่ากลุ่มตัวอย่างตอบนับถือศาสนาพุทธ 210 คน อิสลาม 80 คน และคริสต์ 60 คน จงหาร้อยละของแต่ละศาสนา วิธีทําจํานวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด = 210 + 80 + 60 = 350 นับถือศาสนาพุทธร้อยละ = 210/350 x 100 = 60 นับถือศาสนาอิสลาม = 80/350 x 100 = 22.86 นับถือศาสนาคริสต์ = 60/350 x 100 = 17.14

  14. การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นการหาค่าสถิติที่เป็นตัวแทนของข้อมูลทั้งหมด ค่าสถิติที่นิยมกันได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) มัธยฐาน (Median) และฐานนิยม (Mode) แต่ละค่ามีรายละเอียดดังนี้ ค่าเฉลี่ย (Mean) หมายถึง ค่าที่ได้จากการนําข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน หาร ด้วยจํานวนข้อมูลทั้งหมด ใช้สัญลักษณ์ X มัธยฐาน (Median) หมายถึง ค่าของข้อมูลที่อยู่ตรงกลางข้อมูลทั้งหมด เมื่อ จัดเรียงข้อมูลจากน้อยไปมากหรือจากมากมาน้อย เช่น 1 2 3 4 4 7 8 ค่ามัธยฐาน คือ 4 ฐานนิยม (Mode) หมายถึง ค่าของข้อมูลที่เกิดขึ้นซ้ำกันมากที่สุด จากตัวอย่างข้างต้น ฐานนิยม คือ 4

  15. สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics) มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าสถิติเชิงอนุมาน หมายถึง สถิติที่ว่าด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวอย่าง แล้วนำผลที่ได้ไปอ้างอิง (infer) หรือขยายอิง (generalized) ไปยังประชากรโดยใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น การประมาณค่าพารามิเตอร์ การทดสอบสมมุติฐาน การประมาณค่าพารามิเตอร์ คือการนำค่าสถิติที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างไปประมาณหรือคาดคะเนค่าพารามิเตอร์ของประชากร เช่น หากนำรายได้ที่ได้รับจากผู้ปกครองเฉลี่ยต่อเดือนของนศ.สวนนันจำนวน 400 คน มาประมาณรายได้ที่ได้รับจากผู้ปกครองเฉลี่ยต่อเดือนของนศ.สวนนันทั้งหมดได้เป็น ระหว่าง 2,000 – 25,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น การทดสอบสมมติฐาน คือการนำค่าสถิติที่ได้จากกลุ่มตัวอย่าง ไปทดสอบสมมติฐานทางสถิติเกี่ยวกับค่าพารามิเตอร์ของประชากร ดังนั้น ผลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างจึงสามารถนำไปอ้างอิงเป็นผลของประชากรได้

  16. การใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ข้อมูล • การทดสอบสมมติฐานค่าเฉลี่ย คือการทดสอบสมมติฐานโดยที่ตัวแปรอิสระเป็นตัวแปรเชิงคุณภาพที่อยู่ในระดับนามบัญญัติ (Nominal Scale) หรือระดับจัดอันดับ (Ordinal Scale) ซึ่งเป็นตัวแปรแบบแบ่งกลุ่ม ส่วนตัวแปรตามเป็นตัวแปรเชิงปริมาณที่อยู่ในระดับอันตรภาค (Interval Scale) หรือระดับอัตราส่วน (Ratio Scale) โดยใช้ทดสอบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างค่าเฉลี่ย (Mean) ซึ่งเป็นค่าของตัวแปรตาม สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานค่าเฉลี่ยมี 4ประเภทด้วยกัน ได้แก่ 1. การทดสอบค่าเฉลี่ยของประชากร 1กลุ่ม (One-Sample T Test) 2. การทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยของประชากร 2กลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน (Independent-Sample T Test) 3. การทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent-Sample T Test หรือ Paired-Samples T Test) 4. การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way Analysis of Variance)

  17. การทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน (Independent-Sample T Test) คือ การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างประชากร 2 กลุ่ม ที่เป็นอิสระต่อกัน ว่ามีค่าเฉลี่ยของ 2 กลุ่มนั้นแตกต่างกันหรือไม่ โดยที่ตัวแปรอิสระเป็นตัวแปรที่มีระดับมาตรวัดเป็นนามบัญญัติ (Nominal Scale) ที่มีเพียง 2 กลุ่มเท่านั้น และตัวแปรตามเป็นตัวแปรที่มีระดับมาตรวัดเป็นแบบอันตรภาค (Interval Scale) หรือแบบอัตราส่วน (Ratio Scale) และข้อมูลต้องมาจากประชากรที่มีการแจกแจงแบบปกติ

  18. ตัวอย่าง หากต้องการทดสอบสมมติฐาน “เพศที่แตกต่างกันของนักศึกษามรภ.สวนสุนันทา มีความพึงพอใจต่อสื่องาน 75 ปีสวนสุนันทาแตกต่างกัน” สมมติฐานทางสถิติ Ho: µ1= µ2 H1: µ1≠ µ2 µ1 แทนค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจต่อสื่อฯ ของเพศชาย µ2แทนค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจต่อสื่อฯ ของเพศหญิง เพศ (2 กลุ่ม คือ ชายและหญิง) ความพึงพอใจต่อสื่องาน 75 ปีสวนสุนันทา ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม

  19. ระดับการวัดกับการวิเคราะห์ข้อมูลระดับการวัดกับการวิเคราะห์ข้อมูล ระดับการวัดของตัวแปร เป็นการจัดเรียงลำดับของตัวแปร โดยสามารถแบ่งระดับในการวัดได้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ • มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale) ลักษณะเด่นของมาตรานี้คือ เป็นตัวแปรที่ถูกจัดเป็นกลุ่มๆโดยที่ตัวแปรนี้ไม่สามารถจัดลำดับก่อนหลัง หรือบอกระยะห่างได้ เช่น เพศ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือเพศชาย และเพศหญิง • มาตราจัดลำดับ (Ordinal Scale)ลักษณะของมาตรานี้ จะมีลักษณะคล้ายกับมาตรานามบัญญัติ คือสามารถจัดเป็นกลุ่มๆ ได้ และไม่สามารถบอกระยะห่างระหว่างกลุ่มได้เช่นเดียวกับมาตรานามบัญญัติ แต่มาตราจัดลำดับสามารถจัดลำดับก่อนหลังของตัวแปรได้ เช่น วุฒิการศึกษา อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ ต่ำกว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี และสามารถจัดลำดับก่อนหลังได้ว่าผู้ที่จะเรียนในระดับปริญญาตรีได้ต้องผ่านการศึกษาในระดับมัธยมมาก่อน หรือผลการประกวดนางงามที่ผลออกมาเป็น อันดับ 1, 2, 3, …ฯลฯ

  20. ระดับการวัดกับการวิเคราะห์ข้อมูล (ต่อ) 3. มาตราอันตรภาคชั้น (Interval Scale)คุณลักษณะของมาตรานี้สามารถแบ่งตัวแปรออกเป็นกลุ่มๆ ได้ จัดลำดับก่อนหลังของตัวแปรได้ อีกทั้งมีระยะห่างของช่วงการวัดที่เท่ากัน และที่สำคัญที่สุดของมาตรานี้คือ มาตรานี้เป็นมาตรการวัดที่ไม่มีศูนย์แท้ (Absolute Zero)นั่นหมายความว่า ศูนย์ของมาตรานี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มี แต่เป็นศูนย์ที่เกิดจากการสมมติขึ้น เช่น ผลคะแนนสอบวิชากฎหมายของนาย ก พบว่าได้คะแนนเท่ากับ 0 (ศูนย์) นั่นไม่ได้หมายความว่านาย ก ไม่มีความรู้ในเรื่องกฎหมาย เพียงแต่การสอบในครั้งนั้นวัดได้ไม่ตรงกับสิ่งที่นาย ก รู้ 4. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale)มาตรานี้ เป็นมาตราที่มีลักษณะเหมือนกับมาตราอัตราส่วนทุกประการ แต่สิ่งที่แตกต่างกันในมาตรานี้คือ มาตรานี้เป็นมาตราที่มี ศูนย์แท้ (Absolute Zero)นั่นหมายความว่า ผลที่ได้จากการวัดในมาตรานี้หากเท่ากับศูนย์แสดงว่าไม่มีอย่างแท้จริง เช่น ตัวแปรน้ำหนัก หรือส่วนสูง 0 (ศูนย์) ของตัวแปรทั้งสองตัวนี้หมายถึงไม่มีน้ำหนักและไม่มีความสูงเลย

  21. ที่มา: สุดาวดี ลิ้มไพบูลย์ www.gotoknow.org/posts/120092

  22. ศัพท์ต่างๆ ที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ที่ควรเข้าใจ • ระดับนัยสำคัญทางสถิติ (Level of significant) หมายถึงความน่าจะเป็นที่เรา ยอมให้เกิดการสรุปผิดพลาดจากข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่มีอยู่ โดยสรุปว่าสมมุติฐาน Null hypothesis (ΗΟ)ไม่ถูกต้องทั้งๆที่จริงแล้วสมมติฐาน Null hypothesis (ΗΟ)นั้นถูกต้อง ซึ่งในทางการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ ผู้วิจัยนิยมกําหนด ระดับนัยสําคัญทางสถิติ (α) เท่ากับ .01 หรือ 1% และ .05 หรือ 5% ซึ่งก็หมายถึงถ้ามี การทดสอบสมมติฐาน 100 ครั้ง โอกาสที่จะสรุปผิดพลาดในลักษณะที่เราปฏิเสธ ΗΟ ทั้งๆ ที่ ΗΟเป็นจริงไม่เกิน 1 ครั้ง หรือ 5 ครั้งตามลําดับ

More Related