711 likes | 4.09k Views
2. ทฤษฎีนำเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ( Behavioral theories of leadership ). คำนึงถึงตัวเองเป็นหลัก. คำนึงถึงผู้อื่นเป็นหลัก. ทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นำ ( Behavior Theory ) ของ มหาวิทยาลัยโอไฮโอ. 4.1 พฤติกรรมมุ่งงาน ( initiating structure )
E N D
2. ทฤษฎีนำเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral theories of leadership)
คำนึงถึงตัวเองเป็นหลักคำนึงถึงตัวเองเป็นหลัก คำนึงถึงผู้อื่นเป็นหลัก
ทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นำ (Behavior Theory) ของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ 4.1 พฤติกรรมมุ่งงาน (initiating structure) - มุ่งความสำเร็จขององค์กรในเรื่องเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างของงานและองค์กร กำหนดคุณลักษณะของงานที่ต้องการ กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ร่วมองค์กร กำหนดวิธีการสื่อสาร กระบวนการและวิธีการทำงาน เป็นต้น - ลักษณะผู้นำ: ยึดความคิดตนเอง ชอบใช้อำนาจ ให้ความสำคัญกับเรื่องงานมากกว่าสิ่งใด
4.2 พฤติกรรมมุ่งสัมพันธ์ (Considertion) - แสดงความรู้สึกไวต่อการรับรู้ต่อผู้ตาม ในแง่การให้การยอมรับ ไว้วางใจ แสดงความชื่นชม ฯลฯ - ลักษณะของผู้นำ: ให้ผู้ตามเข้ามามีส่วนร่วม มีการปรึกษาหารือ การกระจายอำนาจ ให้เกียรติให้การยกย่อง
ทฤษฎีผู้นำแบบตารางบริหารของเบลคและมูตัน(Managerial Grid Theory) สูง สัมพันธ์ ต่ำ สูง งาน
แบ่งผู้นำไว้เป็น 5 แบบ คือ 1.แบบเรื่องเฉื่อย หรือ 1,1 (Impoverished) 2.แบบมิตรภาพสังสรรค์ หรือ 1,9 (country club) 3.แบบเน้นงาน หรือ 9,1 (task) 4.แบบเดินสายกลาง หรือ 5,5 (middle of the road) 5.แบบทำงานเป็นทีม หรือ 9,9 (team)
ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำกับสมาชิก(Leader-Member Exchange Theory: LMX) คนวงใน (In- group) คนวงนอก (Our- group)
3. กลุ่มทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์ (Contingency Theory) ทฤษฎีของ Fiedler ทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์ของเฮอเซย์และบลังชาร์ด(The situational theory,Herseyและ Blanchard 1977) ทฤษฎีวิถีทาง - เป้าหมาย
ทฤษฎีของ Fiedler แบบภาวะผู้นำ : ถูกกำหนดโดยระบบแรงจูงใจของผู้นำ 2) การควบคุมสถานการณ์ขึ้นอยู่กับสามปัจจัย คือ บรรยากาศของกลุ่ม โครงสร้างของงาน และอำนาจในตำแหน่งของผู้นำ 3) ประสิทธิผลของกลุ่มขึ้นอยู่กับการจับคู่ (Matching) ที่เหมาะสม ระหว่างแบบภาวะผู้นำกับการควบคุมสถานการณ์
2) การควบคุมสถานการณ์ บุคคลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบภาวะผู้นำของตนเองได้ แต่โมเดลของเขาจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถพิจารณาสถานการณ์ที่เป็นที่พึงพอใจมากที่สุดสำหรับรูปแบบภาวะผู้นำในสถานการณ์หนึ่งๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำองค์การ (Leader-member relation) หมายถึง ระดับความไว้วางใจของผู้ปฏิบัติงานในองค์การและผู้นำ โครงสร้างของงาน (Task structure) หมายถึง ความชัดเจนของเป้าหมายในการทำงาน การมีมาตรฐานที่เข้าใจ การมีระเบียบการปฏิบัติงานที่ชัดเจนง่ายขึ้น อำนาจที่ตามตำแหน่ง (Position power) หมายถึง ระดับของการให้รางวัล และการลงโทษที่ผู้นำมีอิทธิพลต่อผู้ปฏิบัติงาน
3) ประสิทธิผลของกลุ่มขึ้นอยู่กับการจับคู่ (Matching) ที่เหมาะสม ระหว่างแบบภาวะผู้นำกับการควบคุมสถานการณ์
ความเหมาะสมของแบบภาวะผู้นำที่ทำให้กลุ่มมีประสิทธิผลสูงสุดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เอื้อต่อผู้นำ 1) ในสถานการณ์ที่ต้องควบคุมมาก ผู้นำแบบมุ่งงาน (มีแอลพีซีต่ำ) จะมีประสิทธิผลสูงกว่าผู้นำแบบมุ่งความสัมพันธ์ 2) ในสถานการณ์ที่ต้องควบคุมปานกลาง ผู้นำแบบมุ่งสัมพันธ์ (หรือมีแอลพีซีสูง) จะมีประสิทธิผลสูงกว่าผู้นำแบบมุ่งงาน 3) ในสถานการณ์ที่ควบคุมน้อย ผู้นำแบบมุ่งงาน (มีแอลพีซีต่ำ) จะมีประสิทธิผลสูงกว่า ผู้นำแบบมุ่งความสัมพันธ์
ทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์ของเฮอเซย์และบลังชาร์ด(The situational theory,Herseyและ Blanchard 1977) ได้นำพฤติกรรมผู้นำ 2 มิติ คือ แบบมุ่งงาน และ แบบ มุ่งสัมพันธ์มาผสมผสานกัน เกิดรูปแบบผู้นำ 4 แบบ ดังรูป
สูง S3 S2 คน S4 S1 ต่ำ สูง สูง วุฒิภาวะผู้ตาม M4 M3 M2 M1
ทฤษฎีวิถีทาง-เป้าหมาย (Path - Goal Theory) เป็นทฤษฎีเชิงสถานการณ์ที่พัฒนาโดยเฮาส์และมิทเชลล์ (House & Mitchell, 1974) ความรับผิดชอบของผู้นำก็คือ การเพิ่มแรงจูงใจให้แก่ผู้ตามให้สามารถบรรลุได้ทั้งเป้าหมายส่วนตนและเป้าหมายขององค์การในขณะเดียวกันซึ่งผู้นำสามารถเพิ่มแรงจูงใจ แก่ผู้ตามได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งในสองวิธีต่อไปนี้
1) ทำให้วิถีทางที่ผู้ตามจะได้รับรางวัลตอบแทนให้มีความชัดเจน (Path clarification) ซึ่งได้แก่การที่ผู้นำทำความตกลงที่ชัดเจนกับผู้ตามเพื่อกำหนดพฤติกรรมหรือวิธีการทำงานให้สำเร็จแล้ว จะได้รับรางวัลตอบแทนจากองค์การอย่างไร 2) ใช้การเพิ่มปริมาณรางวัล (Increase rewards) ที่ผู้ตามยอมรับในคุณค่าและมีความต้องการซึ่งได้แก่ การที่ผู้นำพูดคุยกับผู้ตามเพื่อจะได้ทราบว่า รางวัลอะไรที่ผู้ตามถือว่าสำคัญแก่ตน กล่าวคือ ผู้ตามต้องการรางวัลที่เป็นแรงจูงใจภายในที่เกิดจากงานเองหรือ ต้องการรางวัลที่เป็นแรงจูงใจจากภายนอก เช่น การขึ้นเงินเดือน หรือการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น เป็นต้น
องค์ประกอบต่าง ๆ ของทฤษฎีวิถีทาง – เป้าหมาย 1) พฤติกรรมผู้นำ (Leader behaviors) 2) คุณลักษณะส่วนบุคคลของผู้ใต้บังคับบัญชา (Subordinate characteristics) 3) คุณลักษณะของงาน (Task characteristics) และ 4) การจูงใจ (Motivation)
พฤติกรรมผู้นำ (Leader Behavior) ภาวะผู้นำแบบสนับสนุน (Supportive leadership) ภาวะผู้นำแบบสั่งการ (Directive leadership) ภาวะผู้นำแบบมุ่งความสำเร็จของงาน (Achievement – oriented Leadership) ภาวะผู้นำแบบให้มีส่วนร่วม (Participative leadership)
ทฤษฎีภาวะผู้นำใหม่เชิงเสน่หา (Neocharismatic Theories) ทฤษฎีภาวะผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึง ผู้นำอีกประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการได้รับการยอมรับยกย่องอย่างสูงจากลูกน้องหรือบุคคลทั่วไป เนื่องจากบุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่เหนือกว่าคนทั่วไป มหาตมะ คานธี ผู้นำที่อุทิศตนในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย มาติน ลูเธอร์ คิง ผู้นำในการต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกันของมนุษย์
พฤติกรรมการแสดงออกว่ายอมรับในความเป็นผู้นำ 1. มั่นใจว่า ความคิดหรือความเชื่อของผู้นำคือสิ่งที่ถูกต้อง 2. มีความเชื่อที่คล้ายกับผู้นำ 3. แสดงการยอมรับต่อผู้นำโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ 4. แสดงการให้ความรักและพึงพอใจต่อผู้นำ 5. เต็มใจที่จะเคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำ 6. พยายามลอกเลียนแบบและเอาอย่างผู้นำ 7. มีความรู้สึกร่วมกับผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ 8. พยายามยกระดับเป้าหมายของกลุ่มหรือองค์การให้สูงขึ้น 9.รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและให้ความร่วมมือช่วยให้งานหรือองค์การบรรลุเป้าหมาย
ทฤษฎีภาวะผู้นำแบบเปลี่ยนสภาพ (Transformational Leadership) กระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือการแปรสภาพในตัวบุคคล โดยผู้นำจะมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงเรื่องค่านิยม คุณธรรม มาตรฐานและการมองการณ์ไกลไปในอนาคต ผู้นำเปลี่ยนสภาพจะให้ความสำคัญต่อการประเมินเพื่อทราบถึงระดับแรงจูงใจของผู้ตาม แล้วพยายามหาแนวทางตอบสนองความต้องการและปฏิบัติต่อผู้ตามด้วยคุณค่าความเป็นมนุษย์ ภาวะผู้นำแบบเปลี่ยนสภาพจะกว้างขวางครอบคลุมแนวคิดของภาวะผู้นำโดยเสน่หา (Charismatic leadership) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ (Visionary leadership) รวมทั้งภาวะผู้นำเชิงวัฒนธรรม (Cultural leadership) ด้วย
ทฤษฎีภาวะผู้นำแบบเปลี่ยนสภาพของแบส(Bass’s Theory of Transformational Leadership) 1) ทำให้ผู้ตามเกิดตระหนักในความสำคัญของผลงานที่เกิดขึ้น 2) โน้มน้าวจิตใจของผู้ตามให้เปลี่ยนจากการยึดในผลประโยชน์ของตนเอง มาเป็นการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมขององค์การและหมู่คณะแทน 3) กระตุ้นให้ผู้ตามยกระดับของความต้องการที่สูงขึ้นกว่าเดิม (Higher order needs) แม้ว่ากระบวนการอิทธิพลที่เกิดจากภาวะผู้นำแบบเปลี่ยนสภาพจะยังไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนก็ตาม แต่ทฤษฎีนี้ก็เชื่อว่า ภาวะผู้นำแบบเปลี่ยนสภาพจะส่งเสริมแรงจูงใจและผลงานของผู้ตามได้มากกว่า ภาวะผู้นำแบบแลกเปลี่ยน
พฤติกรรมแบบเปลี่ยนสภาพ (Transformational Behaviors) พฤติกรรมแบบแลกเปลี่ยน (Transactional Behaviors) การให้รางวัลตามสถานการณ์ (Contingent rewards) การบริหารแบบวางเฉยเชิงรุก (Active management by exception) การบริหารแบบวางเฉยเชิงรับ (Passive management by exception) ภาวะผู้นำแบบปล่อยตามสบาย (Laissez-faire leadership) • อิทธิพลด้านอุดมการณ์ (Idealized influence) • การมุ่งความสัมพันธ์เป็นรายคน (Individualized consideration) • การจูงใจด้านแรงดลใจ (Inspirational motivation) • การกระตุ้นการใช้ปัญญา (Intellectual stimulation)