1 / 97

บทที่ 3

บทที่ 3. ทฤษฎีการเงิน ดอกเบี้ย และดุลยภาพตลาดเงิน (Monetary Theories, Interest and Money Market Equilibrium). โดย อ.มานิตย์ ผิวขาว สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. หัวข้อ. ทฤษฎีอุปสงค์ต่อเงิน ทฤษฎีอุปทานของเงิน ทฤษฎีอัตราดอกเบี้ย ดุลยภาพของตลาดเงิน

mona-booth
Download Presentation

บทที่ 3

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 3 ทฤษฎีการเงิน ดอกเบี้ย และดุลยภาพตลาดเงิน (Monetary Theories, Interest and Money Market Equilibrium) โดย อ.มานิตย์ ผิวขาว สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น

  2. หัวข้อ • ทฤษฎีอุปสงค์ต่อเงิน • ทฤษฎีอุปทานของเงิน • ทฤษฎีอัตราดอกเบี้ย • ดุลยภาพของตลาดเงิน • ความชันและความยืดหยุ่นของเส้น LM • ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดเงิน(การเคลื่อนของเส้น LM) • ดุลยภาพในตลาดผลผลิตและตลาดเงิน

  3. ทฤษฎีอุปสงค์ต่อเงิน

  4. ทฤษฎีอุปสงค์ต่อเงินของสำนักคลาสสิก

  5. 1. ทฤษฎีปริมาณเงินอย่างหยาบ (The Crude Quantity Theory of Money) หรือทฤษฎีปริมาณเงินในรูปแบบอย่างง่าย (A Simple Version of the Quantity Theory of Money) - David Hume , Adam Smith , David Ricardo เป็นต้น - ข้อสมมติว่า คนมิได้มีความต้องการเงินเพื่อตัวของมันเองหรือเพื่อสะสมมูลค่า แต่ต้องการเงินเพราะเงินมีอำนาจซื้อ ดังนั้น การเพิ่มปริมาณเงินจะทำให้ระดับราคาเพิ่มขึ้น และมีอุปสงค์ต่อสินค้าเพิ่มขึ้น - เน้นบทบาทของเงินในฐานะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน - “ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและระดับราคาเป็นความสัมพันธ์กันโดยตรงและเป็นสัดส่วนกัน” >>> ถ้าปริมาณเงินเพิ่มขึ้นเท่าตัวย่อมทำให้ระดับราคาเพิ่มขึ้นเท่าตัว >>> ในทางตรงกันข้ามถ้าปริมาณเงินลดลงเท่าตัว ระดับราคาจะลดลงเท่าตัวด้วย

  6. เมื่อ M = ปริมาณเงินที่หมุนเวียนทั้งหมด (Money Supply) P = ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไป (General Price Level) k = ค่าคงที่

  7. 2. ทฤษฎีปริมาณเงิน : สมการแลกเปลี่ยน (The Quantity Theory : The Equation of Exchange) • MV = PT • M = ปริมาณเงิน (Money Supply) เน้นที่การแลกเปลี่ยนจึงเป็นเงินเงินในรูปตัวกลางในการแลกเปลี่ยน >>> Currency (ธนบัตร+เหรียญกษาปณ์) + Demand Deposit (เงินฝากกระแสรายวัน) • V = อัตราการหมุนเวียนของเงิน (Velocity of Circulation of Money) คือ การหมุนเวียนเปลี่ยนมือไปของเงินจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งในแต่ละปี ถ้าเศรษฐกิจรุ่งเรืองอัตราการหมุนเวียนจะมากกว่าในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ในระยะเวลาอันสั้นอัตราการหมุนเวียนของเงินถือได้ว่าคงที่ • T = ปริมาณการค้า (Volume of Transactions) หรือปริมาณสินค้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายตัว เช่น ทรัพยากรในทางเศรษฐกิจ ในระยะสั้นเชื่อว่าคงที่

  8. P = ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไป (General Price Level) - ทั้ง 2 ด้านคือสิ่งเดียวกัน คือ มูลค่าของเงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้สินค้า (MV) เท่ากับ มูลค่าของสินค้าทั้งหมดที่ใช้แลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน (PT) - สมการแลกเปลี่ยนไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นความจริง กล่าวคือ ปริมาณเงิน (M) คูณกับ อัตราการหมุนเวียน (V) จะเท่ากับ ปริมาณสินค้าและบริการ (T) คูณกับ ระดับราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ย (P)

  9. 3. ทฤษฎีปริมาณเงิน : รูปแบบการซื้อขายแลกเปลี่ยน (The Quantity Theory : The Transaction Approach) - Irving Fisher - สมการ เมื่อ M = ปริมาณเงินที่หมุนเวียนทั้งหมด (Money Supply) คือ ธนบัตร+เหรียญกษาปณ์(Currency) M/ = ปริมาณเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อทวงถาม หรือเงินฝากกระแสรายวัน (Demand Deposit ) V = อัตราการหมุนเวียนของเงินธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ V/ = อัตราการหมุนเวียนของเงินฝากกระแสรายวัน P = ระดับราคาสินค้าโดยเฉลี่ย T = ปริมาณธุรกรรมทั้งสิ้นหรือปริมาณสินค้าและบริการทั้งสิ้น

  10. M + M/= ปริมาณเงิน V + V/= อัตราการหมุนเวียนของเงิน - M และ M/ >> M มีอิทธิพลโดยตรงต่อ P และมีอิทธิพลเหนือ M/ >> ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปกติในระยะสั้น M เปลี่ยนไปทำให้ M/ เปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกันและเป็นสัดส่วนกัน >> M และ M/ เป็นอิสระจาก V และ V/ - V ในระยะยาวถูกกำหนดโดยอุปนิสัย การใช้จ่ายเงินของบุคคล ระบบการจ่ายเงินของสังคม ความหนาแน่นของประชากร ความสะดวกรวดเร็วในการสื่อสารและการคมนาคม เป็นต้น ภายใต้ภาวะปกติค่า V และ V/ จะมีลักษณะคงที่ และเป็นอิสระจากปัจจัยอื่น

  11. - P เป็นตัวแปรที่ถูกกำหนดโดยปัจจัยอื่นในสมการแลกเปลี่ยน กล่าวคือ P ถูกกำหนดโดย M , V และ T แต่ P จะไม่มีผลกระทบต่อตัวแปร M , V และ T - T ถูกกำหนดโดยจำนวนประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ และพัฒนาการแห่งความรู้และวิทยาการ ซึ่งเปลี่ยนแปลงช้ามาก ในระยะสั้น T จึงคงที่ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่ (Full Employment)

  12. 4. ทฤษฎีปริมาณเงิน : วิเคราะห์จากรายได้ (The Quantity Theory : Income Approach) - วิเคราะห์ปัจจัย T ให้แคบลง โดยพิจารณาเฉพาะการซื้อขายที่ก่อให้เกิดรายได้ และให้ T แทนด้วย y ซึ่งเป็นรายการซื้อขายสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย จึงเป็นการป้องกันการนับซ้ำ - สมการ MVy = Pyy ; แทน Ty ด้วย y เมื่อ M = ปริมาณเงิน Vy= จำนวนรอบของการหมุนเวียนของเงินแต่ละหน่วยที่ถูกใช้ไปในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายในงวดเวลาที่พิจารณา Py= ดัชนีราคาสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นในรอบระยะเวลาที่พิจารณา

  13. y = ปริมาณสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นในรอบระยะเวลาที่พิจารณา หรือผลิตภัณฑ์ประชาชาติแท้จริง (Real GNP) - Vyมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแต่เป็นไปอย่างเชื่องช้า ในระยะสั้นจึงถือว่าคงที่ Vyเป็นอิสระไม่ขึ้นกับ M - y อยู่ในระดับการจ้างงานเต็มที่ >> y จึงคงที่ - จาก MVy = Pyy ทำให้ Pyแปรผันโดยตรงกับ M ในสัดส่วนเดียวกัน

  14. 5. ทฤษฎีปริมาณเงิน : รูปแบบการถือเงินสด (The Quantity Theory : Cash-Balance Approach) - สำนักเคมบริดจ์ (The Cambridge School) - อาศัยการวิเคราะห์สมการแลกเปลี่ยน เช่นเดียวกับ Fisher แตกต่างจาก Fisher ตรงที่ Fisher เน้นเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แต่ Cambridge เน้นเงินเป็นอำนาจซื้อชั่วคราวหรือเครื่องรักษามูลค่า - ให้ k = อัตราส่วนความต้องการถือเงินเพื่อใช้จ่ายในระหว่างปี - สมการ ให้

  15. และถ้าให้ T แทนด้วย y จะได้ เมื่อ M , P , T , y มีคำจำกัดความเช่นก่อนหน้า -ที่ดุลยภาพของตลาดเงินอุปทานของเงิน (MS ) เท่ากับ อุปสงค์ต่อเงิน (Md) จะได้ ; = อุปสงค์ต่อเงินแท้จริง

  16. ดังนั้น ;หรือ ระดับราคาขึ้นอยู่กับปริมาณเงิน หรือ ปริมาณเงินเป็นตัวกำหนดระดับราคา การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินทำให้ระดับราคาเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนเดียวกัน เช่น เมื่อปริมาณเพิ่มขึ้น 2 เท่า จะทำให้ ปริมาณมีมากกว่าความต้องการถือเงิน ประชาชนก็จะจับจ่ายใช้สอย ในขณะที่ปริมาณผลผลิตมีคงที่ที่ระดับการจ้างงานเต็มที่ ทำให้ระดับราคาสินค้าจะต้องเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่าจากระดับราคาสินค้าเดิมด้วย

  17. - นอกจากนี้แล้ว สำนัก Cambridge ยังเห็นว่า ความต้องการถือเงิน(Md ) ขึ้นอยู่กับ ความมั่งคั่ง , รายได้ , ค่าเสียโอกาส ตลอดจนปัจจัยอื่น ๆ - function ความต้องการถือเงินของสำนัก Cambridge เมื่อ Md = ความต้องการถือเงิน W = ความมั่งคั่ง (Wealth) Py = รายได้ที่เป็นตัวเงิน (money income) i = อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (nominal interest rate) rk = ผลตอบแทนจากเครื่องมือประเภททุนรวมทั้งสินค้าอุปโภคชนิดคงทนถาวร rc = ผลตอบแทนของสินค้า U = อรรถประโยชน์ของเงิน (utility of money) X = ปัจจัยอื่น ๆ เช่น อุปนิสัยใจคอของคน , ความสะดวกรวดเร็วของการสื่อสารคมนาคม , ความหนาแน่นของประชากร เป็นต้น

  18. ทฤษฎีความต้องการถือเงินตามแนวคิดของทฤษฎีความต้องการถือเงินตามแนวคิดของ จอห์น เมนาร์ด เคนส์ (John Meynard Keynes)

  19. ทฤษฎีความต้องการถือเงินตามแนวคิดของ จอห์น เมนาร์ด เคนส์ (John Meynard Keynes) - ความต้องการถือเงิน มี 3 ประการ (1) ความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย (Transaction Demand for Money) - เนื่องจากรายรับกับรายจ่ายไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ รายได้เป็นครั้งคราว แต่รายจ่ายเกิดขึ้นทุกวัน - ปัจจัยสำคัญที่กำหนดความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย ได้แก่ รายได้ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน ถ้ารายได้เพิ่มสูงขึ้น อุปสงค์ต่อเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยจะเพิ่มขึ้น - ปัจจัยรองลงมาได้แก่ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือเงิน (Opportunity Cost) มีความสัมพันธ์กันในทิศทางตรงกันข้าม

  20. (2) ความต้องการถือเงินไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน (Precautionary Demand for Money) - สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น อุบัติเหตุ การเจ็บป่วยกะทันหัน หรือการตกงาน เป็นต้น - ขึ้นอยู่กับรายได้ (ในทิศทางเดียวกัน) เป็นสำคัญ และขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย (ในทิศทางตรงกันข้าม) ให้ Mt= ความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย + ความต้องการถือเงินเพื่อเหตุฉุกเฉิน

  21. Y r Mt/( r ) Mt Mt/( y ) Mt Mt// ( y ) r0 Mt// (r ) Y0 0 Mt0 Mt1 Mt2 Mt 0 Mt0 Mt1 Mt2 Mt (ก) (ข)

  22. (3) ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร (Speculative Demand for Money) - ที่มาแนวคิดจากสูตร เมื่อ = มูลค่าของหลักทรัพย์ หรือราคาหลักทรัพย์ = ผลตอบแทนของหลักทรัพย์ (ซึ่งกำหนดให้คงที่) r = อัตราดอกเบี้ยตลาด (%) ถ้ามูลค่าหลักทรัพย์ 100 บาท ผลตอบแทน 10 บาทต่อปี (10%) อัตราดอกเบี้ยตลาด(%) ราคาหลักทรัพย์ 8 20

  23. - อัตราดอกเบี้ยและราคาหลักทรัพย์มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกัน >> ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไรมีไว้เพื่อความมั่งคั่ง (Wealth) หรือสะสมค่า (Store of Value) >> เก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ >> มีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยในทิศทางตรงกันข้ามกัน เช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยต่ำ ค่าเสียโอกาสจะต่ำ ราคาหลักทรัพย์จะสูง (และจะไม่สูงไปกว่านี้อีกแล้วหากอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดแล้ว ต่อไปราคาหลักทรัพย์ก็จะลดลง) คนก็จะถือเงินเพื่อเก็งกำไรเพิ่มขึ้น (ถือเงินไว้เฉยๆไม่ซื้อหลักทรัพย์) - ถ้าให้ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไรแทนด้วย Ms

  24. r r0 r1 Ms 0 Ms0 Ms1 Ms

  25. r r Mt r0 r0 b a a b A/ r1 a/ b/ r1 a/ b/ B/ Ms MD 0 0 Ms0 Mt Ms1 Mt,Ms MD0 MD1 MD - ความต้องการถือเงินรวม(Md) = ความต้องการถือเงินเพื่อใช้สอยและเหตุฉุกเฉิน(Mt) + ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร(Ms) Md= Mt+ Ms - รูปกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความต้องการถือเงิน กับ อัตราดอกเบี้ย

  26. ทฤษฎีปริมาณเงินสมัยใหม่ของ มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman)

  27. ฟังก์ชั่นความต้องการถือเงินของฟรีดแมนฟังก์ชั่นความต้องการถือเงินของฟรีดแมน เริ่มจากความต้องการถือเงินของบุคคลที่เหมือนกับที่จะถือสินค้าอื่นๆ >>> เงินคือสินทรัพย์ >>> หลักความต้องการเลือก - ฟังก์ชั่นความต้องการถือเงินของฟรีดแมน เมื่อ = ความต้องการถือเงิน U = ความพอใจในการถือเงิน (+) P = ระดับราคา (+) y = ระดับรายได้แท้จริง (+) i = อัตราดอกเบี้ย >> เป็นค่าเสียโอกาสของการถือเงิน (-) = อัตราเงินเฟ้อ >> อำนาจซื้อของเงิน (-)

  28. ฟังก์ชั่นความต้องการถือเงินของฟรีดแมนฟังก์ชั่นความต้องการถือเงินของฟรีดแมน เมื่อ = ปริมาณเงินแท้จริงที่ต้องการถือ Y = รายได้ถาวร (Permanent Income) (+) W = สัดส่วนของเศรษฐทรัพย์หรือความมั่งคั่ง (Wealth) (+) = ผลตอบแทนของเงินที่คาดว่าจะได้รับ (Money = เงิน,เงินฝาก) (-) = ผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับ (Bond = พันธบัตร) (-) = ผลตอบแทนของหุ้นที่คาดว่าจะได้รับ (Equity = หุ้น) (-) = อัตราเงินเฟ้อ >> การคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงระดับราคา (+) U = รสนิยม , ความพอใจ (Utility) (+)

  29. ถ้าความพอใจในการถือเงิน (U) และ เงินเฟ้อ ( ) ต้องเพิ่มเป็นเวลานานคนจึงจะเปลี่ยนพฤติกรรมการถือเงิน ดังนั้น จึงให้คงที่ จะได้ ; r = i ความต้องการถือเงิน ขึ้นอยู่กับ ระดับราคา , รายได้ และ อัตราดอกเบี้ย

  30. ความเหมือนของ เคนส์ และฟรีดแมน • (1) เน้นเงินในบทบาทรักษามูลค่า • (2) ความต้องการถือเงินขึ้นอยู่กับระดับราคา , รายได้ และอัตราดอกเบี้ย • (3) พฤติกรรมการถือเงินแน่นอนสม่ำเสมอคาดคะเนได้ • (4) เป้าหมายเศรษฐกิจเน้นการขยายตัวของรายได้ ความแตกต่างระหว่าง เคนส์ และฟรีดแมน • (1) ฟรีดแมน >> ทฤษฎีปริมาณเงิน , เคนส์ >> ทฤษฎีความต้องการถือเงิน • (2) ฟรีดแมน บอก ความต้องการถือเงินคงที่ แต่ เคนส์ บอก ไม่คงที่ • (3) ฟรีดแมน อัตราดอกเบี้ยกระทบความต้องการถือเงินน้อยกว่าของเคนส์ • (4) ฟรีดแมนเสนอนโยบายการเงิน , เคนส์เสนอนโยบายการคลัง

  31. ทฤษฎีอุปทานของเงิน

  32. ทฤษฎีเกี่ยวกับอุปทานของเงินทฤษฎีเกี่ยวกับอุปทานของเงิน - นิยามปริมาณเงินที่แตกต่างกัน (1) แนวคิดสมัยดั้งเดิม - เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน - M1 = Currency + Demand Deposit (2) แนวคิดของสำนักชิคาโก - Milton Friedman - M2 = M1 + เงินฝากประจำในธนาคารพาณิชย์ (Time Deposit) (3) แนวความคิดของ John G. Gurley & Edword S. Shaw - M = Currency + Demand Deposit + Time Deposit + สิทธิเรียกร้องต่อสถาบันการเงินทุกชนิดทุกประเภท (เช่น หุ้นต่างๆ) (4) แนวคิดของธนาคารกลาง - M = สินเชื่อทั้งหมด (Total Liability)

  33. r (อัตราดอกเบี้ย) MS 0 MS (ปริมาณเงิน) - MS = M1 = Currency + Demand Deposit - MS เป็น Exogeneous variable คือ ตัวแปรที่ถูกกำหนดมาจากข้างนอก เป็นตัวแปรค่านอกระบบ โดยเป็นตัวแปรที่ถูกกำหนดโดยเจ้าหน้าที่ทางการเงินและการสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ - MS ไม่ขึ้นอยู่กับรายได้ และอัตราดอกเบี้ย

  34. - ฟังก์ชั่นของ MS MS = f( C , BD , LRR , OMO , FP , BOP) เมื่อ C = Currency (ธนบัตร + เหรียญกษาปณ์) BD = Bank Deposit หรือ Demand Deposit (เงินฝากกระแสรายวัน) LRR = Legal Reserve Retio (อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย) OMO = Open Market Operation (การซื้อขายหลักทรัพย์ของรัฐบาล เช่น พันธบัตรรัฐบาล) FP = Fiscal Policy (นโยบายการคลังของรัฐบาล) BOP = Balance of Payment (ดุลการชำระเงิน)

  35. ภาคต่างประเทศ BOP เกินดุล BOP ขาดดุล ธนาคารขยายเครดิต งบประมาณขาดดุล Money Supply ในระบบเศรษฐกิจ ภาคเอกชน ภาครัฐบาล ธนาคารลดเครดิต งบประมาณเกินดุล - ทฤษฎีลูกโป่ง 3 สูบ ของ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์

  36. ทฤษฎีฐานของเงิน (Monetary Base Theory) M = ปริมาณเงินทั้งหมด C = Currency ในมือประชาชน D = Demand Deposit M = C + D (1) -เมื่อมีการฝากเงิน ธนาคารจะต้องดำรงเงินสดสำรอง (Cash Reserve) ซึ่งเป็นสัดส่วนหนึ่งต่อยอดเงินฝาก >> สัดส่วนเงินสดสำรองต่อยอดเงินฝาก หรือ Cash Reserve Ratio : r r D = R D = R (2) - เงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์เก็บไว้ที่ธนาคารกลาง (R) = ฐานเงิน (MB:Monetary Base) – เงินสดหมุนเวียนในมือประชาชน (C) R = MB – C (3)

  37. -ความต้องการถือเงินสดในมือประชาชน (C) เป็นสัดส่วนที่คงที่กับ อุปทานของเงิน (M) C = c M (4) แทนค่า (4) ใน (3) ได้ R = MB – cM (5) แทนค่า (5) ใน (2) ได้ D = D = (6) แทนค่า (4) และ (6) ใน (1) ได้ M = cM + เอา r คูณตลอดได้ rM = rcM + MB – cM rM – rcM + cM = MB

  38. M = . MB (7) ให้ m = = ตัวคูณทางการเงิน (Monetary multiplier) M = m . MB (8) จาก (7) เมื่อ c = = สัดส่วนของการถือ Currency ต่ออุปทานของเงินทั้งหมด r = = สัดส่วนเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ - ปัจจัยกำหนดปริมาณเงิน (M) ได้แก่ >>c (สัดส่วนของการถือ Currency ต่ออุปทานของเงินทั้งหมด) >> r (สัดส่วนเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์) >> MB(ฐานเงิน :Monetary Base) น่าจะออกทดสอบย่อย เมื่อกำหนดตัวแปรต่าง ๆ มาให้ ปริมาณเงินเท่ากับเท่าใด? หากตัวแปรเปลี่ยนปริมาณเงินจะเปลี่ยนอย่างไร?

  39. c (สัดส่วนของการถือ Currency ต่ออุปทานของเงินทั้งหมด)

  40. ฐานเงิน (Monetary Base) ประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนอยู่ในมือประชาชน และในมือธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งเงินฝากสถาบันการเงินที่ฝากไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ฐานเงินจะสามารถสร้างปริมาณเงินหมุนเวียนได้จำนวนกี่เท่าขึ้นกับขนาดของตัวทวีฐานเงิน ในปัจจุบันฐานเงินเพิ่มขึ้น 1 บาท >>สามารถสร้างปริมาณเงิน M1 ได้ประมาณ 0.9 เท่า >> สามารถสร้างปริมาณเงิน M2 ได้ประมาณ 10 เท่า >> สามารถสร้างปริมาณเงิน M2a ได้ 11 เท่า และ >> สามารถสร้างปริมาณเงิน M3 ได้ประมาณ 12 เท่า ที่มา http://www.bot.or.th/bothomepage/databank/EconData/Definitions/Monetary&PublicFinance/MonetaryBase.htm

  41. ฐานเงิน (Monetary Base : MB) Cash=ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนอยู่ในมือประชาชน Cash_Bank= ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ในมือธนาคารพาณิชย์ D_BOT=เงินฝากสถาบันการเงินที่ฝากไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

  42. สัดส่วนของฐานเงิน (Monetary Base : MB)

  43. การเปลี่ยนแปลงฐานเงิน (Monetary Base : MB)

  44. ทฤษฎีอัตราดอกเบี้ย

  45. ทฤษฎีอัตราดอกเบี้ยของคลาสสิก ทฤษฎีอัตราดอกเบี้ยของคลาสสิก

  46. พื้นฐานแนวคิด • อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวแปรที่สำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจอยู่ในดุลยภาพที่ระดับการจ้างงานเต็มที่ • เป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อ ทฤษฎีเงินกู้ (Loanable Funds Theory) หรือทฤษฎีเงินกองทุน • อัตราดอกเบี้ยถูกกำหนดโดยอุปสงค์ต่อเงินกู้ และอุปทานของเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยดุลยภาพจะหมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ทำให้อุปสงค์ต่อเงินกู้เท่ากับอุปทานของเงินกู้พอดี

  47. อุปสงค์ต่อเงินกู้ (Demand for Loanable Funds) • อุปสงค์ต่อเงินกู้ หมายถึง จำนวนเงินที่หน่วยธุรกิจหรือรัฐบาลต้องการกู้เพื่อนำไปลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งหน่วยธุรกิจกู้เงินโดยวิธีการออกพันธบัตร (bond) ออกมาจำหน่ายให้ประชาชน หรือรัฐบาลกู้เงินโดยการออกพันธบัตร (government bond) ออกมาจำหน่ายให้ประชาชน (สร้างอุปทานของหลักทรัพย์) • โดยหน่วยธุรกิจและรัฐบาลจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดไว้ในใบหุ้นแก่ประชาชนผู้ถือหุ้นหรือพันธบัตรเป็นการตอบแทน • อัตราดอกเบี้ยจึงเป็นต้นทุนของเงินกู้

  48. อุปสงค์ต่อเงินกู้จึงมีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งเขียนเป็นรูปฟังก์ชันอุปสงค์ต่อเงินกู้ได้ดังนี้ lD = l(r) ; โดยที่ lDคือ อุปสงค์ต่อเงินกู้ r คือ อัตราดอกเบี้ย เนื่องจากหน่วยธุรกิจหรือรัฐบาลมีอุปสงค์ต่อเงินกู้เพื่อนำไปใช้ในการลงทุน ดังนั้น ฟังก์ชันอุปสงค์ต่อเงินกู้ อีกนัยหนึ่งก็คือ ฟังก์ชันการลงทุนซึ่งมีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยในทิศทางตรงกันข้าม i = i(r) ; โดยที่ i คือ การลงทุน

More Related