550 likes | 664 Views
เจาะหุ้นเด่น เกาะประเด็นร้อน ก่อนเลือกตั้ง 20 ตุลาคม 2550 โดย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์. ก่อนเลือกตั้งปลายปี : บรรยากาศลงทุนเป็นบวก. สถิติแสดงผลกระทบการเลือกตั้งต่อ SETI. สถิติการเคลื่อนไหวของหุ้นก่อน-หลังเลือกตั้ง. ก่อนเลือกตั้ง. หลังเลือกตั้ง. ที่มา : SetSmart.
E N D
เจาะหุ้นเด่น เกาะประเด็นร้อนก่อนเลือกตั้ง 20 ตุลาคม 2550 โดย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์
ก่อนเลือกตั้งปลายปี: บรรยากาศลงทุนเป็นบวก สถิติแสดงผลกระทบการเลือกตั้งต่อ SETI
สถิติการเคลื่อนไหวของหุ้นก่อน-หลังเลือกตั้งสถิติการเคลื่อนไหวของหุ้นก่อน-หลังเลือกตั้ง ก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง ที่มา: SetSmart
หลังเลือกตั้ง: Fund flow ต่างชาติยังมีต่อ? ที่มา: Bloomberg (18 ตุลาคม 2550)
ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในเชิงเปรียบเทียบตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในเชิงเปรียบเทียบ Relative Value Matrix ที่มา: Bloomberg (18 ตุลาคม 2550)
แรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศแรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ GDP ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
แรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (ต่อ) • การจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐยังต้องเป็นตัวนำ • ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ เชื่อว่าจะยังคงต้องผลักดันโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐออกมา หลังจากเลื่อนกำหนดมาหลายปีจากผลกระทบเรื่องการเมืองภายในประเทศ • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและทางธุรกิจที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัว เป็นอีกหนึ่งแรงหนุนต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีหน้า
แรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (ต่อ) การค่อยๆ ฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
แรงผลักดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (ต่อ) การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นทางธุรกิจ นำไปสู่การฟื้นคืนของการลงทุน ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา • วิกฤตตลาดซับไพร์มของสหรัฐยังเป็นปัจจัยหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด • ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย • สหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับต้นๆ ของไทยมาตลอด คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 13-15% ของการส่งออกทั้งหมด
ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ในปี 2551 ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย, PST
ประเมินมูลค่าตลาดและกลุ่มอุตสาหกรรม Source: PST
990 885 SETI จะไปถึงไหน ? จากหุ้นที่อยู่ใน Universe ของ PST จำนวนทั้งสิ้น 143 บริษัท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 84% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด เราคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลกำไรในปี 2550 อยู่ที่ 1.4% จากที่เติบโตลดลง 8% ในปี 2549 ขณะที่อัตราการเติบโตจะเพิ่มเป็น 25% ในปี 2551 เป็นผลให้ดัชนี SETI เป้าหมายเท่ากับ 2550-51 อยู่ที่ 885 และ 990 ตามลดำดับ
กลยุทธ์การลงทุนปลายปีนี้กลยุทธ์การลงทุนปลายปีนี้ • หุ้นเลือกตั้ง • กลุ่มธนาคารพาณิชย์: BBL, KBANK, BAY • กลุ่มหลักทรัพย์: BLS, KEST • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์: ITD, STEC, PS • กลุ่มธุรกิจสื่อโฆษณา: MCOT, BEC • กลุ่มสื่อสาร: ADVANC, DTAC
กลยุทธ์การลงทุนปลายปีนี้กลยุทธ์การลงทุนปลายปีนี้ • หุ้นกิจกรรมการใช้สอยและการจัดส่งเสริมการขายปลายปี • กลุ่มท่องเที่ยว: MINT, THAI, BECL • กลุ่มยานยนต์: SAT, STANLY • กลุ่มส่งออก: CPF, HANA • กลุ่มค้าปลีกและสินเชื่อส่วนบุคคล: BIGC, KTC • หุ้น Defensive • กลุ่มพลังงาน: PTTEP, PTT • กลุ่มการแพทย์: BGH
ภาพรวมทางเทคนิค • ยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 910-920 ส่วนในระยะกลางและยาวเป้าหมายดัชนีจะขยับขึ้นถึงระดับ 1,050 จุดได้ในเดือน ส.ค. ปี 2551 • สำหรับในระยะสั้น คาดว่าตลาดจะเข้าสู่การปรับฐาน โดยมีแนวรับที่ระดับ 850 +/- 10จุด ซึ่งการปรับฐานที่เกิดขึ้นยังจะเป็นเพียงการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ ดังนั้นในช่วงที่เหลือของปี SETI จะมีแนวต้านที่ 910-920 และแนวรับที่ 860-840
ธนาคาร: คาดการณ์กำไร 3Q50
ธนาคาร: แนวโน้ม 4Q50 & 2551 • เราคาดหมายผลการดำเนินงานเติบโตดีขึ้น โดยมาจาก 1) ความต้องการสินเชื่อตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ยที่นิ่งและราคาน้ำมันที่ผันผวนน้อยลง; 2) แรงกดดันจากสำรองในระดับสูงลดลง และ 3) การเพิ่มขึ้นของฐานรายได้ค่าธรรมเนียม • ประเด็นที่ต้องจับตาในปี 2551 ได้แก่ : 1) กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงิน (พรบ.สถาบันการเงิน, พรบ.คุ้มครองเงินฝาก); 2) เกณฑ์ควบคุม NPL ของธปท.ที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น; 3) การประกาศใช้ Basel II; และ 4) ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรม • เราแนะนำ ‘ลงทุนมากกว่าตลาด’ โดยหุ้นที่เราชอบสุดได้แก่ BAY, BBL, และ KBANK
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) FV 32.69 บาท • ภายหลังการเข้าถือหุ้นโดยกลุ่ม GE(34.9%), CAR ได้ปรับขึ้นสู่ 19.7% แต่จะลดลงมาที่ 16.2% หลังการเข้าซื้อ GECAL เสร็จสิ้น ทั้งนี้รายการดังกล่าว จะเพิ่มฐานสินเชื่อได้อีกราว 7 หมื่นล้านบาท • เราคาดหมายการตั้งสำรองลดลงหลังได้บันทึกเข้ามาในระดับสูงในครึ่งปีแรก 2550 • เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ โดยฐานทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเติบโตได้ดีทั้งแบบ organic และ inorganic
ธนาคารกรุงเทพ (BBL) FV 155.74 บาท • BBL เป็นหุ้น blue chip ซึ่งมี valuation ที่ถูกเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่อื่นๆ • ธนาคารมี CAR ที่แข็งแกร่งที่ 16.2% และมีอัตราสำรองสูงถึง 79% ซึ่งส่งผลให้สามารถอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงได้ดี • ธนาคารคาดว่าจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น ACL ที่ถืออยู่ 19.3% ในปีนี้ (ต้นทุน <5 บาท) อีกทั้งยังมีกำไรที่ยังไม่รับรู้จาก IRPC มูลค่าราว 1.8 พันล้านบาท (ต้นทุนที่ 3.30 บาท) ซึ่ง silent period จะครบกำหนดในราวกลางธ.ค. 2550 • BBL ถือเป็นหุ้น laggard ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 155.74 บาทอิงกับP/BV1.6 เท่า
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) FV 93.53 บาท • เราคาดสินเชื่อสุทธิ 9 เดือนเติบโต 7% ส่งผลให้เป้าหมายทั้งปีที่ 8-13% มีความเป็นไปได้สูง โดย NIM ที่อยู่ในเกณฑ์สูงเช่นกันที่ 4% คาดว่าจะทำให้เราปรับประมาณการขึ้นได้อีก • การเน้นฐานลูกค้า SME และ Micro-SME คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคตรวมถึง NIM อีกทั้งธนาคารมี CAR สูงที่ 14.5% ทำให้คาดว่าไม่มีข้อจำกัดในการขยายฐานสินเชื่อ • เราคาดหมายรายได้ค่าธรรมเนียมจะปรับขึ้นจากปัจจุบันที่ 30% หลังโครงการ K-Transformation เสร็จสิ้นในกลางปี 2552 • ราคาพื้นฐานปี 2551 อยู่ที่ 93.53 บาทอิงกับ P/BV ที่ 2 เท่า
ธนาคารกรุงไทย (KTB) FV 15.54 บาท • การตั้งสำรองในครึ่งปีหลัง 2550 อีก 8พันล้านบาทจะส่งผลกระทบการทำกำไรปีนี้ หากแต่เราคาดหมายเห็นการฟื้นตัวสูงในปี 2551 โดยมีปัจจัยสนับสนุนได้แก่ความต้องการสินเชื่อเชื่อโดยเฉพาะจากหน่วยงานรัฐ และการบันทึกสำรองในอัตราต่ำลง • อัตรา CAR อยู่ที่ 14.1% ซึ่งทำให้ธนาคารสามารถเพิ่มฐานสินเชื่อได้โดยง่าย นอกจากนี้ฐานะการเป็นธนาคารรัฐมองว่าจะเอื้อประโยชน์ต่อในบางเรื่อง • KTB ถือเป็นหุ้น laggard เช่นกันโดยราคาพื้นฐานปี 2551 อยู่ที่ 15.54 บาทอิงกับ P/BV ที่ 1.6 เท่าและยังมีผลตอบแทนปันผลอีกราว 5%.
ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) FV 21.01 บาท • ผลประกอบการที่ไม่ดีในปีนี้เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารส่งผลให้มีการปรับโครงสร้างองค์กร โดยเราคาดหมายการฟื้นตัวที่ชัดเจนในปีหน้า • ปัจจุบัน SCIB อยู่ระหว่างการทำแผนธุรกิจ 3 ปี (2551-2553) โดยเราคาดหวังเห็นการเติบโตมาจากทั้งแบบ organic และ inorganic ทั้งนี้แผนจะเสร็จในเดือนพ.ย. 2550 • ประเด็นพันธมิตรจะเห็นชัดขึ้นในต้นปี 2551 โดยหลังจากนั้นเราอาจจะปรับมูลค่าหุ้นอีกทีจากปัจจุบันที่ 1.1 เท่า P/BV ซึ่งคิดเป็นราคาพื้นฐานที่ 21.01 บาทต่อหุ้น • หุ้น SCIB ถือว่าน่าสนใจในแง่มูลค่าและผลตอบแทนปันผล
ทุนธนชาต (TCAP) FV 19.74 บาท • เราคาดหวัง synergy ทางธุรกิจหลังได้ธนาคาร Nova Scotia ของแคนาดาเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใน TBANK โดยคาดว่าจะช่วยให้ TBANK สามารถรุกธุรกิจ trade finance และสินเชื่อ Corporate, รวมถึงมีประสิทธิภาพด้าน Back Office ที่ดีขึ้น • ปัจจุบัน Nova Scotia ถือหุ้นใน TBANK 24.99% โดยจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 49% หลังพรบ.สถาบันการเงินประกาศใช้ ทั้งนี้การถือหุ้นของ TCAP จะลดลงเหลือ 51% ซึ่งก็หมายความว่าจะบันทึกกำไรจาก TBANK ลดลง หากแต่ผลประกอบการปี 2551 ยังดีจากคาดหมายกำไรจากการขายหุ้น TBANK • ราคาหุ้น TCAP ซื้อขายอยู่ต่ำกว่ามูลค่าบัญชีที่ 19.74 บาทต่อหุ้นซึ่งเป็นราคาพื้นฐานของเราเช่นกัน
กลุ่มหลักทรัพย์ • มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/50 เฉลี่ยอยู่วันละ 21.9 พันล้านบาท สำหรับทั้งปีมองไว้ที่ 17 พันล้านบาท • IPO ปี 2550 น้อย มีเพียง 4 ราย (UNIQ, RASA, DTAC, TYM) จากที่ตั้งเป้าไว้ 40 บริษัท แต่คาดว่าปี 2551จะมีการทำ IPO เพิ่มขึ้น • คาดการณ์ปี 2551 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 19 พันล้านบาท ในส่วนของธุรกิจวาณิชธนกิจจะมีการทำธุรกรรมมากกว่าปีนี้ หลังจากหลายบริษัทชะลอการจดทะเบียนในตลาดเพื่อรอจังหวะ • หุ้นหลักทรัพย์ Top-pick ได้แก่ BLS, KEST, ASP, PHATRA และ UOBKH
บล. บัวหลวง (BLS) FV 30.46 บาท ราคาปิด 25.75 บาท • การทำ Exclusive Partner และการมี BBL สนับสนุน ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ BLS โดยคาดว่าปี 2550 จะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 3.67% • คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2550 ไว้ที่ 290.83 ล้านบาท นอกจากนี้คาดว่าปลายปีจะสามารถรับรู้รายได้จาก Deal ขาย ACL ของ BBL ช่วยสนับสนุนกำไรสุทธิปี 2550 อีก • ส่วนปี 2551 คาดไว้ที่ 342.63 ล้านบาท ส่วนแบ่งการตลาดของ BLS คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 4.10% • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 30.46 บาท P/E 16 เท่าแนะนำ “ซื้อ”
บล. กิมเอ็ง (KEST) FV 26.53 บาท ราคาปิด 26.00 บาท • ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ด้วย ส่วนแบ่งการตลาดในปี 9M50 ที่ 7.82% คาดการณ์ส่วนแบ่งการตลาดปลายปีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากตลาดที่คึกคัก และนักลงทุนรายย่อยกลับมา Trade เพิมขึ้น • มองส่วนแบ่งการตลาดปี 2550 ไว้ที่ 8% และปี 2551 คาดไว้ที่ 9% • กำไรสุทธิปี 2550 และ 2551 คาดไว้ที่ 541.26 บาท และ 813.27 บาท • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 26.53 บาท อ้างอิง P/E ที่ 18 เท่า ราคาปัจจุบันแม้ว่าจะเหลือ Upside Gain ไม่มาก แต่ทางฝ่ายแนะนำ “ทยอยสะสม” เมื่อราคาอ่อนตัว
บล. เอเชียพลัส (ASP) FV 4.22 บาท ราคาปิด 4.08 บาท • ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 3 ใน 9 เดือนที่ผ่านมาด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 5.70% • คาดการณ์ปี 2550 ส่วนแบ่งการตลาดจะอยู่ที่ 5.80% กำไรสุทธิคาดไว้ที่ 460.94 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25.97% YoY อัตรา Cost/Income ที่ 63.87% • สำหรับปี 2551 ทางฝ่ายมองส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ 6% กำไรสุทธิคาดว่าจะเท่ากับ 474.80 ล้านบาท • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 4.22 บาท อ้างอิง P/E ที่ 18 เท่า ราคาปัจจุบันเหลือ Upside Gain ไม่มาก แนะนำ “ทยอยสะสม” เมื่อราคาอ่อนตัว
บล. ภัทร (PHATRA) FV 49.40 บาท ราคาปิด 37.75 บาท • พื้นฐานยังแข็งแกร่ง แต่ข่าวการซื้อ บล. เอเพ็คซ์ ของ Merrill lynch กระทบต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวลงแรง • ระยะสั้นยังไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการกับข่าวดังกล่าว กำไรสุทธิปี 2550 คาดไว้ที่ 506.82 ล้านบาท • ส่วนปี 2551 ทางฝ่ายประเมินกำไรสุทธิไว้ 2 กรณี 1) ML บอกเลิกสัญญา กำไรสุทธิจะเท่ากับ 461.20 ล้านบาท 2) ML ไม่มีการบอกเลิกเป็นพันธมิตร กำไรสุทธิจะเท่ากับ 585.92 ล้านบาท • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 1) 38.88 บาท 2) 49.40 บาท P/E 18 เท่า ระยะสั่นไม่มีผลกระทบ แนะนำ “ซื้อ”
บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (UOBKH) FV 8.70 บาท ราคาปิด 5.90 บาท • แม้จะไม่อยู่ในกลุ่ม Top Ten แต่อัตรา Cost/Income ที่ต่ำ โดยปี 2549 อยู่ที่ 53.34% ทำให้เป็นหุ้นที่น่าสนใจ • ผลประกอบการปี 2550 ออกมาลดลงเล็กน้อย กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 7% YoY อยู่ที่ 189.33 ล้านบาท • สำหรับปี 2551 ผลประกอบการคาดว่าจะดีขึ้น ส่วนแบ่งการตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.35% กำไรสุทธิคาดว่าจะเท่ากับ 235.53 ล้านบาท • ราคาพื้นฐานปี 2551 มองไว้ที่ 8.70 บาท อ้างอิง P/E ที่ 12 เท่า แม้ว่าจะมีปัญหาด้านสภาพคล่อง แต่ราคาปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าราคาพื้นฐานมาก แนะนำ “ซื้อ”
Contractor Sector : ทิศทางดีขึ้นชัดเจนขึ้น • สถานะ Backlog และงานที่เซ็นใหม่ปี 50 ไม่มาก แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น • มองภาวะอุตสาหกรรมมีแนวโน้มดีขึ้นจากกระแสงานก่อสร้างที่มากขึ้น • กำหนดการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสีแดง และสีม่วงชัดเจนมากขึ้น (ก่อสร้างได้ 2H51) ส่วนการอนุมัติสายสีแดงช่วง 2 เริ่มก่อสร้าง 4Q51 และก่อ สร้างงานประมูลโรงไฟฟ้า IPP (100 พันล้านบาท) • ในเวลาเดียวกัน เรามองความเชื่อมันในการฟื้นตัวการบริโภค/การลงทุนจากภาคเอกชนจะนำไปสู่กระแสของงานภาคเอกชนในช่วงปี 52 • ปัจจัยลบจากราคาน้ำมันอาจกระทบ Margin สำหรับงานในมือที่รับรู้ในปี 50-51 อย่างไรก็ดี กระแสของงานใหม่น่าจะสร้างการเติบโตของกำไรในปี 52 • เราแนะนำ STEC และ ITD
ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง (STEC) FV Bt7.40 • ปัจจัยลบจากการขยายเวลาก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ตลืงค์น่าจะจบด้วยดี โดยคาดหมายข้อสรุปออกมาก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้การก่อสร้างยังดำเนินการไป อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ STEC ได้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อฯไว้แล้วในปีก่อน • Backlog ล่าสุด และการคาดหมายการเซ็นงานใหม่ -43%, 34% และ 65% ในปี 50, 51 และ 52 กอปรการคาดหมาย Margin ดีขึ้นจากการรับรู้รายได้จากโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ที่มี Margin 0% ที่หมดไปในปี 51 ทำให้เราคาดหมายกำไรปี 52 จะเติบโต 15%จากการทรงตัวในปี 51 • ราคาหุ้นยังซื้อขายในระดับ P/E ที่ต่ำกว่าในอดีต
อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) FV Bt8.30 • ท่ามกลางการรอคอยงานในประเทศ ITD ได้เปรียบคู่แข่งในแง่ของช่องทางการหางานต่างประเทศผ่านบริษัทร่วม และประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศ • จากการคาดหมาย Momentum การเซ็นงานที่ดีขึ้นในปี 51 และปี 52 ที่เติบโต 26% และ 66% จาก –26%ในปี 50 เราคาดหมายกำไรต่อหุ้นทรงตัวในปี 50-51 ก่อนที่จะเติบโตกว่า 30% ในปี 52 • เรามองแนวโน้มกำไรดีขึ้นในช่วง 50-52 แต่ความไม่ชัดเจนในโครงการลงทุนเหมืองโปแตสในแง่ความเพียงพอของเงินลงทุน และผลได้จากการลงทุน เราจึงกำหนดราคาพื้นฐานที่ 8.30 บาท (อ้างอิงระดับ P/E-255227 เท่า)
Housing Sector : เข้าสู่วงจรเติบโตใหม่ • ตลาดที่อยู่อาศัยปี 50: ตลาดแนวราบอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยที่ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถสร้างยอดจองได้ดี ขณะที่ตลาดคอนโดฯในเมืองยังมีอัตราการขายที่ดี
Housing Sector : เข้าสู่วงจรเติบโตใหม่ • อย่างไรก็ตาม มุมมอง Supply ทางแนวราบจะดูมีความกดดันน้อยกว่าโครงการแนวสูง (คอนโด) • เรายังมองแนวโน้ม Demand ปีหน้ายังน่าจะเติบโตได้จากความชัดเจนทางการเมือง, ความเชื่อมั่นที่มากขึ้น, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทั้งนี้ เราเลือก PS ซึ่งมีรายได้จากแนวราบเป็นหลัก และอยู่ในระดับ Valuation ที่ไม่สูงโดยเปรียบเทียบ
Housing Sector : เข้าสู่วงจรเติบโตใหม่
พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) FV Bt9.30 • ผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยระดับล่าง พร้อมกับการสร้างโอกาสในการเติบโตจากตลาดคอนโดฯ ทั้งนี้ยอดจองรวม 9M50 ที่ 8.7 พันล้านบาท เติบโต 66% โดยยอดจองแนวราบเติบโต 26% ส่วนที่เหลือมาจากยอดจองคอนโดฯ 2.1 พันล้านบาท ทำให้เป้าหมายการขายที่ 10 พันล้านบาทยังเป็นไปได้ • ยอดจองที่ยังไปได้ดี เรายังมองรายได้และกำไรปี 50 เติบโต 10% และ 6% ทั้งนี้ Prospects ในปี 51 จะมาการเติบโตของรายได้และสัดส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีการประหยัดต่อขนาดมากขึ้นเรายังคาดหมายการเติบโตของกำไรปี 51 ที่ 14% • ระดับ P/E ยังถูกโดยเปรียบเทียบกับ Growth
กลุ่มบันเทิง : อุตสาหกรรมโฆษณา • ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์บ้านเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นผู้ บริโภคลดลง ส่งผลต่อเนื่องมายังผู้ลงโฆษณาให้ชะลอและประหยัดการใช้งบโฆษณา ซึ่งทั้งปี 2550 แนวโน้มจะเติบโตในระดับต่ำเทียบกับปี 2549 ที่ โต 4-5 เม็ดเงินโฆษณา 8.98 หมื่นล้านบาท โดยจะมีผลดีจากเลือกตั้งปลายปี
บีอีซี เวิลด์ (BEC) FV 25 บาท • 1H50 กำไรที่โต 25.33% YoY แม้รายได้จะเติบโตเพียง 5.99% YoY แต่การ บริหารจัดการต้นทุนและผังรายการที่ดีต้นทุนจึงลดลง • 2H50 คาดกำไรจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยใน 3Q50 คาดกำไรยังเพิ่มขึ้น 29.58% YoY และยังได้รับผลดีจากการปรับผังย่อยและปรับโฆษณาบางราย การ รวมถึงผลดีจากการเลือกตั้ง ทำให้ทั้งปีคาดว่ากำไรจะโต 31.95% • หลังเลือกตั้ง น่าจะเห็นนโยบายที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น อุตสาหกรรมโดยรวมน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น คาดจะส่งผลให้กำไรในปี 2551 เติบโตอีก 13.67% YoY โดยยังมีปัจจัยบวกในการปรับค่าโฆษณารออยู่ • ให้ติดตาม พรบ. กิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ที่อาจส่งผลลบต่อกำไร
อสมท (MCOT) FV 38.16 บาท • 1H50 ทั้งรายได้และกำไรลดลง จากทั้งภาวะเศรษฐกิจและปัญหาภายในองค์กรจากความไม่ชัดเจนของนโยบาย หลังจาก ผอ. คนเก่าลาออก • 2H50 จะฟื้นตัวโดดเด่น 41.74% จาก 1H50 หลังจากได้ ผอ. คนใหม่เข้ามากำหนดนโยบายและทิศทางที่ชัดเจน รวมไปถึงผลดีจากการเลือกตั้งและปรับค่าโฆษณา แต่ภาพโดยรวมทั้งปี 2550 จะยังคงลดลง 24.11% YoY • เช่นเดียวกับ BEC ภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นและฐานที่ต่ำในปี 2550 จะทำให้กำไรในปี 2551 เติบโต 27.31% YoY โดยยังมีปัจจัยการปรับขึ้นค่า โฆษณาและการปรับผังรายการต้นปี 2551 • ให้ติดตาม พรบ. กิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ที่อาจส่งผลลบต่อกำไร
กลุ่มพลังงาน - โรงกลั่น • คาดค่าการกลั่นใน 2H50 เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง HoH โดยค่าการกลั่น Dubai Crack งวด 3Q50 เท่ากับ 6.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล(+35% YoY, -33% QoQ) และค่าเฉลี่ย YTD เท่ากับ 7.56 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล(+26% YoY) • ตามการคาดการณ์ของ Fact, Spring 2551 ในปี 2551 ภูมิภาคเอเชียจะมีอุปทานส่วนเกิน 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่เราคาดว่าค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับสูงได้ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจาก 1)purchasing power ที่เพิ่มขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง 2)การเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค
ไทยออยล์ (TOP) FV 100 บาท • ในปี 2551 จะมีปัจจัยบวกจากการขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่นและปิโตรเพิ่มขึ้น 22%และ 114% • คาดราคาหุ้นของ TOP จะมีแรงกดดันจากผลประกอบการใน 2H50 ที่จะลดลงจากการปิดโรงงานเพื่อขยายกำลังการผลิต เป็นโอกาสเข้า “ซื้อ” เพื่อรอกำไรที่จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2551 • คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2550-51 เติบโต 4.2% และ 17.8%ตามลำดับ • ประเมินราคาพื้นฐานปี 2551 เท่ากับ 100 บาท บน P/E ที่ 10 เท่า
โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) FV 30 บาท • หลังควบรวมกับ ATC จะเป็นหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่อันดับ 11 มูลค่าเท่ากับ 146,487 ล้านบาท และเป็นโรงกลั่นและปิโตรเคมีใหญ่อันดับ 1 ของไทยซึ่งเป็นธุรกิจใกล้เคียงกับ TOP • คาดหุ้น RRC จะหยุดซื้อขายในวันที่ 20 ธ.ค.2550 และหุ้นใหม่จะเข้า Trade ในวันที่ 2 ม.ค.51 • คาดกำไรสุทธิในปี 2550 เพิ่มขึ้น 7% แต่ในปี 2551 ลดลง 4.5%แต่อย่างไรก็ตามในปี 2551 หุ้น RRC จะแปรสภาพเป็นหุ้นใหม่ที่มีการเติบโตดีจาก ARO2 ของ ATC • ประเมินราคาพื้นฐานปี 2551 เท่ากับ 30 บาท
ปตท. (PTT) FV 390 บาท • คาดกำไรใน 2H50 เพิ่มขึ้น 17% YoY แต่ลดลง 8.5% HoH โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตของปริมาณก๊าซผ่านท่อ และสำรวจผลิต(PTTEP) ส่วนธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรชะลอตัว • คาดการณ์กำไรก่อนรายการพิเศษในปี 2550 เท่ากับ 93,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% YoY กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 33.37 บาท • คาดในปี 2551 PTT จะมีกำไรกลับมาเติบโตที่ดีเพิ่มขึ้น 10.9%เป็น 103,762 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของธุรกิจหลักคือก๊าซธรรมชาติที่จะมีปริมาณก๊าซผ่านท่อเพิ่มขึ้น และการเติบโตของบ.ย่อย/ร่วมที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น • ประเมินราคาพื้นฐานปี 2551 เท่ากับ 390 บาท ด้วยวิธี sum of the part
ปตท. สำรวจ&ผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) FV Bt170 • ราคาน้ำมันดิบขึ้นไปทำ New high ที่ US$76.88 ต่อบาร์เรลราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับที่สูง 9 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ US$63.28 ต่อบาร์เรล • ปี 2551 ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นประมาณ 28.2%YoY จาก 188,000 BOED เป็น 241,000 BOED ซึ่งเป็นการขยายตัวจากแหล่งใหม่คือแหล่งอาทิตย์ที่เริ่มส่งก๊าซเดือนกุมภาพันธ์ 2551 • การเติบโตต่อเนื่องปี 2551 จากแหล่งอาทิตย์และเวียดนาม 9-2 ส่วน 2552 จากแหล่ง MTJDA • ราคาพื้นฐาน 170 บาทต่อหุ้นใช้ราคาน้ำมันดูไบ US$68/บาร์เรล ในปี2551
Energy Sector : IPP Project • กฟผ. เปิดโอกาสให้เอกชนเข้าประมูลโครงการ IPP โดยในรอบแรก 3,200MW หรือประมาณ 4 โครงการแบ่งเป็นโครงการละ 800 MW ต่อโครงการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วงปี 2554-2557 ปี 2555-800MW, 2556-800MW, 2557 –1,600MW • วันที่ 19 ต.ค. นี้เอกชนผู้สนใจจะเข้าร่วมการประมูลและจะประกาศผลในเดือนพฤศจิกายนและจะทำสัญญา PPA ช่วงเดือนมิถุนายน 2251 • ผู้ที่มีโอกาสจะชนะการประมูลเช่น EGCO, RATCH, TOP,
ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) FV Bt52 • เป็นเต็งหนึ่งที่มีโอกาสจะชนะการประมูลโครงการ IPP จะประมูล 3 โครงการ ( ราชบุรีส่วนขยาย, ไตรเอนเนอจี้, ร่วมทุนกับ ROJANA) หากชนะ 1 โครงการที่ 800 MW จะมีมูลค่าพื้นฐานเพิ่มขึ้นประมาณ 4.5-5 บาทต่อหุ้นเพิ่มจากราคาพื้นฐานที่ 52 บาทต่อหุ้น • มีโอกาสร่วมลงทุนในโครงการหงสาที่ BANPU ได้ทำสัญญากับรัฐบาลลาวเพื่อรับสิทธิเข้าศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า 1,800 เมกะวัตต์และเหมืองถ่านหินต.หงสามูลค่าการลงทุน US$2000 ล้าน (โรงไฟฟ้า US$1,800 ล้านเหมืองถ่านหิน US$200 ล้าน) เพราะเป็นพันธมิตรที่ดีกับ BANPU โดย BANPU ถือหุ้นใน RATCH 14.99%
ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) FV Bt52 • กำไรปี 2551 จะสูงขึ้นเพราะจะเริ่มรับรู้รายได้จากราชบุรีเพาเวอร์ (โรงไฟฟ้าหินกรูดเดิม) ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 25% เริ่มเฟสที่ 1 มี.ค.51 และเฟสที่ 2 มิ.ย. 51 โครงการละ 700 เมกะวัตต์และก็ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่เท่ากับในปี 2550 จึงคาดว่าจะมีกำไรุสทธิเพิ่มขึ้นเป็น 6,520 ล้านบาท
ผลิตไฟฟ้า (EGCO) FV Bt120 • มีโอกาสที่จะชนะโครงการ IPP ด้วยทาง EGCO ตั้งเป้าจะชนะประมาณ 30% ของการประมูลคาดว่าจะประมูล 3 โครงการ 1) โรงไฟฟ้าขนอม 2) ปลวกแดง จ.ระยอง 3) จอมบึง จ.ราชบุรีซึ่งหากสามารถชนะได้ 1 โครงการ(800MW) มูลค่าหุ้นจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 12-13 บาทต่อหุ้นจากราคาพื้นฐาน 120 บาทต่อหุ้น • กำไรปีนี้โดดเด่นจากธุรกิจไฟฟ้าของ BLCP ที่เข้าไปถือหุ้น 50% สำหรับโรงไฟฟ้าระยองและขนอมเริ่มมีกำไรลดลงเป็นไปตามสัญญา PPA แต่ก็มีส่วนเพิ่มจากรับรู้กำไรจากจีพีจี (กัลฟ์เพาเวอร์เจเนอเรชั่น) เข้ามาเมื่อพ.ค. 50 (734MW)