4.18k likes | 9.91k Views
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย Introduction of Research. มีเนื้อหาการศึกษา ดังนี้. ความหมายของการวิจัย ประเภทของการวิจัย บทบาทและความสำคัญของการวิจัย ลักษณะของการวิจัย ประโยชน์ของการวิจัย ขั้นตอนของการวิจัยทางการศึกษา จรรยาบรรณนักวิจัย. ความหมายของการวิจัย.
E N D
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัยIntroduction of Research
มีเนื้อหาการศึกษา ดังนี้ • ความหมายของการวิจัย • ประเภทของการวิจัย • บทบาทและความสำคัญของการวิจัย • ลักษณะของการวิจัย • ประโยชน์ของการวิจัย • ขั้นตอนของการวิจัยทางการศึกษา • จรรยาบรรณนักวิจัย
ความหมายของการวิจัย คำาว่า “การวิจัย” มาจากคำาว่า “Research” มีรากศัพท์มาจาก Re + Search Re แปลว่า “ซํ้า” Search แปลว่า “ค้น” ดังนั้น Research แปลว่า ค้นคว้าซํ้าแล้วซํ้าอีก ซึ่งน่าจะ หมายถึง การค้นหาความรู้ความจริง ค้นแล้วค้นอีกซึ่งจะ ทำให้ได้รับรู้ความรู้ความจริงที่น่าเชื่อถือถูกต้อง เพราะมี ข้อมูลที่เพียงพอต่อการสรุปเป็ นความรู้ความจริงนั้นๆ
ความหมายของการวิจัย (ต่อ) • บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ได้ให้ความหมายของการวิจัย ว่า “เป็นกระบวนการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างมีระบบระเบียบและมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน เพื่อให้ได้ความรู้ที่เชื่อถือ” • นันทวัน สุชาโต ได้ให้ความหมายของการวิจัย ว่าคือ”กระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง หรือการพยายามค้นหาคำตอบ หรือหาความรู้ความเข้าใจในปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้วิธีการศึกษาอย่างมีระเบียบและมีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ (scientific methods” • ศิริชัย กาญจนวาสีการวิจัย ได้ให้ความหมายของการวิจัยว่า คือกระบวนการแสวงหาหรือพัฒนาองค์ความรู้ที่มีลักษณะเป็นนัยทั่วไปอย่างมีระบบแบบแผนโดยวิธีการอันเป็นที่เชื่อถือได้ • สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ได้ให้ความหมายของการวิจัย ว่าหมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่ต้องการศึกษา มีการเก็บรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบ ข้อมูล การวิเคราะห์และการตีความหมายผลที่ได้จากการวิเคราะห์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบอันถูกต้อง
สรุปความหมายของการวิจัยคือสรุปความหมายของการวิจัยคือ การวิจัย (Research) คือ การศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้โดยใช้กระบวนการที่เป็นระบบ แบบแผน เป็นการประยุกต์ใช้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ที่ได้จากผลการวิจัยอาจเป็นความรูู้ใหม่หรือความรูู้ที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งเป็นความรู้ที่น่าเชื่อถือและมีคุณค่าต่อการนำไปประยุกต์ใช้
ประเภทของการวิจัย การจัดประเภทการวิจัยนั้นสามารถจัดได้หลายแบบแล้วแต่ว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
1. ประเภทที่ใช้ระเบียบวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง 1.1 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์(Historical research)เป็นการวิจัยที่เน้นถึงการศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต(what was ?) ประโยชน์ของการวิจัยชนิดนี้ก็คือสามารถนามาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาเหตุการณ์ต่างๆในปัจจุบันหรือสามารถนามาใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ด้วย 1.2 การวิจัยเชิงบรรยายหรือการวิจัยเชิงพรรณนา(Descriptive research)เป็นการวิจัยที่เน้นถึงการศึกษารวบรวมข้อมูลต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน(what is ?) ในการดาเนินการวิจัยนักวิจัยไม่สามารถที่จะไปจัดสร้างสถานการณ์หรือควบคุมตัวแปรต่างๆได้ตามใจชอบการวิจัยแบบนี้เป็นการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่แล้วเช่นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศและความสนใจต่อการเมือง
การวิจัยที่จัดว่าเป็นการวิจัยเชิงบรรยายได้แก่การวิจัยที่จัดว่าเป็นการวิจัยเชิงบรรยายได้แก่ • การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) • การศึกษาความสัมพันธ์ (Interrelationship Studies) • การศึกษาพัฒนาการ (Developmental Studies)
1.3 การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) เป็นการวิจัยเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่างๆ (what will be ?) โดยมีการจัดกระทำกับตัวแปรอิสระเพื่อศึกษาผลที่มีต่อตัวแปรตามและมีการควบคุมตัวแปรอื่นมิให้มีผลกระทบต่อตัวแปรตามซึ่งนิยมมากทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับทางด้านการศึกษาค่อนข้างลำบากในแง่ของการควบคุมตัวแปรเกิน ลักษณะที่สาคัญของการวิจัยเชิงทดลองคือ 1. ควบคุมตัวแปรเกินได้ (Control) 2. จัดการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระได้ (Manipulation) 3. สังเกตได้ (Observation) 4. ทำซ้ำได้ (Replication)
2. ประเภทใช้จุดมุ่งหมายของการวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง 2.1 การวิจัยบริสุทธิ์(Pure research) หมายถึงการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการตอบสนองความอยากรู้หรือมุ่งที่จะหาความรู้เท่านั้นโดยไม่ได้คานึงว่าจะนาผลการวิจัยที่ได้ไปใช้ได้หรือไม่การวิจัยประเภทนี้ก่อให้เกิดทฤษฎีใหม่ๆตามมา 2.2 การวิจัยประยุกต์(Applied research) หมายถึงการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อนาผลการวิจัยที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือปรับปรุงความเป็นอยู่และสังคมของมนุษย์ให้ดีขึ้นได้แก่การวิจัยทางด้านเศรษฐกิจการเมืองการศึกษาเป็นต้น
2.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการหรือวิจัยเฉพาะกิจ(Action research) เป็นการวิจัยเพื่อนาผลมาใช้แก้ปัญหาอย่างรีบด่วนหรือปัจจุบันทันทีซึ่งมีจุดมุ่งหมายเฉพาะเพื่อจะนาผลที่ได้มาใช้แก้ปัญหาเฉพาะเรื่องในวงจากัดโดยไม่ได้สนใจว่าจะใช้ประโยชน์หรือแก้ปัญหาอื่นได้หรือไม่ 2.4 การวิจัยสถาบัน(Institutional research) เป็นการวิจัยที่มุ่งนาผลการวิจัยมาใช้เพื่อปรับปรุงงานด้านการบริหารของหน่วยงานหรือสถาบันนั้นๆโดยไม่มีจุดมุ่งหมายในการนาผลการวิจัยไปใช้กับหน่วยงานหรือสถาบันอื่น
3. ประเภทใช้ลักษณะและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง 3.1 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เป็นการวิจัยที่มุ่งค้นคว้าหาข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆตามธรรมชาติโดยพยายามที่จะศึกษาข้อมูลด้านต่างๆมาบรรยายถึงความสัมพันธ์ของเงื่อนไขต่างๆที่เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นเป็นการศึกษาค้นคว้าในแนวลึกมากกว่าแนวกว้างการรวบรวมข้อมูลจะให้ความสาคัญกับข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัติส่วนตัวแนวคิดความรู้สึกต่างๆของแต่ละบุคคลวิธีการรวบรวมข้อมูลได้แก่การสังเกตอย่างมีส่วนร่วมการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการจะเป็นวิธีการหลักของการวิจัยเชิงคุณภาพการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้วิธีการสรุปบรรยายทฤษฎีและแนวคิดต่างๆในการอธิบายและวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ
3.2 การวิจัยเชิงปริมาณ(Quantitative research) เป็นงานวิจัยที่มุ่งค้นคว้าข้อเท็จจริงต่างๆเพื่อหาข้อสรุปในเชิงปริมาณเป็นการศึกษาในแนวกว้างมากกว่าแนวลึกเพื่อที่จะนาข้อสรุปต่างๆที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างอ้างอิงไปใช้กับกลุ่มประชากรโดยอาศัยวิธีการทางสถิติการรวบรวมข้อมูลเน้นหนักไปในทางปริมาณหรือค่าต่างๆที่สามารถวัดได้ในเชิงปริมาณวิธีการรวบรวมข้อมูลมีหลายรูปแบบเช่นการส่งแบบสอบถามการสัมภาษณ์การสังเกตการสร้างสถานการณ์สมมุติการทดลองและการทดสอบเป็นต้นการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้วิธีการทางสถิติเข้ามาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
4. ประเภทใช้ลักษณะศาสตร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวกับการวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งได้หลายสาขาเช่น 1. การวิจัยทางสังคมศาสตร์ ได้แก่ การวิจัยเกี่ยวกับสังคมการเมืองการปกครองการศึกษาเศรษฐกิจ เป็นต้น 2. การวิจัยทางมนุษยศาสตร์ ได้แก่ การวิจัยเกี่ยวกับคุณค่าของมนุษย์เช่น ภาษาศาสตร์ ดนตรี ศาสนา โบราณคดี ปรัชญา เป็นต้น 3. การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การวิจัยทางชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์วิศวกรรม แพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์ เภสัชศาสตร์ เป็นต้น
5. ประเภทใช้วิธีการควบคุมตัวแปรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง 1. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research)เป็นการวิจัยเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยมีการจัดสถานการณ์ทดลองด้วยการควบคุมระดับของตัวแปรต้นและกาจัดอิทธิพลของตัวแปรภายนอกต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องแล้ววัดผลตัวแปรตามออกมา 2. การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental research) เป็นการวิจัยที่สามารถควบคุมตัวแปรภายนอกที่ไม่ต้องการได้เพียงบางตัวเนื่องจากไม่สามารถสุ่มตัวอย่างให้เท่ากันได้ 3. การวิจัยเชิงธรรมชาติ (Naturalistic research) เป็นการวิจัยที่ค้นหาความจริงของสภาพการณ์ในสังคมใช้การสังเกตการณ์เป็นสาคัญและสรุปผลโดยใช้การวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า
นักวิจัย นักวิจัย หมายถึง ผู้ที่ดำเนินการค้นคว้าหาความรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อตอบประเด็นที่สงสัย โดยมีระเบียบวิธีอันเป็นที่ยอมรับในแต่ละศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมทั้งแนวคิด มโนทัศน์ และวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
1. ชอบคิดค้นคว้าหรือริเริ่มงานใหม่ ๆ มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ 2. มีความพึงพอใจที่จะศึกษาหรือแสวงหาความรู้ และพร้อมที่จะทางานแม้จะยากลาบากก็ตาม 3. มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีเหตุผลและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมีความซื่อสัตย์ รับผิดชอบและสามารถอุทิศเวลาเพื่อทางานให้บรรลุเป้าหมายตามที่กาหนด
4. มีความละเอียดรอบคอบ 5. มีความรู้เกี่ยวกับแขนงวิชาหรือเรื่องที่จะทาวิจัยเป็นอย่างดี 6. มีความสามารถที่จะเลือกวิธีการหรือเครื่องมือการวัดผลต่าง ๆมาใช้ในการวิจัย 7. มีความรู้ทางสถิติ สามารถวิเคราะห์ข้อมูล แปลผลข้อมูล 8. มีความสามารถทางด้านภาษา คือสามารถสรุปเรื่องราวต่าง ๆ หรือเขียนรายงานได้อย่างดี ทาให้ผู้อ่านเข้าใจได้
บทบาทและความสำคัญของการวิจัยบทบาทและความสำคัญของการวิจัย การวิจัยมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับธุรกิจ หรือองค์กร โดยการวิจัยมีบทบาทที่สำคัญคือ 1. ด้านการลงทุน ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับประเภทของธุรกิจที่ควรลงทุน ลักษณะการลงทุน และแหล่งเงินทุน ความเป็นไปได้ของโครงการที่จะลงทุน ผลตอบแทนจากการลงทุน ความเสี่ยงในการลงทุน จุดคุ้มทุน และระยะเวลาคืน ทุน เป็นต้น 2. ด้านการผลิต สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับจำนวนที่จะผลิตหรือให้บริการ จำนวนวัตถุดิบที่ใช้ การควบคุมคุณภาพของสินค้า การบรรจุบรรจุภัณฑ์ และ การตัง้ ราคาขาย เป็นต้น
บทบาทและความสำคัญของการวิจัยบทบาทและความสำคัญของการวิจัย 3. ด้านการตลาด สามารถตอบคำาถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ราคา การส่งเสริมการจำหน่าย การกระจายสินค้า และการประมาณยอดขายหรือยอดผลิตได้ 4. ด้านการพยากรณ์ธุรกิจ เช่น การพยากรณ์จำนวนเครื่องจักรและจำนวนคนงานที่จะเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ของช่วงเวลา 3 ปี ขึ้นข้างหน้าควรจะเป็นเท่าไหร่ เพื่อนำมาใช้เป็ นข้อมูลในการวางแผนงานด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นการจัดหาทุน การก่อสร้างอาคาร การจัดหาวัตถุดิบและแรงงาน เป็นต้น
ลักษณะของการวิจัย ลักษณะการวิจัยที่ดี ลักษณะที่สำคัญดังนี้ 1. การวิจัยเป็นการค้นคว้าที่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ และความมีระบบ 2. การวิจัยเป็นงานที่มีเหตุมีผล และมีเป้าหมายที่แน่นอน 3. การวิจัยจะต้องมีเครื่องมือ หรือเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ 4. การวิจัยจะต้องมีการรวบรวมข้อมูลใหม่ และได้ความรู้ใหม่ ความรู้ที่ได้อาจเป็นความรู้เดิมได้ในกรณีที่มุ่งวิจัยเพื่อตรวจสอบซ้ำ
5. การวิจัยมักเป็นการศึกษาค้นคว้าที่มุ่งหาข้อเท็จจริง เพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ หรือพัฒนากฎเกณฑ์ ทฤษฏี หรือตรวจสอบทฤษฏี 6. การวิจัยต้องอาศัยความเพียรพยายาม ความซื่อสัตย์ กล้าหาญ บางครั้งจะต้องเฝ้าติดตามผลบันทึกผลอย่างละเอียดใช้เวลานาน บางครั้งผลการวิจัยขัดแย้งกับบุคคลอื่น อันอาจทาให้ได้รับการโจมตีผู้วิจัยจาต้องใช้ความกล้าหาญนาเสนอผลการวิจัยตรงตามความเป็นจริงที่ค้นพบ 7. การวิจัยจะต้องมีการบันทึก และเขียนรายงานการวิจัยอย่างระมัดระวัง
ลักษณะที่ ไม่ใช่ การวิจัย 1. การศึกษาบางเรื่องจากเอกสารตาราวารสารแล้วนำเอาข้อมูลความต่างๆมาดัดแปลงตัดต่อกัน 2. การค้นพบ (Discovery) โดยทั่วไปเช่นนั่งคิดแล้วได้คำตอบไม่ใช่การวิจัยเพราะเป็นการค้นพบที่ไม่มีระบบและวิธีการที่ถูกต้อง 3. การรวบรวมข้อมูลนามาจัดเข้าตารางซึ่งอาจเป็นการตัดสินใจแต่ไม่ใช่การวิจัย 4. การทดลองปฏิบัติการตามคู่มือที่แนะนาไว้ไม่ใช่การวิจัย
ประโยชน์ของการวิจัย • ช่วยให้ได้รับความรู้ใหม่ ทั้งทางทฤษฏีและปฏิบัติ • ช่วยพิสูจน์ หรือตรวจสอบความถูกต้องของกฎเกณฑ์ หลักการและทฤษฏีต่างๆ • ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ ปรากฏการณ์ และพฤติกรรมต่างๆ • ช่วยแก้ไขปัญหาได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ • ช่วยการวินิจฉัย ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม • ช่วยปรับปรุงการทางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น • ช่วยปรับปรุงพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ และวิถีดารงชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
จรรยาบรรณของนักวิจัย • มีความซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ • ต้องตระหนักถึงพันธะกรณีในการทำวิจัยตามข้อตกลง • มีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย • ความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย • เคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย • อิสระทางความคิด ปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย • พึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ • เคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น • ความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ
สวัสดี ค่ะ เจอกันอาทิตย์ต่อไป
ขั้นตอน และ กระบวนการวิจัย • กระบวนการแสวงหาคำตอบ • กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง • กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย • วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล • การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ และเกิดประโยชน์ต่องานที่ทำ ประเด็นปัญหา หรือสิ่งที่ต้องการหาคำตอบ คำถาม วิธีทำ คำตอบ
ขั้นตอนในการวิจัย แบ่งออกได้เป็น ๔ ขั้นตอนสำคัญ (เทียนฉาย กีระนันท์,๒๕๔๔:๒๔) ขั้นที่ ๔. ขั้นที่ ๓. การเสนอผลการวิจัย ขั้นที่ ๒. การลงมือดำเนินการวิจัย ขั้นที่ ๑. การออกแบบ วิจัย การเตรียม การวิจัย
ขั้นตอนในการวิจัย ขั้นที่ ๑. การเตรียมการวิจัย • การพิจารณาเลือกและกำหนดปัญหาที่จะทำวิจัย • การเลือกหัวเรื่องและการตั้งชื่อเรื่อง
ขั้นที่ ๒. การออกแบบวิจัย • ศึกษาค้นคว้าจากทฤษฎี แนวคิด งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง • กำหนดรูปแบบหรือแนวทางการวิจัยให้เหมาะสมกับปัญหาที่จะศึกษา • การกำหนดกรอบแนวคิด (Conceptual Framework)หรือแบบจำลองของเรื่องที่จะศึกษา • การกำหนดสมมติฐานการวิจัย • วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล • วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนการเลือกใช้เครื่องมือทางสถิติ
ขั้นที่ ๓. การลงมือดำเนินการวิจัย • ดำเนินการตามแผน(แบบการวิจัย)ที่วางไว้ ขั้นที่ ๔. การเสนอผลการวิจัย • การรวบรวมข้อค้นพบสำคัญที่ได้จากการลงมือดำเนินการวิจัย ตลอดจนการเตรียมการและการออกแบบการวิจัย • พิจารณารูปแบบการนำเสนอที่เหมาะสม • ต้องสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในสิ่งที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการไปและสิ่งที่ค้นพบ
กระบวนการการวิจัย “ กระบวนการการวิจัย หมายถึง กิจกรรมและวิธีการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบหรือความรู้ใหม่ ๆ อย่างมีขั้นตอนซึ่งมีความต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน”
การดำเนินการวิจัย (Research) การเลือกหัว ข้อวิจัย การสำรวจเอกสาร การกำหนดประเด็นปัญหา การตั้ง สมมติฐาน การกำหนดแบบจำลอง กำหนดขอบข่ายของทฤษฎี เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และตีความ นำเสนอรายงานการวิจัย กำหนดนิยามตัวแปร
การเตรียมการวิจัย การเลือกปัญหาการวิจัย แหล่งที่มาของปัญหาการวิจัย เกณฑ์ในการเลือกปัญหาที่จะวิจัย ข้อผิดพลาดในการเลือกปัญหาการวิจัย องค์ประกอบของปัญหาหัวข้อวิจัยที่ดี การตั้งชื่อหัวข้อปัญหาการวิจัย การออกแบบการวิจัย (Research design)
การเลือกปัญหาการวิจัยการเลือกปัญหาการวิจัย เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เป็นประเด็นที่เป็นปัญหาจริงๆ อยู่ในปัจจุบัน เขียนให้ตรงประเด็น ข้อมูลเชิงเหตุผลควรจะนำไปสู่จุดที่เป็นปัญหาที่จะทำการวิจัย และชี้ให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่จะทำวิจัย มีข้อมูลอ้างอิงทำให้น่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจว่าเป็นปัญหาที่มีพื้นฐานมาจากข้อมูลเชิงประจักษ์ มิใช่เกิดจาก ความรู้สึก หรือจินตนาการของผู้เขียน ไม่ยืดยาวจนน่าเบื่อ ใช้ภาษาง่ายๆ จัดลำดับประเด็นที่เสนอให้เป็นขั้นตอนต่อเนื่องกัน เป็นประเด็นที่น่าจะเป็นประโยชน์ เมื่อทำการวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ อยู่ในวิสัยที่ผู้วิจัยคิดว่าน่าจะทำได้ทั้งในแง่ของเวลา ค่าใช้จ่าย ตามความสามารถของผู้วิจัย
แหล่งที่มาของปัญหาการวิจัยแหล่งที่มาของปัญหาการวิจัย ประสบการณ์ของผู้วิจัย รายงานการวิจัยของคนอื่นๆ ที่พิมพ์ออกมาแล้ว ทฤษฎี การเข้าร่วมสัมมนา การเสนอหัวข้อที่ควรทำการวิจัยของหน่วยงานที่ให้ทุนส่งเสริมหรือสนับสนุนการวิจัย จากการให้คอมพิวเตอร์พิมพ์รายชื่อเรื่องต่างๆ ที่มีผู้วิจัยไว้แล้วตามหมวดต่างๆ ในสาขาที่สนใจ เพื่อที่จะได้แนวความคิดในการทำวิจัย จากการศึกษาค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต (www.thaiedresearch.org)
เกณฑ์ในการเลือกปัญหาที่จะวิจัยเกณฑ์ในการเลือกปัญหาที่จะวิจัย • ด้านผู้วิจัย • เป็นเรื่องที่ผู้วิจัยมีความสนใจใคร่รู้อย่างแท้จริง หรือศรัทธาอย่างแรงกล้าในการแสวงหา • เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับความรู้ความสามารถของผู้วิจัย • เป็นเรื่องที่มีทุนวิจัยเพียงพอ • ด้านปัญหาที่จะทำการวิจัย • เป็นปัญหาที่มีความสำคัญ ผลของการวิจัยมีคุณค่าหรือเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาหรือเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ • ควรเป็นปัญหาที่มีลักษณะริเริ่ม มีนวภาพ ไม่เลียนแบบคนอื่น มี Originallityสูง ไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุประสงค์ในการวิจัย หรือวิธีวิจัย • ด้านสภาพที่เอื้ออำนวยต่อการวิจัย • มีแหล่งสำหรับค้นคว้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยอย่างเพียงพอ อาจเป็นห้องสมุด หรือบริการสืบค้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ • สามารถขอความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องในการวิจัย เช่น จากผู้สร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล การให้ความร่วมมือจากกลุ่มตัวอย่าง ความร่วมมือจากหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูล
ข้อผิดพลาดในการเลือกปัญหาการวิจัย เลือกหัวข้อปัญหาตามผู้อื่น หรือผู้อื่นมอบปัญหาการวิจัยให้ โดยที่ผู้วิจัยไม่มีความรู้ความสนใจพอ เมื่อทำวิจัยมักเกิดปัญหาอุปสรรคต่างๆ เลือกปัญหาที่กว้างเกินไป เกินกำลังความสามารถของตนเอง เลือกปัญหาอย่างรีบร้อน และลงมือวิจัยโดยไม่ได้วางแผนให้รอบคอบล่วงหน้า ขาดการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย หรือศึกษาไม่เพียงพอทำให้มีความคิดคับแคบ ทำการวิจัยไม่รัดกุม
การตั้งชื่อหัวข้อปัญหาการวิจัยการตั้งชื่อหัวข้อปัญหาการวิจัย ชื่อเรื่องควรระบุชื่อตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวแปรตาม (Dependent Variable) และตัวแปรอิสระ(Independent Variable) เป็นตัวแปรหลักๆ เพื่อให้รู้ว่าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง ชื่อเรื่องควรระบุถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นแหล่งข้อมูล ที่ภาษาวิจัยเรียกว่า "ประชากร" (Population) หรือ "กลุ่มตัวอย่าง" (Sample) เพื่อให้รู้ว่าเก็บข้อมูลที่ไหน หรือกลุ่มเป้าหมายมีลักษณะอย่างไร พอสังเขป ชื่อเรื่องควรบอกวิธีวิจัยอย่างคร่าวๆ ว่าทำวิจัยประเภทใด เช่น เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ หรือเชิงเปรียบเทียบหรือเป็นการวิจัยเชิงทดลอง
ตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัยตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัย
ตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัยตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัย
ตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัยตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัย
ตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัยตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัย
การออกแบบการวิจัย (Research design) • ความถูกต้องของการวิจัย • ความถูกต้องภายใน (Internal Validity) หมายถึง ความถูกต้องของเนื้อหา และข้อสรุปที่ได้จากผลการวิจัย • ความถูกต้องภายนอก (External Validity) หมายถึง ความถูกต้องของข้อสรุปผลเมื่อนำไปใช้กับประชากรทั่วไป ดังนั้น ความถูกต้องภายนอกจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าการวิจัยนั้นไม่มีความถูกต้องภายใน • วิธีการวิจัย • วิธีการเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Method) • วิธีการสำรวจ (Survey Method) • วิธีการทดลอง (Experimental Method)
การดำเนินการวิจัย การกำหนดหัวข้อการวิจัย หรือชื่อเรื่อง การกำหนดประเด็นปัญหา หรือตั้งวัตถุประสงค์ของการวิจัย การทบทวนวรรณกรรม หรือทบทวนเอกสารและแนวความคิดทฤษฎี การสร้างกรอบแนวความคิด หรือตั้งสมมติฐานการวิจัย การออกแบบการวิจัย การกำหนดประชากรเป้าหมาย และการสุ่มตัวอย่าง การสร้างเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการกับข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนรายงาน พิมพ์ และเผยแพร่ผลงานวิจัย
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย เมื่อผู้วิจัยได้ปัญหาการวิจัยที่เหมาะสมและชัดเจน รวมทั้งการออกแบบการวิจัยที่เหมาะสมแล้ว งานสำคัญต่อมาที่ผู้วิจัยควรทำคือ การจัดทำแผนการดำเนินงานวิจัยในรูปเอกสารที่เรียกว่า Research Proposal
รูปแบบการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยรูปแบบการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย • ชื่อโครงการวิจัย • คณะผู้วิจัย • ความสำคัญและความเป็นมาของการวิจัย • วัตถุประสงค์ของการวิจัย • ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ • วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง • ระเบียบวิธีวิจัย ควรจะระบุเกี่ยวกับ • ประชากรเป้าหมาย • การสุ่มตัวอย่าง • เครื่องมือและการสร้างเครื่องมือ • การเก็บรวบรวมข้อมูล • การวิเคราะห์ข้อมูล • สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล • ขอบเขตของการวิจัย • ระยะเวลาและแผนการดำเนินงาน • งบประมาณที่ใช้ในการวิจัย
การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยการกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำวิจัย ถ้ากำหนดวัตถุประสงค์ไม่ชัดก็จะทำให้ผลการวิจัยที่ได้ไม่สอดคล้องกับความต้องการของปัญหาที่จะศึกษา ในบางครั้งถ้าพิจารณาชื่อเรื่องอย่างเดียว ไม่สามารถตอบข้อคำถามได้ครบตามความต้องการ จึงจำเป็นจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ทำการวิจัยสามารถ บอกรายละเอียดได้ว่า จะต้องศึกษาอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล และการเสนอผลการวิจัยได้อย่างชัดเจน ควรกำหนดเป็นข้อๆ เพื่อความสะดวกและมีความชัดเจนในการวิเคราะห์และตอบคำถามของแต่ละข้อ ส่วนใหญ่ควรขึ้นต้นด้วยคำว่า "เพื่อ" และตามด้วยข้อความที่จะแสดงการกระทำในการ วิจัยซึ่งมักจะเป็นคำต่อไปนี้ คือ ศึกษา สำรวจ เปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์ หาผลกระทบ
ตัวอย่างวัตถุประสงค์ของการวิจัยตัวอย่างวัตถุประสงค์ของการวิจัย • หัวข้อวิจัย : ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ • วัตถุประสงค์การวิจัย : เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสภาพแวดล้อมมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ใน 5 ด้าน คือ • ด้านการเรียนการสอน • ด้านเกี่ยวกับเพื่อนหรือสังคม • ด้านการบริหาร • ด้านการบริการวิชาการ • ด้านความประทับใจในมหาวิทยาลัย