1 / 30

สรุปรวบรวมโดย ดร.พลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง ผู้ทรงคุณวุฒิใน กคศ. ศธ.

แนวทางในการจัดทำผลงานทางวิชาการอย่างมีคุณภาพ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ว. 17 ของ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (รองฯ) สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (คศ. 4 ) และเชี่ยวชาญพิเศษ (คศ. 5 ). สรุปรวบรวมโดย ดร.พลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง ผู้ทรงคุณวุฒิใน กคศ. ศธ. 1. ผู้ร้องขอต้องผ่านการประเมิน 3 ด้าน คือ.

niveditha
Download Presentation

สรุปรวบรวมโดย ดร.พลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง ผู้ทรงคุณวุฒิใน กคศ. ศธ.

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. แนวทางในการจัดทำผลงานทางวิชาการอย่างมีคุณภาพตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ว.17 ของ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (รองฯ) สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (คศ.4) และเชี่ยวชาญพิเศษ (คศ.5) สรุปรวบรวมโดย ดร.พลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง ผู้ทรงคุณวุฒิใน กคศ. ศธ.

  2. 1. ผู้ร้องขอต้องผ่านการประเมิน 3 ด้าน คือ 1.1 ด้านที่ 1 ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ (สำหรับทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ) โดยผู้ขอรับการประเมินรายงานพฤติกรรมที่แสดงถึงความเป็นผู้มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ และรวบรวมเอกสารหลักฐานอ้างอิงไว้ที่สถานที่ปฏิบัติงานเพื่อรอรับการประเมินจากคณะกรรมการชุดที่ 1 มีคะแนน 100 คะแนน แบ่งเป็น 5 ตอนๆ ละ 20 คะแนน ตอนที่ 1การมีวินัย (5 ตัวบ่งชี้/พฤติกรรม) ตอนที่ 2การประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี (มี 5 ตัวบ่งชี้) ตอนที่ 3การดำรงชีวิตอย่างเหมาะสม (5 ตัวบ่งชี้) ตอนที่ 4ความรักและความศรัทธาในวิชาชีพ (5 ตัวบ่งชี้) ตอนที่ 5 ความรับผิดชอบในวิชาชีพ (5 ตังบ่งชี้)

  3. 1.2 ด้านที่ 2 ด้านความรู้ความสามารถ คะแนนเต็ม 100 คะแนน ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1.2.1ส่วนที่ 1การเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารและจัดการศึกษาคะแนนเต็ม 60 คะแนน มีการรายการประเมิน 5 รายการ จำนวน 15 ตัวบ่งชี้ 1) การบริหารงานทั่วไป (20 คะแนน) มี 5 ตังบ่งชี้ 2) การพัฒนาด้านวิชาการ (16 คะแนน) มี 4 ตัวบ่งชี้ 3) การบริหารบุคคล (12 คะแนน) มี 3 ตังบ่งชี้ 4) การบริหารงบประมาณการเงินและทรัพย์สิน (8 คะแนน) มี 2 ตัวบ่งชี้ 5) งานอื่นที่ได้รับมอบหมาย (4 คะแนน) มี 1 ตัวบ่งชี้ 1.2.2ส่วนที่ 2การพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการบริหารและจัดการศึกษา คะแนนเต็ม 40 คะแนน มี 1 รายการประเมิน คือ การประเมินตนเอง มี 6 ตังบ่งชี้

  4. 1.3 ด้านที่ 3 ด้านผลการปฏิบัติงาน คะแนนเต็ม 100 ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1.3.1 ส่วนที่ 1 ผลการพัฒนาคุณภาพในเชิงการบริหารและจัดการศึกษา (60 คะแนน) 1) ผลงานการพัฒนาที่เกิดกับผู้เรียน มี 6 ตัวบ่งชี้ คือ ตัวบ่งชี้ที่ (1) ค่าเฉลี่ยผลการทดสอบระดับชาติ เช่น O – Net หรือ NT หรือ LAS หรือผลการทดสอบอื่นๆ ในภาพรวมทุกสาระการเรียนรู้ ในระดับชั้นใดชั้นหนึ่ง (2) ร้อยละของจำนวนผู้เรียนที่มีคะแนนผลการทดสอบตามข้อ (1) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับชาติ (3) ร้อยละของจำนวนประชากรในวัยเรียนที่ได้รับการศึกษาภาคบังคับ (4) ร้อยละของจำนวนประชากรในวัยเรียนที่เข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับแล้วสำเร็จการศึกษา (5) ร้อยละของจำนวนประชากรในวัยเรียนการศึกษาภาคบังคับและศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปรายหรือเทียบเท่าทั้งสายสามัญและสายอาชีพ (6) ร้อยละของจำนวนนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ประสบความสำเร็จ

  5. 2) ผลการพัฒนาที่เกิดกับบุคลากรทางการศึกษา ตัวบ่งชี้ คือ บุคลากรทางการศึกษาปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น (มีระบบการบริหารจัดการที่ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรทางการศึกษาสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา) 3) ผลการพัฒนาที่เกิดกับสถานศึกษา ตัวบ่งชี้ คือ สถานศึกษามีความเข้มแข็งในการบริหารจัดการศึกษา 4) ผลการพัฒนาที่เกิดกับหน่วยงาน มี 2 ตังบ่งชี้ คือ ตัวบ่งชี้ ที่ 1 คือ ผลการประเมินประสิทธิภาพตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ ตัวบ่งชี้ ที่ 2 คือ ผลการประเมินสภาพแวดล้อมของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 5) ความพึงพอใจของสถานศึกษา ตัวบ่งชี้ คือ ระดับความพึงพอใจของสถานศึกษาที่มีต่อการบริหารและการจัดสถานศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ดูว่ามีมากน้อยเพียงใด)

  6. 1.3.2 ส่วนที่ 2ผลงานวิชาการ (40 คะแนน) 1) ด้านคุณภาพของผลงานวิชาการ (20 คะแนน) มี 4 ตัวบ่งชี้ คือ (1) ความถูกต้องตามหลักวิชาการ (7 คะแนน) (2) ความสมบูรณ์ของเนื้อหาสาระ (6 คะแนน) (3) ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (4 คะแนน) (4) การพิมพ์และการจัดทำรูปเล่ม (3 คะแนน) 2) ประโยชน์ของผลงานทางวิชาการ (20 คะแนน) มี 2 ตัวบ่งชี้ คือ (1) ประโยชน์ต่อผู้เรียน ครู บุคลากรทางการศึกษา การจัดการศึกษา หน่วยงานการศึกษา และชุมชน (10 คะแนน) (2) ประโยชน์ต่อความก้าวหน้าทางวิชาการ และการเผยแพร่ในวงวิชาการ (10 คะแนน)

  7. 2. อำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (รองฯ)ให้ยึด มาตรา 24 พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 ที่กำหนดไว้ว่าให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้บริหารราชการในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา และมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) รับผิดชอบการปฏิบัติราชการที่เป็นอำนาจหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และตามที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามอบหมาย (2) เสนอแนะการบรรจุแต่งตั้ง และการบริหารงานบุคคลในเรื่องอื่นที่อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา (3) พิจารณาเสนอความดีความชอบของผู้บริหารศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาในหน่วยงานการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

  8. (4) จัดทำแผนและส่งเสริมการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา (5) จัดทำทะเบียนประวัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา (6) จัดทำมาตรฐานคุณภาพงาน กำหนดภาระงานขั้นต่ำและเกณฑ์การประเมินผลงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (7) ประเมินคุณภาพการบริหารงานบุคคลและจัดทำระบบงานบริหารงานบุคคลเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาเพื่อเสนอ ก.ค.ศ. ต่อไป (8) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายอื่นหรือตามที่ ก.ค.ศ. มอบหมาย

  9. 3. ในมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กำหนดไว้ว่า ให้มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อทำหน้าที่ในการดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 36 (ไปค้นดู) และให้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นและมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้ (1) อำนาจหน้าที่ในการบริหารและการจัดการศึกษา และพัฒนาสาระของหลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2) อำนาจหน้าที่ในการพัฒนางานด้านวิชาการ และจัดให้มีระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาร่วมกับสถานศึกษา

  10. (3) รับผิดชอบในการพิจารณาแบ่งส่วนราชการภายในสถานศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด สำนักงานตามวรรคหนึ่ง มีผู้อำนวยการเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักงานให้เป็นไปตามนโยบาย แนวทาง และแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง (ศธ.)...... ในสำนักงานตามวรรคหนึ่ง จะให้มีรองผู้อำนวยการเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการรองจากผู้อำนวยการเพื่อช่วยปฏิบัติราชการก็ได้ รองผู้อำนวยการหรือผู้ดำรงตำแหน่งนี้เรียกชื่ออย่างอื่นในสำนักงาน มีอำนาจหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการกำหนดหรือมอบหมาย

  11. 4 . สรุปงาน 5 ด้านที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 4.1 ด้านการบริหารงานทั่วไป (1) ความสามรถในการจัดระบบข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษา (2) ความสามรถในการวางแผนการพัฒนาการศึกษาและแผนปฏิบัติการประจำปีในการบริหารจัดการศึกษาครอบคลุมภารกิจขององค์การ และสอดคล้องกับนโยบายทุกระดับ (3) ความสามรถในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม (4) ความสามารถในการประสานงาน ระดมทรัพยากร และมีส่วนร่วมการจัดการศึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน (5) ความสามารถในการกำกับ ตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลและนิเทศการปฏิบัติตามแผนงานของเขตพื้นที่การศึกษา

  12. 4.2 การพัฒนาด้านวิชาการ (1) ความสามารถในด้านการพัฒนาด้านวิชาการ (2) ความสามารถในการส่งเสริม การใช้และพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน (3) ความสามารถในการส่งเสริม สนับสนุน การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี แหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ (4) ความสามารถในการจัดการระบบประกันคุณภาพการศึกษา

  13. 4.3 ด้านการบริหารงานบุคคล (1) ความสามารถในการสรรหา บรรจุ และแต่งตั้งบุคลากรตามหลักธรรมาภิบาล (2) ความสามารถในการพัฒนาบุคลากรให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (3) ความสามารถในการเสริมสร้างขวัญกำลังใจ 4.4 ด้านการบริหารงบประมาณ (1) ความสามารถในการบริหารการเงินและงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ (2) ความสามารถในการบริหารจัดการทรัพย์สินของทางราชการให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า 4.5 ด้านงานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย

  14. 5. ขั้นต้อนการพัฒนางานในอำนาจหน้าที่ของ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน 5 ขั้น (5 ร.) ดังนี้ 5.1 ขั้นรวมคนรวมพลัง– สร้างเป้าหมายเพื่อสร้างพลังกลุ่มในการดำเนินงาน 5.2 ขั้นร่วมคิดร่วมวางแผน– กำหนดแนวทางวางแผนเพื่อให้บรรลุผล เพื่อสร้างพลังความคิด 5.3 ขั้นร่วมทำร่วมดำเนินงาน – แบ่งงานกันทำตามถนัดให้เกิดพลังการจัดการ เพื่อพลังการจัดการที่มีประสิทธิภาพ 5.4 ขั้นร่วมสรุปเป็นบทเรียน– ตรวจสอบ ประเมินผล สรุปเป็นองค์ความรู้ เพื่อสร้างพลังปัญญา 5.5 ขั้นร่วมรับผลการกระทำและนำมายกย่องเชิดชู– รับผลที่เกิดขึ้นยกย่อง และเชิดชู เพื่อสร้างพลังปิติ

  15. 6. บทบาทหน้าที่ (การทำหน้าที่) 5 ประการ ของ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาในการพัฒนางานในอำนาจหน้าที่ฯ ให้บรรลุตามที่ตั้งเป้าหมาย คือ 6.1 ศึกษา (หรือสร้างปัญญา) โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ 3 ขั้น คือ 6.1.1 ขั้นรับข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และยุทธศาสตร์เข้ามาสู่ตนโดยการผ่านตา หู สัมผัส หรือกิจกรรม สุ-จิ-ปุ-ลิ เช่น การเห็น การอ่าน การฟัง การเขียน การสัมผัสด้วยประสาทต่าง ๆ (สตะมายะปัญญา) 6.1.2 ขั้นนำข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และยุทธศาสตร์ที่รับเข้ามาสู่ตนไปสู่กระบวนการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิดจัดระบบและเชื่อมโยง คิดใคร่ครวญไตร่ตรอง ทำให้ถูกต้อง (โยนิโสมานะสิการ) จนเกิดเป็นแนวคิดที่สร้างสรรค์พัฒนาและต่อยอด เกิดเป็นแนวคิดใหม่ในการแก้พัฒนาและพัฒนางาน (จินตะมายะปัญญา)

  16. 6.1.3 ขั้นนำแนวคิดใหม่ที่สร้างสรรค์และพัฒนาไปทดลองไปปฏิบัติ ไปฝึกฝนจนประเมินผลได้ชัดเจน ถูกต้องเป็นจริงจึงนำไปพิสูจน์และสรุปผลได้ว่า ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และยุทธศาสตร์ที่รับเข้ามาในขั้นที่ 1 นั้น เป็นข้อมูลข่าวสาร ความรู และยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง เป็นของจริง / ของแท้นำมาใช้จริงได้ (ภาวะนามายะปัญญา) 6.2 ปฏิบัติ (ลงมือทำ) โดยการนำข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง ไปปฏิบัติให้เกิดผลให้สำเร็จผลตามเป้าหมาย 6.3 สัมผัสผล (รับผล) 6.4 เผยแพร่

  17. 7. คำถาม – คำตอบ เพื่อนำไปสู่การทำผลงานวิจัยทางการศึกษาเพื่อขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตาม ว. 17/2552 7.1 ฉันนั้นคือใคร ? (ฉันคือครูผู้สอน...ฉันคือผู้บริหารสถานศึกษา...ฉันคือ...) 7.2 ฉันมีหน้าที่อะไร ? (ให้บอกหน้าที่แต่ละตำแหน่งทั้ง 4 – 6 ตำแหน่ง) 7.3 ในการทำหน้าที่ของฉันนั้นมีปัญหาสำคัญที่สุดคืออะไร ? (ระบุปัญหา) 7.4 มีหลักฐานอะไรบ้างที่แสดงว่าเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดในการทำหน้าที่ของฉันจริง ? (ต้องมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาแสดง) 7.5 ปัญหาของฉันมีสาเหตุที่แท้จริงอย่างไร ? (บอกสาเหตุของปัญหา) 7.6 จากสภาพปัญหาและสาเหตุที่ฉันพบ จะมีแนวทางในการแก้ปัญหาและพัฒนาอย่างไร? (หาแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนา)

  18. 7.7 จากสภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา และแนวทางการแก้ปัญหาและพัฒนาที่ฉันพอ จะนำมาสร้างเป็นกรอบแนวคิดในการแก้ปัญหา หรือ กรอบแนวคิดในการวิจัย ได้อย่างไร? (กำหนดกรอบแนวคิดในการแก้ปัญหา หรือ กรอบกรอบแนวคิดในการวิจัย โดยวิเคราะห์สังเคราะห์และพัฒนาจากสภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา และแนวทางแก้ปัญหา โดยการกำหนดตัวแปรที่จะศึกษาวิจัย คือตัวแปรต้น คือ สาเหตุหรือต้นเหตุที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ คือ แปรตามซึ่งก็คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น สำหรับหน้าที่ของผู้วิจัยก็คือการหาวิธีพิสูจน์ให้เห็น ว่าตัวแปรต้นนั้นคือต้นเหตุหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดผลลัพธ์หรือตัวแปรตามที่เราระบุไว้จริง เรียกวิธีพิสูจน์หรือวิธีทดสอบว่าตัวแปรต้นเป็นต้นเหตุหรือสาเหตุทำให้เกิดตัวแปรตามผลลัพธ์ที่ระบุไว้แล้วนั้นจริงว่า “วิธีวิจัย (Research Methodology) หรือกระบวนการวิจัย ดังนั้น กรอบแนวคิดการวิจัยจึงประกอบด้วยอย่างน้อย 3 ส่วน คือ (1) ตัวแปรต้น (2) ตัวแปรตาม และ (3) วิธีวิจัย/กระบวนการวิจัย/วิธีการศึกษาซึ่งกรอบแนวคิดการวิจัยเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการทำวิจัยจะต้องสร้างหรือกำหนดให้ได้ก่อนลงมือทำวิจัย เพราะจะเป็นส่วนที่ต้องนำไปใช้ในทุกบทของกระบวนการวิจัย”)

  19. 7.8 จากกรอบแนวคิดการวิจัยที่กำหนดขึ้น หัวข้อการวิจัยหรือชื่อเรื่องการวิจัยครั้งนี้ควรตั้งชื่อว่าอย่างไร? [การกำหนดหัวข้อการวิจัย/ชื่อเรื่องการวิจัยต้องเป็นเหตุเป็นผลและเหมาะสม นั้นคือชื่อเรื่องการวิจัยต้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกับตัวแปรต้น (ต้นเหตุ/สาเหตุ) กับตัวแปรตาม (ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากตัวแปรต้น) โดยกำหนดให้กะทัดรัด ไม่สั้นไม่ยาวเกินไป] 7.9 เมื่อได้ชื่อเรื่องการวิจัยและกรอบแนวคิดการวิจัยแล้ว ก็นำมาทำเค้าโครงการวิจัยว่าควรประกอบด้วยบทที่เท่าไร และหัวข้ออะไรบ้าง ? (จัดทำเค้าโครงการวิจัย Rescareh Proposal) โดยการเขียน 3 บทแรก คือ บทที่ 1 หรือ บทนำ บทที่ 2 และ บทที่ 3) 7.10 ในการเขียนบทที่ 1 หรือบทนำมีหัวข้อย่อยอะไรบ่าง? หมายเหตุ :แต่คำถามข้อ 7.10 (บทที่ 1) ข้อ 7.11 (บทที่ 2) ข้อ 7.12 (บทที่ 3) ข้อ 7.13 (บทที่ 4) ข้อ 7.14 (บทที่ 5) ขอให้ดูราบละเอียดในหัวข้อ 8 ถัดไปนี้

  20. 8. ข้อคิดเห็นที่เกี่ยวกับงานวิจัยทางการศึกษาเพื่อขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตาม ว. 17/2552 1. งานวิจัย ในการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะฯตาม ว.17ต้องเป็นงานวิจัยทางการศึกษา เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่ของตำแหน่งครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์ 2. งานวิจัยทางการศึกษา ตาม ว.17 ต้องเน้นที่การส่งเสริมเรียนรู้ของผู้เรียนหรือการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของครู การบริหารจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ บรรลุเป้าหมายตามเกณฑ์มาตรฐานของชาติ เกณฑ์มาตรฐานปฐมวัยและตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารการศึกษาและผู้บริหารการศึกษา และเกี่ยวข้องกับกระบวนการนิเทศการศึกษาของศึกษานิเทศก์ในการส่งเสริมประสิทธิภาพ ประสิทธิผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ ครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ ส่งผลให้สถานศึกษาโรงเรียนเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ที่สร้างคุณภาพและแข่งขันได้

  21. 3. งานวิจัยทางการศึกษา ตาม ว.17 ต้องเน้นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชนหรือท้องถิ่นเป็นลำดับแรกและประโยชน์ความก้าวหน้าทางวิชาการ วิชาชีพ เป็นลำดับต่อไป 4. งานวิจัยทางการศึกษา ตาม ว.17 อาจเป็นงานวิจัยปฏิบัติการ (Action Research) หรือวิจัยชั้นเรียน(Classroom Research) การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ หรือการวิจัยแบบผสมเชิงปริมาณและคุณภาพ (Mixed ) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบวิจัยที่สอดคล้องกับปัญหาที่ต้องการศึกษา 5. งานวิจัยทางการศึกษา ต้องเริ่มโดยการค้นหรือระบุปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์ ให้พบและต้องมีหลักฐานมาแสดงหรืออ้างอิง จากนั้นก็มาทำการวิเคราะห์หาสาเหตุหรือเหตุหรือค้นเหตุแห่งปัญหา หาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี งานวิจัย อาจรวมถึง Bert Practice เพื่อทำเป็นข้อมูลกำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ซึ่งกรอบแนวคิดการวิจัยจะทำให้ผู้วิจัยเห็นตัวแปรที่จะศึกษาวิจัย คือ ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ และตัวแปรตาม

  22. 6. กรอบแนวคิดการวิจัย เป็นโครงสร้างสำคัญซึ่งผู้วิจัยจะต้องกำหนดให้ชัดเจนเป็นอันดับแรก เพราะจากกรอบแนวคิดการวิจัยจะนำไปเป็นกรอบพิจารณา (1) กำหนดหัวข้อการวิจัยที่เป็นเหตุเป็นผลและเหมาะสม (2) การกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยที่สอดคล้องกับหัวข้อเรื่อง สภาพปัญหา โจทย์หรือคำถามการวิจัย (3) ใช้เป็นสาระสำคัญในการเขียนขอบเขตการวิจัยด้านเนื้อหา (4) นำมาเป็นหัวข้อสำคัญในการนำเสนอหัวข้อเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในบทที่ 2 7. เมื่อพบปัญหาการวิจัย ได้ศึกษาค้นคว้าเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยจนสร้างกรอบแนวคิดการวิจัยสำเร็จแล้ว ได้กำหนดหัวข้อเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัยได้แล้ว ก็นำมาจัดทำเค้าโครงการวิจัย ( ResearchProposal) โดยการเขียน 3 บทแรก คือ (1) บทที่ 1 (บทนำ) (2) บทที่ 2 (แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง) (3) บทที่ 3 (วิธีดำเนินการวิจัย)

  23. 8. การเขียนบทที่ 1 หรือบทนำ มีหัวข้อย่อยคือ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาโดยต้องระบุปัญหาพร้อมหลักฐานอ้างอิง 2. โจทย์หรือคำถามการวิจัย เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าดำเนินการและช่วยตั้งวัตถุประสงค์การวิจัยให้จัดเจนขึ้น 3. วัตถุประสงค์การวิจัย คือ การกำหนดสิ่งที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้คำตอบ มาตอบโจทย์การวิจัย / คำถามการวิจัย หรือสิ่งที่เราต้องการคำตอบ 4. สมมุติฐานการวิจัย อาจมีหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามีจะต้องทดสอบสมมุติฐานทุกข้อที่ตั้งไว้ โดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ 5. ขอบเขตการวิจัย เป็นการกำหนดขอบเขตของสิ่งที่เราจะศึกษาวิจัยให้ภาพกว้างกว่ากรอบแนวคิดการวิจัย โดยทั่วไปขอบเขตการวิจัยจะนำเสนอสาระสำคัญอย่างย่อใน ด้านเนื้อหา, ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง, ด้านตัวแปรที่ศึกษา, และด้านสถานที่และระยะเวลาในการวิจัย 6. นิยามศัพท์ เพื่อให้ความหมายคำสำคัญคือตัวแปรที่จะศึกษา คำสำคัญในวัตถุประสงค์การวิจัย จะทำให้ผู้อ่านรายงานการวิจัยเข้าใจตรงกับผู้วิจัย และผู้วิจัยนำนิยามศัพท์ไปสร้างเป็นเครื่องมือวิจัยได้อย่างมีความเที่ยงตรง ในเชิงเนื้อหา 7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ให้เน้นประโยชน์ทางด้านวิชาการและประโยชน์ทางการนำไปประยุกต์ใช้

  24. 9. บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขอให้นำกรอบแนวคิดการวิจัยนำมาเป็นกรอบในการกำหนดหัวข้อเสนอหัวข้อเรื่อง ขั้นการพิจารณาหัวข้อที่จะนำเสนอในบทที่ 2 จะได้เสนอเกี่ยวข้องสอดคล้องกับเรื่องราวกับการวิจัยโดยแท้จริง มิใช้นำเสนอหัวข้อที่ไม่ตรงและเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่วิจัย เรียกว่านำขยะมาใส่ไว้ ขอให้นำเอกสารใหม่ๆ มาใช้ (อย่าให้เกิน 5 ปี) หน้าสุดท้ายขอให้ใส่แผนภูมิแสดงกรอบแนวคิดการวิจัยไว้ในบทที่ 2 ด้วย สำหรับหัวข้อรองสุดท้ายคืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขอให้เกี่ยวข้องจริงๆ เพราะในบทที่ 5 หัวข้อการอภิปรายผล ผู้วิจัยจะนำงานวิจัยที่มาอ้างไว้นี้ไปอภิปรายทุกงานวิจัยว่าข้อค้นพบจากการวิจัยการวิจัยหรือสรุปผลการวิจัยที่ได้ สอดคล้องหรือแตกต่างจากงานวิจัยที่นำมาอ้างอิงอย่างไร และเพราะอะไร

  25. 10. บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยจะบอกว่าการวิจัยเรื่องอะไร มีวัตถุประสงค์ว่าอย่างไร ใช้รูปแบบการวิจัยหรือวิธีการวิจัยแบบใด ในบทนี้ควรนำเสนอ 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ขั้นตอนการวิจัย ว่ามีขั้นตอนในการวิจัยจนถึงขั้นได้คำตอบในกระบวนการวิจัย (ส่วนใหญ่ขั้นตอนการวิจัยจะยึดขั้นตอนตามจำนวนของวัตถุประสงค์) ส่วนที่สองคือ วิธีดำเนินการวิจัยประกอบด้วย 1.) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ต้องบอกให้ชัดว่าเลือกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีใด 2.) เครื่องมือการวิจัยโดยเน้นการสร้างเครื่องมือ และการพัฒนาหาความเชื่อมั่นต้องรายงานค่าความเชื่อมั่น ของเครื่องมือทุกชุด 3.) การเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้วิธีใด ได้กลับคืนมาเป็นร้อยละเท่าไร 4.) การวิเคราะห์ผลและสถิติที่ใช้สำหรับในบทที่ 3 หน้าสุดท้ายจะใส่แผนภูมิแสดงขั้นตอนการวิจัย ที่แสดงกิจกรรมการวิจัยแต่ละขั้นตอนและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนเป็นการตอบวัตถุประสงค์การวิจัยในแต่ละข้อด้วย

  26. 11. บทที่ 4 การวิเคราะห์ผล ให้นำวัตถุประสงค์การวิจัยมากำหนดเป็นตอนของการวิเคราะห์ผล เช่นมีวัตถุประสงค์การวิจัย 3 ข้อ ก็กำหนดตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์เป็น 3 ตอน และในแต่ละตอนมีกิจกรรมการวิจัยอย่างไรก็วิเคราะห์ตามกิจกรรมนั้น (ดูขั้นตอนการวิจัยประกอบด้วย) และเมื่อวิเคราะห์เสร็จในแต่ละตอน ก็ให้ผู้วิจัยสรุปเป็นภาพรวมเพื่อตอบวัตถุประสงค์โดยเขียนอย่างสั้นๆ กะทัดรัดประมาณ 3-4 บรรทัด ซึ่งผลการสรุปเป็นคำตอบ (วัตถุประสงค์) นี้จะนำไปใช้ในการสรุปผลการวิจัยในบทที่ 5 และนำไปใช้ในการเขียนบทคัดย่อด้วย

  27. 12. บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ให้ผู้วิจัยนำเสนอชื่อเรื่อง วัตถุประสงค์การวิจัย และสรุปขั้นตอนการวิจัยและวิธีดำเนินการวิจัยอย่างย่อๆ ประมาณ 1 หน้าหรือ 1หน้าครึ่ง จากนั้นก็สรุปผลการวิจัย โดยนำข้อสรุปในแต่ละขั้นตอน (3-4 บรรทัด) ในบทที่ 4 มาใส่ไว้ในสรุปผลบทที่ 5 ซึ่งการสรุปผลจะตอบวัตถุประสงค์การวิจัยแต่ละข้อ (ต้องสรุปผลให้เท่าและตรงกันกับวัตถุประสงค์ อย่าน้อยหรือมากกว่าวัตถุประสงค์ไม่ได้) จากนั้นขอให้อภิปรายผล โดยนำสรุปผลแต่ละข้อมาอภิปรายโดยใช้งานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาเทียบเคียง อนึ่งถ้าตั้งสมมุติฐานจะต้องมีการทดสอบในบทที่ 4 ด้วยและต้องสรุปผลและอภิปรายผลด้วยว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้แต่ละข้อเป็นอย่างไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

  28. 13. งานวิจัยทางการศึกษาที่ดี ต้องมีการเผยแพร่ให้คนเอาไปใช้ การเผยแพร่ ตาม ว.17 ต้องเขียนเป็นบทความวิจัยราว 8-10 หน้ากระดาษ A 4 เพื่อนำไปลงในวารสารวิจัยหรือวารสารทางวิชาการที่คณะกรรมการตรวจสอบการวิจัยรับรองหรือยอมรับ เช่น วิทยาจารย์ของคุรุสภา จะทำให้ผลงานวิจัยมีคุณค่าได้คะแนนการเผยแพร่สูง (ดีกว่าส่งไปตามโรงเรียนต่างๆ แล้วแสดงจดหมายตอบรับ) บทความวิจัยต้องทำสำเนามาลงไว้ในภาคผนวกด้วย ซึ่งบทความวิจัย ประกอบด้วย 1. ชื่อเรื่อง - ชื่อผู้วิจัย 2. บทคัดย่อ ภาษาไทย - ภาษาอังกฤษ 3. บทนำ ความเป็นมาวัตถุประสงค์การวิจัยขอบเขตการวิจัย ประโยชน์ที่คาดว่าจะรับ 4. วิธีดำเนินการวิจัย 5. การวิเคราะห์ผล 6. สรุปผล 7. ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรมที่สำคัญ ไม่เกิน 10 รายการ (รวม 8-10 หน้า) ถ้าวารสารวิชากา รับพิมพ์แต่ยังไม่ได้พิมพ์ก็ขอให้เขียนในใบรับการตีพิมพ์ นำมาใส่ไว้หน้าบทความวิจัยใส่ไว้ในภาคผนวกด้วย

  29. 14. หน้าสุดท้ายของภาคผนวกขอให้ใส่ประวัติผู้วิจัยด้วย 15. การวิจัยทางการศึกษา ขอให้ตรวจพิสูจน์ความถูกต้องตัวอักษร และการพิมพ์ขอให้ยึดรูปแบบมาตรฐานการเขียนรายงานการวิจัย การจัดทำรูปเล่มขอให้เรียบร้อย

  30. ขอให้โชคดีครับ ดร.พลสัณท์ โพธิ์ศรีทอง

More Related