1 / 69

บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

บทที่ 6 การเงินการธนาคาร. การเงินการธนาคาร. ในสังคมที่ไม่มีการใช้เงินเป็นสื่อกลาง การแลกเปลี่ยนทำโดย วิธีการแลกของต่อของ ( barter exchange ) ซึ่งเป็น การแลกเปลี่ยนโดยตรง ( direct exchange )

tara-kelley
Download Presentation

บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 6การเงินการธนาคาร มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  2. การเงินการธนาคาร • ในสังคมที่ไม่มีการใช้เงินเป็นสื่อกลาง การแลกเปลี่ยนทำโดย วิธีการแลกของต่อของ (barter exchange)ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนโดยตรง (direct exchange) • เมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้นสมาชิกในสังคมมีความต้องการสินค้าและบริการมากขึ้น การแลกเปลี่ยนโดยตรงจึงไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้การแลกเปลี่ยนทางอ้อม (indirect exchange)โดยใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  3. ความหมายของเงิน (Money) • เงินคือ สิ่งใดๆ สังคมยอมรับโดยทั่วไปในขณะใดขณะหนึ่ง และในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ในฐานะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ • เงิน คือ สิ่งที่ยอมรับกันทั่วไป ว่าสามารถใช้เป็นสิทธิเรียกร้องเหนือสินค้าและบริการต่างๆ ได้ทุกขณะ มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  4. วิวัฒนาการของเงิน • เงินวัตถุหรือเงินที่เป็นสิ่งของ (commodity money)คือ เป็นไปตามลักษณะของวัตถุที่ใช้ทำ ยังไม่มีมูลค่าเชิงเงินตรา แต่ประมาณค่าเท่าๆ กับมูลค่าของวัตถุในตัวของมัน • เป็นเงินที่นำมาใช้เป็นอันดับแรกสุด • สังคมแต่ละแห่งเลือกสินค้าต่างกันเป็นเงิน และเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่สิ่งที่จะใช้เป็นเงินนั้นต้องมีค่าโดยตัวมันเองและเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมเวลานั้น • แต่เนื่องจากสิ่งดังกล่าวขาดคุณสมบัติที่ดีของเงินหลายประการเช่น ขาดความคงทนถาวร แบ่งแยกเป็นหน่วยย่อยได้ยาก ไม่สามารถนำติดตัวไปที่ต่างๆได้สะดวก มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  5. เวลาต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น เงินโลหะ • ระยะแรกโลหะเป็นโลหะที่มีค่าได้แก่ เงินและทองคำ การชำระใช้วิธีการชั่งน้ำหนักให้มีจำนวนเท่ากับที่ต้องชำระ ต่อมานำโลหะมาหลอมเป็นเหรียญ (Coins) ซึ่งมีค่าแน่นอน ขนาดเล็ก น้ำหนักสม่ำเสมอ • เงินเหรียญในระยะต้นเป็น เงินที่มีค่าเต็มตัว (full bodied money) คือ ค่าที่เป็นเงินเท่ากับค่าของโลหะที่ใช้ทำเหรียญนั้น • เงินเหรียญได้วิวัฒนาการต่อมาเป็น เงินที่มีค่าไม่เต็มตัว (token money) คือ ค่าที่เป็นเงินสูงกว่าค่าของโลหะที่ใช้ทำเหรียญนั้น • เงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นเงินที่มีค่าไม่เต็มตัวทั้งสิ้น มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  6. วิวัฒนาการขั้นต่อมาได้แก่ ใบรับฝาก (Certificates) • ในสมัยโบราณการเก็บรักษาโลหะมีค่าและเงินเหรียญไว้กับตัวเป็นจำนวนมาก จะไม่ปลอดภัย จึงนำไปฝากกับช่างทอง ช่างทองจะออกใบรับฝากโลหะให้เจ้าของถือไว้ • ใบรับฝากนี้ ผู้ที่ถือใบรับฝากสามารถนำมาแลกคืนโลหะในจำนวนที่แน่นอนที่ฝากไว้ (สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้โดยการเซ็นชื่อสลักหลังใบรับ) • ข้อดี คือ พกสะดวก ง่ายในการเก็บรักษา มูลค่าไม่เสื่อม มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  7. ปัญหา: มาขอแลกคืนเป็นโลหะและเหรียญโลหะ ช่างทองจึงต้องผลิตเหรียญให้และคิดค่าทำเหรียญด้วย จึงจ่ายคืนไม่เต็มจำนวนเงินที่ฝากไว้ • ช่างทองได้กำไร + ส่วนที่หักไว้ นำไปให้กู้ยืมได้ดอกเบี้ยด้วย (พัฒนาเป็นกิจการธนาคารต่อมา) มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  8. ต่อมาพัฒนาเป็น เงินหมุนเวียนกระดาษ (Paper Currency) • เพราะ ความต้องการเปลี่ยนใบรับฝากเป็นโลหะลดลง + โลหะเริ่มหายาก • จึงกำหนดค่าไว้ในกระดาษที่เป็นใบรับฝาก ต่อมาเรียกว่า “ธนบัตร” (Notes) แทน และยังคงแลกกับทองคำอยู่ • กำหนดให้แลกเฉพาะเมื่อมีการตกลงชำระหนี้ระหว่างประเทศ • ต่อมาพัฒนาเป็น “เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย” • โดยมีมูลค่าไม่เต็มตัว ไม่สามารถนำไปแลกโลหะที่มีค่าคืนได้ (fiat money) มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  9. ต่อมาวิวัฒนาการ คือ เงินฝากกระแสรายวัน (demand deposit) ในธนาคารพาณิชย์ เป็นเงินที่จ่ายโอนกันโดยเช็ค แต่ไม่ใช่เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะเจ้าหนี้สามารถปฏิเสธการรับชำระหนี้ด้วยเช็ค • เงินในรูปต่อมาซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายในปัจจุบัน คือ เงินเครดิต • ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่ามีความน่าเชื่อถืออย่างมั่นคง และสมบูรณ์แบบในการแลกเปลี่ยน มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  10. การแลกเปลี่ยนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์การแลกเปลี่ยนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ การแลกเปลี่ยนผลผลิตระหว่างกัน เช่น นำขวานหินไปแลกข้าวหรือเนื้อสัตว์ สิ่งมีค่าที่เป็นที่ต้องการทั้งสองฝ่ายเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ได้แก่ เปลือกหอย เมล็ดพืช ปศุสัตว์ ลูกปัด ขวานทองแดง หัวธนู นำโลหะทองแดง โลหะเงิน โลหะทอง ซึ่งหายาก มีความคงทน ตัดแบ่งได้ง่ายมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เมื่อมีการรวมดินแดนต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นประเทศในสมัยโบราณ ผู้มีอำนาจในการปกครองได้ใช้ตราเครื่องหมายของตนประทับลงบนเม็ดเงินที่ใช้ชำระหนี้ โลหะเงินประทับตราจึงเกิดเป็น เงินตรา ขึ้น มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  11. เบี้ยหอยเบี้ยที่ใช้เป็นเงินปลีกได้แก่ เบี้ยจั่นและเบี้ยนาง ส่วนใหญ่เป็นเบี้ยที่มาจากหมู่เกาะมัลดีฟในมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ เบี้ยที่พบส่วนใหญ่ฝนหลังเบี้ยออกเพื่อประโยชน์ในการใช้เชือกร้อยเป็นพวง มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  12. เงินเจียงหรือเงินขาคีมมีรูปคล้ายเกือกม้าสองวงปลายต่อกันคอดกลาง ทำให้หักออกและทอนค่าลงได้ มีการตีตราประทับด้านละ 3 ดวง บอกน้ำหนักของเงินชื่อเมืองที่ทำขึ้น และตราจักรตามลำดับ มีมากกว่า 60 เมือง เช่น แสน (เชียงแสน) หม (เชียงใหม่) บางอันมีตราเล็กๆ อีก 1 ดวงประทับอยู่ตรงปลายขา เงินเจียงมีขนาดมาตรฐานหนัก 4 บาท ตามมาตรฐานของชาวไทย และมีขนาดอื่นบ้าง ได้แก่ 2 บาทครึ่ง 1 บาท กึ่งบาท และเฟื้องหนึ่ง มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  13. เงินกำไลเงินกำไลนั้นมีลักษณะและน้ำหนักเหมือนเงินเจียงแต่ขนาดใหญ่กว่า เข้าใจว่าพ่อค้าผลิตขึ้นเพื่อใช้ชำระหนี้ในการค้าขาย โดยตอกตรารับรองน้ำหนักและความบริสุทธิ์ของเนื้อเงินไว้ มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  14. เงินใบไม้หรือเงินเส้นทำด้วยทองสำริด มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 28-35 มิลลิเมตร ลักษณะกลมตันแบนเป็นก้นกระทะผิวเรียบ ด้านหน้านูน ส่วนมากมีเส้นเหมือนลายใบไม้ มีมูลค่าต่ำกว่าเงินท้อกชนิดอื่น ทำด้วยทองสำริด มีลายเส้นคล้ายใบไม้ด้านหนึ่ง จัดว่าเป็นเงินท้อกที่มีมูลค่าต่ำที่สุด มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  15. เงินปากหมู คล้ายเงินหอยโข่ง ทำด้วยโลหะเงินเช่นกัน ด้านล่างมีช่องกลวงลึกเข้าไป ช่องนี้มีลักษณะคล้ายช่องบริเวณปากหมู จึงเรียกกันว่า “เงินปากหมู” มีหลายขนาดและน้ำหนัก มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  16. เงินไซซี, เงินจีนเงินแท่งที่พ่อค้าจีนนำเข้ามาเพื่อซื้อสินค้าตามชายแดน เรียกกันว่า เงินไซซี หรือ เงินมุ่น แปลว่าละเอียด มีลักษณะ ขนาด และน้ำหนักต่างๆ กัน เช่น เงินกระทง เงินอานม้า และเงินขนมครกเป็นต้น ด้านบนมักจะตอกตราเป็นภาษาจีนบอกชื่อผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต หรือบอกวัตถุประสงค์ของเงินนั้นที่นำมาใช้ชำระแก่ทางการ เช่น ภาษีเกลือ เป็นต้น ด้านล่างมักจะมีรูพรุน มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  17. เงินพดด้วงอาณาจักรไทยทางใต้ของดินแดนล้านนาได้แก่ กรุงสุโขทัย ซึ่งต่อมาคือ กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ มีการค้าขายกับอาณาจักรล้านนาโดยตลอด จึงมีเงินพดด้วงเข้ามาในดินแดนล้านนาเช่นกัน เงินพดด้วง มีลักษณะขดกลมคล้ายตัวด้วง ปลายงอเข้าหากัน มีตราที่ประทับ 2 ดวงขึ้นไป ในสมัยกรุงสุโขทัยใช้ตราช้าง ตรากระต่าย ตราหอยสังข์ ตราราชสีห์ ตราราชวัชร์ และตราดอกไม้ เป็นต้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ประทับตราราชวัชร์ พระซ่อม ครุฑ กับตราจักร เป็นต้น ในขณะที่ประทับตราจักรกับตรีหรือวัชระในสมัยกรุงธนบุรี และประทับตราอุณาโลม ครุฑ ปราสาท มงกุฎ กับจักรในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงรัชกาลที่ 4 มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  18. เหรียญกษาปณ์เงินสมัยรัชกาลที่ 5พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนรูปแบบ และวิธีผลิตเงินบาทด้วยมือมาเป็นเครื่องจักร เงินบาทพดด้วงจึงเปลี่ยนเป็นเหรียญกลมแบนตั้งแต่ พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา แต่ก็เข้ามายังดินแดนล้านนาน้อยมากในรัชกาลที่ 5 เนื่องจากการขนส่ง ไม่สะดวกและผลิตได้ในปริมาณน้อย จนเมื่อการสร้างทางรถไฟเชื่อมโยงหัวเมืองทางเหนือกับภาคกลางได้แล้วใน พ.ศ. 2464 เหรียญบาทจึงได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  19. หน้าที่ของเงิน • เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน • ตอบสนองความต้องการได้อย่างเสรี ไม่ต้องรอให้มีความต้องการตรงกัน ประชาชนผลิตจนชำนาญ ผลผลิตมากขึ้น นำมาแลกเปลี่ยนกัน • เก็บรักษามูลค่า • ช่วงเวลาซื้อ-ขาย เกิดขึ้นต่างเวลากัน (ขายวันนี้ – ซื้อวันหลัง) • วัดมูลค่าแทนสิ่งของ • เทียบค่าสิ่งของมาเป็นหน่วยของเงิน • เป็นมาตรฐานการชำระหนี้ในอนาคต • มีปัญหาการชำระคืนด้วยสิ่งของเดียวกัน มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  20. คุณสมบัติของเงินที่ดีคุณสมบัติของเงินที่ดี • มีค่าในตัวเองเป็นที่ต้องการของประชาชน นำไปชำระสินค้าได้ (ถ้าปริมาณเงินมีน้อย ค่าจะสูงขึ้น) • เป็นสิ่งที่ยอมรับโดยทั่วไป • เป็นของหายาก (สมัยก่อนเน้นของหายาก ปัจจุบันเน้นสิ่งที่ปลอมแปลงยาก) • เป็นสิ่งที่คงทนถาวร ไม่เสื่อมสภาพเร็ว • มีความเหมือนกัน ราคาเดียวกันควรมีรูปแบบเดียวกัน • แบ่งออกเป็นหน่วยย่อยได้ง่าย • พกพาสะดวก เบา กะทัดรัด • สังเกตง่าย ว่าเป็นชนิด ขนาด ราคาเท่าใด มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  21. ทฤษฎีการเงิน (Monetary Theory) • เป็นทฤษฎีที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงิน (M) กับ ราคาสินค้าและบริการ (P) • ความสัมพันธ์ระหว่าง M กับ P • ทฤษฎีการเงิน แบ่งเป็น 3 ทฤษฎี • ยุคคลาสสิค • ยุคนีโอคลาสสิค • เคนส์ มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  22. ทฤษฎีปริมาณเงินยุคคลาสสิคทฤษฎีปริมาณเงินยุคคลาสสิค • เริ่ม ค.ศ. 1568 โดย Jean Bodin and Richard Catillon (หากผู้ผลิตโลหะ ผลิตมากกว่าความต้องการ ความต้องการบริโภคสินค้าจะเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาสินค้าสูงขึ้น) • เดวิด ฮูม พัฒนาแนวคิดนี้ จนเป็น “กลไกการไหลของเงิน” • จอห์น สจ๊วต มิลล์ สรุปว่า ค่าของเงิน คือ อำนาจซื้อของสิ่งของขึ้นกับมูลค่าในรูปของเงิน (จำนวนเงินที่สิ่งของสามารถแลกได้) มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  23. สมมติให้ K คงที่ เมื่อ M P M P ทฤษฎีปริมาณเงินยุคคลาสสิค • สมการปริมาณเงิน M = KP • M = ปริมาณเงินที่หมุนเวียนทั้งหมด • P = ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไป • K = ค่าคงที่ (จำนวนสินค้าและบริการ) • M และ P เปลี่ยนแปลงในสัดส่วนเดียวกันเสมอ • อำนาจซื้อหรือมูลค่าของเงิน ขึ้นอยู่กับปริมาณเงินโดยตรง มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  24. สมมติให้ K คงที่ เมื่อ M P M P ทฤษฎีปริมาณเงินยุคคลาสสิค • ตัวอย่าง M = KP P = M / K • M = ปริมาณเงินที่หมุนเวียนทั้งหมด = 300 • P = ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไป = 3 • K = จำนวนสินค้าและบริการ = 100 • ถ้าปริมาณเงินเพิ่มขึ้น เป็น 1,000 บาท ราคาเฉลี่ยจะเป็นเท่าใด? • ถ้าปริมาณเงินลดลง 50 % ราคาเฉลี่ยจะลดลงกี่ % มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  25. 2) ทฤษฎีปริมาณเงินยุคนีโอคลาสสิค • แบ่งเป็น • ทฤษฎีปริมาณเงินในรูปของการแลกเปลี่ยน • ทฤษฎีปริมาณเงินในแง่ของการถือเงิน มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  26. ทฤษฎีปริมาณเงิน : สมการการแลกเปลี่ยน • ในปี ค.ศ. 1920 ฟิชเชอร์นำเอาทฤษฎีการเงินแบบดั้งเดิมมาพัฒนา • “รายจ่ายต้องเท่ากับรายรับ” • โดยนำเอาอัตราการหมุนเวียนของเงิน (Velocity of Money : V) กับปริมาณสินค้าและบริการในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งมาปรับปรุงเป็นสมการใหม่ • MV = PT • M = ปริมาณเงิน • V = ความเร็วในการหมุนเวียนของเงิน • P = ระดับราคาสินค้าโดยเฉลี่ย • T = จำนวนครั้งหรือปริมาณการแลกเปลี่ยนในระยะเวลาหนึ่ง มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  27. 100 บาท ทฤษฎีการเงิน : สมการการแลกเปลี่ยน (ต่อ) • ความเร็วในการหมุนเวียนของเงิน (Velocity of Money : V) คือ การหมุนเวียนเปลี่ยนมือของเงินจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งของเงินจำนวนหนึ่ง 100 บาท 100 บาท 100 บาท 100 บาท 100 บาท มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  28. ทฤษฎีปริมาณเงินในแง่การถือเงินทฤษฎีปริมาณเงินในแง่การถือเงิน • โดย อัลเฟรด มาแชล และ พิกู มีแนวคิดให้ความสำคัญกับความต้องการถือเงิน • “ความต้องการถือเงินของแต่ละคน ย่อมเป็นสัดส่วนหนึ่งของรายได้เสมอ” • ความต้องการถือเงินปรับตัวตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น • Md = ความต้องการถือเงิน (Demand for money) • K= อัตราส่วนความต้องการถือเงินที่ขึ้นอยู่กับรายได้ • Y = รายได้ส่วนบุคคล หรือรายได้ประชาชาติ • P = ระดับราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย Md Md = KPY หรือ P = KY มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  29. ทฤษฎีปริมาณเงินในแง่การถือเงิน (ต่อ) • ภาวะดุลยภาพทางการเงิน เกิดขึ้นเมื่อ Md = M เมื่อ Md = Demand for money M = Money Supply • แทนค่า จะได้ว่า M = KPY มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  30. ตัวอย่าง 1) • กำหนดให้ K = 1/5 , Y = 100 ล้านหน่วย , ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย (P) = 2 บาท • จงหาปริมาณเงิน (M) ณ ระดับดุลยภาพ ? • วิธีทำ แทนค่าใน Md = KPY Md = (1/5) x 2 x 100 = 40 ล้านบาท ณ ระดับดุลภาพ M = Md = 40 ล้านบาท มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  31. ตัวอย่าง 2) • กำหนดให้ K = 1/4 , Y = 200 ล้านหน่วย , ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย (P) = 4 บาท • จงหาปริมาณเงิน (M) ณ ระดับดุลยภาพ ? • วิธีทำ แทนค่าใน Md = KPY Md = (1/4) x 4 x 200 = 200 ล้านบาท ณ ระดับดุลภาพ M = Md = 200 ล้านบาท มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  32. ทฤษฎีปริมาณเงินแนวใหม่ของเคนส์ทฤษฎีปริมาณเงินแนวใหม่ของเคนส์ • Keynes เสนอแนวคิดในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง • Keynes เห็นว่า “อัตราดอกเบี้ยจะถูกกำหนดโดยอุปทานและอุปสงค์ของเงิน” (ไม่ได้ถูกกำหนดโดยความต้องการของทุนหรือปริมาณเงินออม) • Keynes คิดว่า ดุลยภาพของระบบเศรษฐกิจอยู่ที่ Md = M เมื่อ Md = Demand for money M = Money Supply มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  33. ทฤษฎีปริมาณเงินแนวใหม่ของเคนส์ (ต่อ) • Keynes ให้ความสำคัญกับความต้องการถือเงินมากกว่าปริมาณเงิน เพราะ ปริมาณเงินถูกกำหนดจากธนาคารกลาง มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  34. ความต้องการถือเงินของเคนส์ความต้องการถือเงินของเคนส์ มี 3 ประการ คือ • ความต้องการถือเงินเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน • ความต้องการถือเงินเพื่อกรณีฉุกเฉิน • ความต้องการถือเงินเพื่อการเก็งกำไร มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  35. ความต้องการถือเงินไว้ใช้ประจำวันความต้องการถือเงินไว้ใช้ประจำวัน รายได้ ความต้องการถือเงินเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน(Transaction Motive) • เป็นความต้องการถือเงินที่เพื่อการใช้จ่ายประจำขึ้นอยู่กับรายได้ • หากรายได้มากขึ้น --> ความต้องการถือเงินเพื่อใช้จ่ายประจำจะสูงขึ้นด้วย มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  36. ความต้องการถือเงินไว้ใช้กรณีฉุกเฉินความต้องการถือเงินไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน รายได้ ความต้องการถือเงินเพื่อใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน(Precaution Motive) • เป็นความต้องการถือเงินไว้ใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด • เป็นความต้องการถือเงินที่ขึ้นอยู่กับรายได้ มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  37. ความต้องการถือเงินเพื่อการเก็งกำไร(SpeculativeMotive)ความต้องการถือเงินเพื่อการเก็งกำไร(SpeculativeMotive) • บุคคลถือไว้เพื่อนำไปลงทุน โดยหวังผลตอบแทนจากการลงทุน • การถือเงินประเภทนี้ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก • ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงจะนำเงินไปลงทุนมากขึ้น ถือไว้เก็งกำไรน้อยลง • แต่ถ้าคาดคะเนว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง บุคคลจะเก็บเงินไว้หรือถือเงินไว้ก่อน มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  38. รูปแสดงความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไรรูปแสดงความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร อัตราดอกเบี้ย (r) ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงมากๆ ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร จะเป็นศูนย์ r2 M3 r1 M2 r0 M1 ปริมาณถือเงิน (Q) 0 Q1 Q2 มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  39. สรุปความต้องการถือเงินของเคนส์สรุปความต้องการถือเงินของเคนส์ มี 3 ประการ คือ • ความต้องการถือเงินเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน • ความต้องการถือเงินเพื่อกรณีฉุกเฉิน • ความต้องการถือเงินเพื่อการเก็งกำไร ----- > ---------------------- Md = m1 + m2 m1 m2 มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  40. Md = m1 + m2 ----- (1) Md = ความต้องการถือเงิน m1 = ความต้องการถือเงินเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และ ความต้องการถือเงินเพื่อกรณีฉุกเฉิน (ขึ้นกับรายได้) หรือ k(Y) m2= ความต้องการถือเงินเพื่อการเก็งกำไร (ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย) หรือ L(i) Md = k(Y) + L(i)----- (2) k = สัดส่วนการถือเงินเพื่อใช้ประจำวันและกรณีฉุกเฉิน ต่อรายได้ (ค่าคงที่) Y = รายได้ประชาชาติ L = ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร หรือ ระดับการถือเงินเพื่อสภาพคล่อง มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  41. ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและความต้องการถือเงินความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและความต้องการถือเงิน • ความต้องการถือเงินและปริมาณเงินเป็นตัวกำหนดอัตราดอกเบี้ยดุลยภาพ • ปริมาณเงินมีค่าคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงตามอัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ย (r) M (ปริมาณเงิน Ms) แสดงอัตราดอกเบี้ยดุลยภาพ r2 B r0 E A r1 อัตราดอกเบี้ยต่ำลง คนต้องการถือเงินไว้มากขึ้น ไม่อยากให้กู้ L (ความต้องการถือเงิน Md) ปริมาณถือเงิน (Q) 0 Q2 Q1 Q0 มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  42. การธนาคาร • สถาบันการเงินแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ • ธนาคารพาณิชย์ • ธนาคารกลาง • สถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  43. ธนาคารพาณิชย์ • เป็นสถาบันการเงินที่สำคัญมาก ทำหน้าที่ในการให้สินเชื่อหรือออกเงินให้กู้รวมทั้งระดมเงินออมของประชาชนให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ • มีบทบาทสำคัญใน “การสร้างและทำลายเงินฝาก” มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  44. ระบบธนาคารพาณิชย์ • แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ • ระบบธนาคารเดี่ยว หรือ ระบบธนาคารอิสระ • ระบบธนาคารสาขา • ระบบธนาคารกลุ่ม มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  45. ระบบธนาคารพาณิชย์ (ต่อ) • ระบบธนาคารเดี่ยว • เป็นบริษัทที่มีสำนักงานแห่งเดียว • มักบริการชุมชนในท้องถิ่นที่ธนาคารตั้งอยู่ • แหล่งที่มาของเงินทุนและเจ้าหน้าที่ มาจากท้องถิ่นเอง • ตัวอย่าง ธนาคารในสหรัฐฯ • ตัวอย่าง ธนาคารในรัฐ Alabama เช่น West Alabama Bank & Trust, Bank of Pine Hill , Bank of Wedowee มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  46. ระบบธนาคารพาณิชย์ (ต่อ) • ระบบธนาคารสาขา • เป็นกิจการที่มีสำนักงานมากกว่า 1 แห่งขึ้นไป คือ มีสำนักงานใหญ่และสาขากระจายทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ • เริ่มที่ประเทศอังกฤษ • ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้ระบบสาขา มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  47. ระบบธนาคารพาณิชย์ (ต่อ) • ระบบธนาคารกลุ่ม • มีบริษัทหรือธนาคารหนึ่งเป็นเจ้าของ โดยมีอำนาจควบคุมธนาคารหรือบริษัทในเครือของบริษัทเจ้าของ • ธนาคารที่ถูกควบคุมอาจเป็นธนาคารเดี่ยวหรือสาขา มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  48. ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ย. 51) • กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) • กรุงไทย จำกัด (มหาชน) • กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) • กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) • เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) • ทหารไทย จำกัด (มหาชน) • ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) • ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) • ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) • ธนชาต จำกัด (มหาชน) • นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) • ยูโอบี จำกัด (มหาชน) • สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) • สินเอเซีย จำกัด (มหาชน) มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  49. หน้าที่ของธนาคารพาณิชย์หน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ • หน้าที่หลักๆ มีดังนี้ • การรับฝากเงิน • ประเภทกระแสรายวัน • ประเภทออมทรัพย์ • ประเภทฝากประจำ • การให้สินเชื่อ • การโอนเงิน มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

  50. การสร้างเงินฝาก • การสร้างเงินฝากหรือการขยายเครดิต ถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญของธนาคารพาณิชย์ เป็นการช่วยให้ระบบเศรษฐกิจมีเงินและเครดิตเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการผลิต การค้าและการบริโภคเพิ่มขึ้น • ธนาคารมีหน้าที่รับฝากเงิน และนำเงินฝากไปสร้างเป็นเงินฝากขึ้นใหม่ได้ มห บทที่ 6 การเงินการธนาคาร

More Related