1 / 55

เจาะหุ้นเด่น เกาะประเด็นร้อน ก่อนเลือกตั้ง 20 ตุลาคม 2550 โดย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์

เจาะหุ้นเด่น เกาะประเด็นร้อน ก่อนเลือกตั้ง 20 ตุลาคม 2550 โดย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์. ก่อนเลือกตั้งปลายปี : บรรยากาศลงทุนเป็นบวก. สถิติแสดงผลกระทบการเลือกตั้งต่อ SETI. สถิติการเคลื่อนไหวของหุ้นก่อน-หลังเลือกตั้ง. ก่อนเลือกตั้ง. หลังเลือกตั้ง. ที่มา : SetSmart.

sailor
Download Presentation

เจาะหุ้นเด่น เกาะประเด็นร้อน ก่อนเลือกตั้ง 20 ตุลาคม 2550 โดย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. เจาะหุ้นเด่น เกาะประเด็นร้อนก่อนเลือกตั้ง 20 ตุลาคม 2550 โดย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์

  2. ก่อนเลือกตั้งปลายปี: บรรยากาศลงทุนเป็นบวก สถิติแสดงผลกระทบการเลือกตั้งต่อ SETI

  3. สถิติการเคลื่อนไหวของหุ้นก่อน-หลังเลือกตั้งสถิติการเคลื่อนไหวของหุ้นก่อน-หลังเลือกตั้ง ก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง ที่มา: SetSmart

  4. หลังเลือกตั้ง: Fund flow ต่างชาติยังมีต่อ? ที่มา: Bloomberg (18 ตุลาคม 2550)

  5. ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในเชิงเปรียบเทียบตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในเชิงเปรียบเทียบ Relative Value Matrix ที่มา: Bloomberg (18 ตุลาคม 2550)

  6. แรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศแรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ GDP ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

  7. แรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (ต่อ) • การจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐยังต้องเป็นตัวนำ • ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ เชื่อว่าจะยังคงต้องผลักดันโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐออกมา หลังจากเลื่อนกำหนดมาหลายปีจากผลกระทบเรื่องการเมืองภายในประเทศ • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและทางธุรกิจที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัว เป็นอีกหนึ่งแรงหนุนต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีหน้า

  8. แรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (ต่อ) การค่อยๆ ฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

  9. แรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (ต่อ) การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นทางธุรกิจ นำไปสู่การฟื้นคืนของการลงทุน ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

  10. ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา • วิกฤตตลาดซับไพร์มของสหรัฐยังเป็นปัจจัยหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด • ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย • สหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับต้นๆ ของไทยมาตลอด คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 13-15% ของการส่งออกทั้งหมด

  11. ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ในปี 2551 ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย, PST

  12. ประเมินมูลค่าตลาดและกลุ่มอุตสาหกรรม Source: PST

  13. 990 885 SETI จะไปถึงไหน ? จากหุ้นที่อยู่ใน Universe ของ PST จำนวนทั้งสิ้น 143 บริษัท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 84% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด เราคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลกำไรในปี 2550 อยู่ที่ 1.4% จากที่เติบโตลดลง 8% ในปี 2549 ขณะที่อัตราการเติบโตจะเพิ่มเป็น 25% ในปี 2551 เป็นผลให้ดัชนี SETI เป้าหมายเท่ากับ 2550-51 อยู่ที่ 885 และ 990 ตามลดำดับ

  14. กลยุทธ์การลงทุนปลายปีนี้กลยุทธ์การลงทุนปลายปีนี้ • หุ้นเลือกตั้ง • กลุ่มธนาคารพาณิชย์: BBL, KBANK, BAY • กลุ่มหลักทรัพย์: BLS, KEST • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์: ITD, STEC, PS • กลุ่มธุรกิจสื่อโฆษณา: MCOT, BEC • กลุ่มสื่อสาร: ADVANC, DTAC

  15. กลยุทธ์การลงทุนปลายปีนี้กลยุทธ์การลงทุนปลายปีนี้ • หุ้นกิจกรรมการใช้สอยและการจัดส่งเสริมการขายปลายปี • กลุ่มท่องเที่ยว: MINT, THAI, BECL • กลุ่มยานยนต์: SAT, STANLY • กลุ่มส่งออก: CPF, HANA • กลุ่มค้าปลีกและสินเชื่อส่วนบุคคล: BIGC, KTC • หุ้น Defensive • กลุ่มพลังงาน: PTTEP, PTT • กลุ่มการแพทย์: BGH

  16. ภาพรวมทางเทคนิค

  17. ภาพรวมทางเทคนิค • ยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 910-920 ส่วนในระยะกลางและยาวเป้าหมายดัชนีจะขยับขึ้นถึงระดับ 1,050 จุดได้ในเดือน ส.ค. ปี 2551 • สำหรับในระยะสั้น คาดว่าตลาดจะเข้าสู่การปรับฐาน โดยมีแนวรับที่ระดับ 850 +/- 10จุด ซึ่งการปรับฐานที่เกิดขึ้นยังจะเป็นเพียงการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ ดังนั้นในช่วงที่เหลือของปี SETI จะมีแนวต้านที่ 910-920 และแนวรับที่ 860-840

  18. ธนาคาร: คาดการณ์กำไร 3Q50

  19. ธนาคาร: แนวโน้ม 4Q50 & 2551 • เราคาดหมายผลการดำเนินงานเติบโตดีขึ้น โดยมาจาก 1) ความต้องการสินเชื่อตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ยที่นิ่งและราคาน้ำมันที่ผันผวนน้อยลง; 2) แรงกดดันจากสำรองในระดับสูงลดลง และ 3) การเพิ่มขึ้นของฐานรายได้ค่าธรรมเนียม • ประเด็นที่ต้องจับตาในปี 2551 ได้แก่ : 1) กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงิน (พรบ.สถาบันการเงิน, พรบ.คุ้มครองเงินฝาก); 2) เกณฑ์ควบคุม NPL ของธปท.ที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น; 3) การประกาศใช้ Basel II; และ 4) ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรม • เราแนะนำ ‘ลงทุนมากกว่าตลาด’ โดยหุ้นที่เราชอบสุดได้แก่ BAY, BBL, และ KBANK

  20. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) FV 32.69 บาท • ภายหลังการเข้าถือหุ้นโดยกลุ่ม GE(34.9%), CAR ได้ปรับขึ้นสู่ 19.7% แต่จะลดลงมาที่ 16.2% หลังการเข้าซื้อ GECAL เสร็จสิ้น ทั้งนี้รายการดังกล่าว จะเพิ่มฐานสินเชื่อได้อีกราว 7 หมื่นล้านบาท • เราคาดหมายการตั้งสำรองลดลงหลังได้บันทึกเข้ามาในระดับสูงในครึ่งปีแรก 2550 • เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ โดยฐานทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเติบโตได้ดีทั้งแบบ organic และ inorganic

  21. ธนาคารกรุงเทพ (BBL) FV 155.74 บาท • BBL เป็นหุ้น blue chip ซึ่งมี valuation ที่ถูกเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่อื่นๆ • ธนาคารมี CAR ที่แข็งแกร่งที่ 16.2% และมีอัตราสำรองสูงถึง 79% ซึ่งส่งผลให้สามารถอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงได้ดี • ธนาคารคาดว่าจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น ACL ที่ถืออยู่ 19.3% ในปีนี้ (ต้นทุน <5 บาท) อีกทั้งยังมีกำไรที่ยังไม่รับรู้จาก IRPC มูลค่าราว 1.8 พันล้านบาท (ต้นทุนที่ 3.30 บาท) ซึ่ง silent period จะครบกำหนดในราวกลางธ.ค. 2550 • BBL ถือเป็นหุ้น laggard ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 155.74 บาทอิงกับP/BV1.6 เท่า

  22. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) FV 93.53 บาท • เราคาดสินเชื่อสุทธิ 9 เดือนเติบโต 7% ส่งผลให้เป้าหมายทั้งปีที่ 8-13% มีความเป็นไปได้สูง โดย NIM ที่อยู่ในเกณฑ์สูงเช่นกันที่ 4% คาดว่าจะทำให้เราปรับประมาณการขึ้นได้อีก • การเน้นฐานลูกค้า SME และ Micro-SME คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคตรวมถึง NIM อีกทั้งธนาคารมี CAR สูงที่ 14.5% ทำให้คาดว่าไม่มีข้อจำกัดในการขยายฐานสินเชื่อ • เราคาดหมายรายได้ค่าธรรมเนียมจะปรับขึ้นจากปัจจุบันที่ 30% หลังโครงการ K-Transformation เสร็จสิ้นในกลางปี 2552 • ราคาพื้นฐานปี 2551 อยู่ที่ 93.53 บาทอิงกับ P/BV ที่ 2 เท่า

  23. ธนาคารกรุงไทย (KTB) FV 15.54 บาท • การตั้งสำรองในครึ่งปีหลัง 2550 อีก 8พันล้านบาทจะส่งผลกระทบการทำกำไรปีนี้ หากแต่เราคาดหมายเห็นการฟื้นตัวสูงในปี 2551 โดยมีปัจจัยสนับสนุนได้แก่ความต้องการสินเชื่อเชื่อโดยเฉพาะจากหน่วยงานรัฐ และการบันทึกสำรองในอัตราต่ำลง • อัตรา CAR อยู่ที่ 14.1% ซึ่งทำให้ธนาคารสามารถเพิ่มฐานสินเชื่อได้โดยง่าย นอกจากนี้ฐานะการเป็นธนาคารรัฐมองว่าจะเอื้อประโยชน์ต่อในบางเรื่อง • KTB ถือเป็นหุ้น laggard เช่นกันโดยราคาพื้นฐานปี 2551 อยู่ที่ 15.54 บาทอิงกับ P/BV ที่ 1.6 เท่าและยังมีผลตอบแทนปันผลอีกราว 5%.

  24. ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) FV 21.01 บาท • ผลประกอบการที่ไม่ดีในปีนี้เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารส่งผลให้มีการปรับโครงสร้างองค์กร โดยเราคาดหมายการฟื้นตัวที่ชัดเจนในปีหน้า • ปัจจุบัน SCIB อยู่ระหว่างการทำแผนธุรกิจ 3 ปี (2551-2553) โดยเราคาดหวังเห็นการเติบโตมาจากทั้งแบบ organic และ inorganic ทั้งนี้แผนจะเสร็จในเดือนพ.ย. 2550 • ประเด็นพันธมิตรจะเห็นชัดขึ้นในต้นปี 2551 โดยหลังจากนั้นเราอาจจะปรับมูลค่าหุ้นอีกทีจากปัจจุบันที่ 1.1 เท่า P/BV ซึ่งคิดเป็นราคาพื้นฐานที่ 21.01 บาทต่อหุ้น • หุ้น SCIB ถือว่าน่าสนใจในแง่มูลค่าและผลตอบแทนปันผล

  25. ทุนธนชาต (TCAP) FV 19.74 บาท • เราคาดหวัง synergy ทางธุรกิจหลังได้ธนาคาร Nova Scotia ของแคนาดาเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใน TBANK โดยคาดว่าจะช่วยให้ TBANK สามารถรุกธุรกิจ trade finance และสินเชื่อ Corporate, รวมถึงมีประสิทธิภาพด้าน Back Office ที่ดีขึ้น • ปัจจุบัน Nova Scotia ถือหุ้นใน TBANK 24.99% โดยจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 49% หลังพรบ.สถาบันการเงินประกาศใช้ ทั้งนี้การถือหุ้นของ TCAP จะลดลงเหลือ 51% ซึ่งก็หมายความว่าจะบันทึกกำไรจาก TBANK ลดลง หากแต่ผลประกอบการปี 2551 ยังดีจากคาดหมายกำไรจากการขายหุ้น TBANK • ราคาหุ้น TCAP ซื้อขายอยู่ต่ำกว่ามูลค่าบัญชีที่ 19.74 บาทต่อหุ้นซึ่งเป็นราคาพื้นฐานของเราเช่นกัน

  26. กลุ่มหลักทรัพย์ • มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/50 เฉลี่ยอยู่วันละ 21.9 พันล้านบาท สำหรับทั้งปีมองไว้ที่ 17 พันล้านบาท • IPO ปี 2550 น้อย มีเพียง 4 ราย (UNIQ, RASA, DTAC, TYM) จากที่ตั้งเป้าไว้ 40 บริษัท แต่คาดว่าปี 2551จะมีการทำ IPO เพิ่มขึ้น • คาดการณ์ปี 2551 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 19 พันล้านบาท ในส่วนของธุรกิจวาณิชธนกิจจะมีการทำธุรกรรมมากกว่าปีนี้ หลังจากหลายบริษัทชะลอการจดทะเบียนในตลาดเพื่อรอจังหวะ • หุ้นหลักทรัพย์ Top-pick ได้แก่ BLS, KEST, ASP, PHATRA และ UOBKH

  27. บล. บัวหลวง (BLS) FV 30.46 บาท ราคาปิด 25.75 บาท • การทำ Exclusive Partner และการมี BBL สนับสนุน ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ BLS โดยคาดว่าปี 2550 จะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 3.67% • คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2550 ไว้ที่ 290.83 ล้านบาท นอกจากนี้คาดว่าปลายปีจะสามารถรับรู้รายได้จาก Deal ขาย ACL ของ BBL ช่วยสนับสนุนกำไรสุทธิปี 2550 อีก • ส่วนปี 2551 คาดไว้ที่ 342.63 ล้านบาท ส่วนแบ่งการตลาดของ BLS คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 4.10% • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 30.46 บาท P/E 16 เท่าแนะนำ “ซื้อ”

  28. บล. กิมเอ็ง (KEST) FV 26.53 บาท ราคาปิด 26.00 บาท • ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ด้วย ส่วนแบ่งการตลาดในปี 9M50 ที่ 7.82% คาดการณ์ส่วนแบ่งการตลาดปลายปีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากตลาดที่คึกคัก และนักลงทุนรายย่อยกลับมา Trade เพิมขึ้น • มองส่วนแบ่งการตลาดปี 2550 ไว้ที่ 8% และปี 2551 คาดไว้ที่ 9% • กำไรสุทธิปี 2550 และ 2551 คาดไว้ที่ 541.26 บาท และ 813.27 บาท • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 26.53 บาท อ้างอิง P/E ที่ 18 เท่า ราคาปัจจุบันแม้ว่าจะเหลือ Upside Gain ไม่มาก แต่ทางฝ่ายแนะนำ “ทยอยสะสม” เมื่อราคาอ่อนตัว

  29. บล. เอเชียพลัส (ASP) FV 4.22 บาท ราคาปิด 4.08 บาท • ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 3 ใน 9 เดือนที่ผ่านมาด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 5.70% • คาดการณ์ปี 2550 ส่วนแบ่งการตลาดจะอยู่ที่ 5.80% กำไรสุทธิคาดไว้ที่ 460.94 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25.97% YoY อัตรา Cost/Income ที่ 63.87% • สำหรับปี 2551 ทางฝ่ายมองส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ 6% กำไรสุทธิคาดว่าจะเท่ากับ 474.80 ล้านบาท • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 4.22 บาท อ้างอิง P/E ที่ 18 เท่า ราคาปัจจุบันเหลือ Upside Gain ไม่มาก แนะนำ “ทยอยสะสม” เมื่อราคาอ่อนตัว

  30. บล. ภัทร (PHATRA) FV 49.40 บาท ราคาปิด 37.75 บาท • พื้นฐานยังแข็งแกร่ง แต่ข่าวการซื้อ บล. เอเพ็คซ์ ของ Merrill lynch กระทบต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวลงแรง • ระยะสั้นยังไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการกับข่าวดังกล่าว กำไรสุทธิปี 2550 คาดไว้ที่ 506.82 ล้านบาท • ส่วนปี 2551 ทางฝ่ายประเมินกำไรสุทธิไว้ 2 กรณี 1) ML บอกเลิกสัญญา กำไรสุทธิจะเท่ากับ 461.20 ล้านบาท 2) ML ไม่มีการบอกเลิกเป็นพันธมิตร กำไรสุทธิจะเท่ากับ 585.92 ล้านบาท • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 1) 38.88 บาท 2) 49.40 บาท P/E 18 เท่า ระยะสั่นไม่มีผลกระทบ แนะนำ “ซื้อ”

  31. บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (UOBKH) FV 8.70 บาท ราคาปิด 5.90 บาท • แม้จะไม่อยู่ในกลุ่ม Top Ten แต่อัตรา Cost/Income ที่ต่ำ โดยปี 2549 อยู่ที่ 53.34% ทำให้เป็นหุ้นที่น่าสนใจ • ผลประกอบการปี 2550 ออกมาลดลงเล็กน้อย กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 7% YoY อยู่ที่ 189.33 ล้านบาท • สำหรับปี 2551 ผลประกอบการคาดว่าจะดีขึ้น ส่วนแบ่งการตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.35% กำไรสุทธิคาดว่าจะเท่ากับ 235.53 ล้านบาท • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 8.70 บาท อ้างอิง P/E ที่ 12 เท่า แม้ว่าจะมีปัญหาด้านสภาพคล่อง แต่ราคาปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าราคาพื้นฐานมาก แนะนำ “ซื้อ”

  32. Contractor Sector : ทิศทางดีขึ้นชัดเจนขึ้น • สถานะ Backlog และงานที่เซ็นใหม่ปี 50 ไม่มาก แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น • มองภาวะอุตสาหกรรมมีแนวโน้มดีขึ้นจากกระแสงานก่อสร้างที่มากขึ้น • กำหนดการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสีแดง และสีม่วงชัดเจนมากขึ้น (ก่อสร้างได้ 2H51) ส่วนการอนุมัติสายสีแดงช่วง 2 เริ่มก่อสร้าง 4Q51 และก่อ สร้างงานประมูลโรงไฟฟ้า IPP (100 พันล้านบาท) • ในเวลาเดียวกัน เรามองความเชื่อมันในการฟื้นตัวการบริโภค/การลงทุนจากภาคเอกชนจะนำไปสู่กระแสของงานภาคเอกชนในช่วงปี 52 • ปัจจัยลบจากราคาน้ำมันอาจกระทบ Margin สำหรับงานในมือที่รับรู้ในปี 50-51 อย่างไรก็ดี กระแสของงานใหม่น่าจะสร้างการเติบโตของกำไรในปี 52 • เราแนะนำ STEC และ ITD

  33. ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง (STEC) FV Bt7.40 • ปัจจัยลบจากการขยายเวลาก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ตลืงค์น่าจะจบด้วยดี โดยคาดหมายข้อสรุปออกมาก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้การก่อสร้างยังดำเนินการไป อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ STEC ได้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อฯไว้แล้วในปีก่อน • Backlog ล่าสุด และการคาดหมายการเซ็นงานใหม่ -43%, 34% และ 65% ในปี 50, 51 และ 52 กอปรการคาดหมาย Margin ดีขึ้นจากการรับรู้รายได้จากโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ที่มี Margin 0% ที่หมดไปในปี 51 ทำให้เราคาดหมายกำไรปี 52 จะเติบโต 15%จากการทรงตัวในปี 51 • ราคาหุ้นยังซื้อขายในระดับ P/E ที่ต่ำกว่าในอดีต

  34. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) FV Bt8.30 • ท่ามกลางการรอคอยงานในประเทศ ITD ได้เปรียบคู่แข่งในแง่ของช่องทางการหางานต่างประเทศผ่านบริษัทร่วม และประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศ • จากการคาดหมาย Momentum การเซ็นงานที่ดีขึ้นในปี 51 และปี 52 ที่เติบโต 26% และ 66% จาก –26%ในปี 50 เราคาดหมายกำไรต่อหุ้นทรงตัวในปี 50-51 ก่อนที่จะเติบโตกว่า 30% ในปี 52 • เรามองแนวโน้มกำไรดีขึ้นในช่วง 50-52 แต่ความไม่ชัดเจนในโครงการลงทุนเหมืองโปแตสในแง่ความเพียงพอของเงินลงทุน และผลได้จากการลงทุน เราจึงกำหนดราคาพื้นฐานที่ 8.30 บาท (อ้างอิงระดับ P/E-255227 เท่า)

  35. Housing Sector : เข้าสู่วงจรเติบโตใหม่ • ตลาดที่อยู่อาศัยปี 50: ตลาดแนวราบอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยที่ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถสร้างยอดจองได้ดี ขณะที่ตลาดคอนโดฯในเมืองยังมีอัตราการขายที่ดี

  36. Housing Sector : เข้าสู่วงจรเติบโตใหม่ • อย่างไรก็ตาม มุมมอง Supply ทางแนวราบจะดูมีความกดดันน้อยกว่าโครงการแนวสูง (คอนโด) • เรายังมองแนวโน้ม Demand ปีหน้ายังน่าจะเติบโตได้จากความชัดเจนทางการเมือง, ความเชื่อมั่นที่มากขึ้น, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทั้งนี้ เราเลือก PS ซึ่งมีรายได้จากแนวราบเป็นหลัก และอยู่ในระดับ Valuation ที่ไม่สูงโดยเปรียบเทียบ

  37. Housing Sector : เข้าสู่วงจรเติบโตใหม่

  38. พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) FV Bt9.30 • ผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยระดับล่าง พร้อมกับการสร้างโอกาสในการเติบโตจากตลาดคอนโดฯ ทั้งนี้ยอดจองรวม 9M50 ที่ 8.7 พันล้านบาท เติบโต 66% โดยยอดจองแนวราบเติบโต 26% ส่วนที่เหลือมาจากยอดจองคอนโดฯ 2.1 พันล้านบาท ทำให้เป้าหมายการขายที่ 10 พันล้านบาทยังเป็นไปได้ • ยอดจองที่ยังไปได้ดี เรายังมองรายได้และกำไรปี 50 เติบโต 10% และ 6% ทั้งนี้ Prospects ในปี 51 จะมาการเติบโตของรายได้และสัดส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีการประหยัดต่อขนาดมากขึ้นเรายังคาดหมายการเติบโตของกำไรปี 51 ที่ 14% • ระดับ P/E ยังถูกโดยเปรียบเทียบกับ Growth

  39. กลุ่มบันเทิง : อุตสาหกรรมโฆษณา • ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์บ้านเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นผู้ บริโภคลดลง ส่งผลต่อเนื่องมายังผู้ลงโฆษณาให้ชะลอและประหยัดการใช้งบโฆษณา ซึ่งทั้งปี 2550 แนวโน้มจะเติบโตในระดับต่ำเทียบกับปี 2549 ที่ โต 4-5 เม็ดเงินโฆษณา 8.98 หมื่นล้านบาท โดยจะมีผลดีจากเลือกตั้งปลายปี

  40. บีอีซี เวิลด์ (BEC) FV 25 บาท • 1H50 กำไรที่โต 25.33% YoY แม้รายได้จะเติบโตเพียง 5.99% YoY แต่การ บริหารจัดการต้นทุนและผังรายการที่ดีต้นทุนจึงลดลง • 2H50 คาดกำไรจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยใน 3Q50 คาดกำไรยังเพิ่มขึ้น 29.58% YoY และยังได้รับผลดีจากการปรับผังย่อยและปรับโฆษณาบางราย การ รวมถึงผลดีจากการเลือกตั้ง ทำให้ทั้งปีคาดว่ากำไรจะโต 31.95% • หลังเลือกตั้ง น่าจะเห็นนโยบายที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น อุตสาหกรรมโดยรวมน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น คาดจะส่งผลให้กำไรในปี 2551 เติบโตอีก 13.67% YoY โดยยังมีปัจจัยบวกในการปรับค่าโฆษณารออยู่ • ให้ติดตาม พรบ. กิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ที่อาจส่งผลลบต่อกำไร

  41. อสมท (MCOT) FV 38.16 บาท • 1H50 ทั้งรายได้และกำไรลดลง จากทั้งภาวะเศรษฐกิจและปัญหาภายในองค์กรจากความไม่ชัดเจนของนโยบาย หลังจาก ผอ. คนเก่าลาออก • 2H50 จะฟื้นตัวโดดเด่น 41.74% จาก 1H50 หลังจากได้ ผอ. คนใหม่เข้ามากำหนดนโยบายและทิศทางที่ชัดเจน รวมไปถึงผลดีจากการเลือกตั้งและปรับค่าโฆษณา แต่ภาพโดยรวมทั้งปี 2550 จะยังคงลดลง 24.11% YoY • เช่นเดียวกับ BEC ภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นและฐานที่ต่ำในปี 2550 จะทำให้กำไรในปี 2551 เติบโต 27.31% YoY โดยยังมีปัจจัยการปรับขึ้นค่า โฆษณาและการปรับผังรายการต้นปี 2551 • ให้ติดตาม พรบ. กิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ที่อาจส่งผลลบต่อกำไร

  42. กลุ่มพลังงาน - โรงกลั่น • คาดค่าการกลั่นใน 2H50 เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง HoH โดยค่าการกลั่น Dubai Crack งวด 3Q50 เท่ากับ 6.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล(+35% YoY, -33% QoQ) และค่าเฉลี่ย YTD เท่ากับ 7.56 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล(+26% YoY) • ตามการคาดการณ์ของ Fact, Spring 2551 ในปี 2551 ภูมิภาคเอเชียจะมีอุปทานส่วนเกิน 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่เราคาดว่าค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับสูงได้ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจาก 1)purchasing power ที่เพิ่มขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง 2)การเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค

  43. ไทยออยล์ (TOP) FV 100 บาท • ในปี 2551 จะมีปัจจัยบวกจากการขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่นและปิโตรเพิ่มขึ้น 22%และ 114% • คาดราคาหุ้นของ TOP จะมีแรงกดดันจากผลประกอบการใน 2H50 ที่จะลดลงจากการปิดโรงงานเพื่อขยายกำลังการผลิต เป็นโอกาสเข้า “ซื้อ” เพื่อรอกำไรที่จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2551 • คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2550-51 เติบโต 4.2% และ 17.8%ตามลำดับ • ประเมินราคาพื้นฐานปี 2551 เท่ากับ 100 บาท บน P/E ที่ 10 เท่า

  44. โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) FV 30 บาท • หลังควบรวมกับ ATC จะเป็นหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่อันดับ 11 มูลค่าเท่ากับ 146,487 ล้านบาท และเป็นโรงกลั่นและปิโตรเคมีใหญ่อันดับ 1 ของไทยซึ่งเป็นธุรกิจใกล้เคียงกับ TOP • คาดหุ้น RRC จะหยุดซื้อขายในวันที่ 20 ธ.ค.2550 และหุ้นใหม่จะเข้า Trade ในวันที่ 2 ม.ค.51 • คาดกำไรสุทธิในปี 2550 เพิ่มขึ้น 7% แต่ในปี 2551 ลดลง 4.5%แต่อย่างไรก็ตามในปี 2551 หุ้น RRC จะแปรสภาพเป็นหุ้นใหม่ที่มีการเติบโตดีจาก ARO2 ของ ATC • ประเมินราคาพื้นฐานปี 2551 เท่ากับ 30 บาท

  45. ปตท. (PTT) FV 390 บาท • คาดกำไรใน 2H50 เพิ่มขึ้น 17% YoY แต่ลดลง 8.5% HoH โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตของปริมาณก๊าซผ่านท่อ และสำรวจผลิต(PTTEP) ส่วนธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรชะลอตัว • คาดการณ์กำไรก่อนรายการพิเศษในปี 2550 เท่ากับ 93,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% YoY กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 33.37 บาท • คาดในปี 2551 PTT จะมีกำไรกลับมาเติบโตที่ดีเพิ่มขึ้น 10.9%เป็น 103,762 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของธุรกิจหลักคือก๊าซธรรมชาติที่จะมีปริมาณก๊าซผ่านท่อเพิ่มขึ้น และการเติบโตของบ.ย่อย/ร่วมที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น • ประเมินราคาพื้นฐานปี 2551 เท่ากับ 390 บาท ด้วยวิธี sum of the part

  46. ปตท. สำรวจ&ผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) FV Bt170 • ราคาน้ำมันดิบขึ้นไปทำ New high ที่ US$76.88 ต่อบาร์เรลราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับที่สูง 9 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ US$63.28 ต่อบาร์เรล • ปี 2551 ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นประมาณ 28.2%YoY จาก 188,000 BOED เป็น 241,000 BOED ซึ่งเป็นการขยายตัวจากแหล่งใหม่คือแหล่งอาทิตย์ที่เริ่มส่งก๊าซเดือนกุมภาพันธ์ 2551 • การเติบโตต่อเนื่องปี 2551 จากแหล่งอาทิตย์และเวียดนาม 9-2 ส่วน 2552 จากแหล่ง MTJDA • ราคาพื้นฐาน 170 บาทต่อหุ้นใช้ราคาน้ำมันดูไบ US$68/บาร์เรล ในปี2551

  47. Energy Sector : IPP Project • กฟผ. เปิดโอกาสให้เอกชนเข้าประมูลโครงการ IPP โดยในรอบแรก 3,200MW หรือประมาณ 4 โครงการแบ่งเป็นโครงการละ 800 MW ต่อโครงการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วงปี 2554-2557 ปี 2555-800MW, 2556-800MW, 2557 –1,600MW • วันที่ 19 ต.ค. นี้เอกชนผู้สนใจจะเข้าร่วมการประมูลและจะประกาศผลในเดือนพฤศจิกายนและจะทำสัญญา PPA ช่วงเดือนมิถุนายน 2251 • ผู้ที่มีโอกาสจะชนะการประมูลเช่น EGCO, RATCH, TOP,

  48. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) FV Bt52 • เป็นเต็งหนึ่งที่มีโอกาสจะชนะการประมูลโครงการ IPP จะประมูล 3 โครงการ ( ราชบุรีส่วนขยาย, ไตรเอนเนอจี้, ร่วมทุนกับ ROJANA) หากชนะ 1 โครงการที่ 800 MW จะมีมูลค่าพื้นฐานเพิ่มขึ้นประมาณ 4.5-5 บาทต่อหุ้นเพิ่มจากราคาพื้นฐานที่ 52 บาทต่อหุ้น • มีโอกาสร่วมลงทุนในโครงการหงสาที่ BANPU ได้ทำสัญญากับรัฐบาลลาวเพื่อรับสิทธิเข้าศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า 1,800 เมกะวัตต์และเหมืองถ่านหินต.หงสามูลค่าการลงทุน US$2000 ล้าน (โรงไฟฟ้า US$1,800 ล้านเหมืองถ่านหิน US$200 ล้าน) เพราะเป็นพันธมิตรที่ดีกับ BANPU โดย BANPU ถือหุ้นใน RATCH 14.99%

  49. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) FV Bt52 • กำไรปี 2551 จะสูงขึ้นเพราะจะเริ่มรับรู้รายได้จากราชบุรีเพาเวอร์ (โรงไฟฟ้าหินกรูดเดิม) ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 25% เริ่มเฟสที่ 1 มี.ค.51 และเฟสที่ 2 มิ.ย. 51 โครงการละ 700 เมกะวัตต์และก็ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่เท่ากับในปี 2550 จึงคาดว่าจะมีกำไรุสทธิเพิ่มขึ้นเป็น 6,520 ล้านบาท

  50. ผลิตไฟฟ้า (EGCO) FV Bt120 • มีโอกาสที่จะชนะโครงการ IPP ด้วยทาง EGCO ตั้งเป้าจะชนะประมาณ 30% ของการประมูลคาดว่าจะประมูล 3 โครงการ 1) โรงไฟฟ้าขนอม 2) ปลวกแดง จ.ระยอง 3) จอมบึง จ.ราชบุรีซึ่งหากสามารถชนะได้ 1 โครงการ(800MW) มูลค่าหุ้นจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 12-13 บาทต่อหุ้นจากราคาพื้นฐาน 120 บาทต่อหุ้น • กำไรปีนี้โดดเด่นจากธุรกิจไฟฟ้าของ BLCP ที่เข้าไปถือหุ้น 50% สำหรับโรงไฟฟ้าระยองและขนอมเริ่มมีกำไรลดลงเป็นไปตามสัญญา PPA แต่ก็มีส่วนเพิ่มจากรับรู้กำไรจากจีพีจี (กัลฟ์เพาเวอร์เจเนอเรชั่น) เข้ามาเมื่อพ.ค. 50 (734MW)

More Related