1 / 41

ลิมิตซูพีเรียร์และลิมิตอินฟี เรียร์ (Limit Superior and Limit Inferior)

ลิมิตซูพีเรียร์และลิมิตอินฟี เรียร์ (Limit Superior and Limit Inferior). ลิมิตซูพีเรียร์. พิจารณาเมื่อ มีขอบเขตบน และเมื่อ ไม่มีขอบเขตบน. กรณีที่ มีขอบเขตบน จะมีจำนวนจริง M ที่ s n  M, ทุก n .

keziah
Download Presentation

ลิมิตซูพีเรียร์และลิมิตอินฟี เรียร์ (Limit Superior and Limit Inferior)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ลิมิตซูพีเรียร์และลิมิตอินฟีเรียร์(Limit Superior and Limit Inferior)

  2. ลิมิตซูพีเรียร์ พิจารณาเมื่อ มีขอบเขตบนและเมื่อ ไม่มีขอบเขตบน กรณีที่ มีขอบเขตบนจะมีจำนวนจริง M ที่ sn M, ทุก n

  3. สำหรับแต่ละ nกำหนดเซต { sn, sn+1, sn+2, … } เช่น n = 1 ได้ { s1, s2, s3, … } n = 2 ได้ { s2, s3, s4, … } เป็นต้น ซึ่งแต่ละเซตเป็นเซตที่มีขอบเขตบน ให้ Mn = l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } เนื่องจาก { sn, sn+1, sn+2, … }  { sn+1, sn+2, sn+3, … } ทำให้ Mn  Mn+1ทุก n ดังนั้น เป็นลำดับไม่เพิ่ม ลำดับไม่เพิ่มอาจเป็นลำดับที่ลู่เข้าหรือลำดับที่ลู่ออกสู่ –อย่างใดอย่างหนึ่ง

  4. บทนิยาม 3.5.1ให้ เป็นลำดับจำนวนจริงที่มีขอบเขตบน และMn = l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } ลิมิตซูพีเรียร์ของลำดับ แทนด้วย sup sn ถ้า เป็นลำดับลู่เข้า แล้วให้ sup sn = Mn ถ้า เป็นลำดับลู่ออกสู่ –แล้วให้ sup sn = –

  5. ตัวอย่าง 1 = เป็นลำดับที่มีขอบเขตบน Mn = l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } = 1 ทุก n เป็นลำดับลู่เข้า sup sn = Mn = 1

  6. ตัวอย่าง 2 คือ 1, –2, , - 4 , , -6 เป็นลำดับที่มีขอบเขตบน Mn = l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } และลำดับ คือ 1, , , , , , ,... ซึ่งลู่เข้า ดังนั้น sup sn = Mn = 0 

  7. ตัวอย่าง 3คือ –1, –2, –3, –4, –5, … เป็นลำดับที่มีขอบเขตบน Mn = l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } = –n , n เป็นลำดับลู่ออกสู่ – sup sn = –

  8. บทนิยาม 3.5.2ถ้าเป็นลำดับจำนวนจริงที่ไม่มี ขอบเขตบนแล้วให้ sup sn =  ตัวอย่าง 4คือ 1, 2, 1, 4, 1, 6, … เป็นลำดับที่ไม่มีขอบเขตบน ดังนั้น sup sn = 

  9. ทฤษฎีบท 3.5.3ถ้าเป็นลำดับจำนวนจริงและ เป็นลำดับลู่เข้าแล้ว sup sn = sn การพิสูจน์ให้ sn = L สำหรับ  > 0 จะมีจำนวนเต็มบวก k ที่ทำให้ | sn – L | <  , n  k L –  < sn < L +  , n  k สำหรับ n  k จะมี L + เป็นขอบเขตบนของเซต { sn, sn+1, sn+2, … } แต่ L – ไม่เป็นขอบเขตบนของเซต { sn, sn+1, sn+2, … }

  10. L – < Mn = l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } L + , n  k { Mn } เป็นลำดับไม่เพิ่มที่ลู่เข้าและโดยบทแทรก 3.4.4 ทำให้ L –  Mn L +  L –  sup sn L +  เนื่องจากเป็นจำนวนจริงบวกใดๆ ดังนั้นย่อมได้ว่า sup sn = L 

  11. บทนิยาม 3.5.4ให้ เป็นลำดับของจำนวนจริงที่มีขอบเขตล่างและ mn = g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … } ลิมิตอินฟีเรียร์ แทนด้วย inf sn 1. ถ้า เป็นลำดับลู่เข้าแล้วให้ inf sn = mn 2. ถ้า เป็นลำดับลู่ออกสู่ แล้วให้ inf sn = 

  12. บทนิยาม 3.5.5ให้ เป็นลำดับของจำนวนจริงที่ไม่มีขอบเขตล่าง แล้วให้ inf sn = – ตัวอย่าง 5 = เป็นลำดับที่มีขอบเขตล่าง mn = g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … } = –1 ทุก n เป็นลำดับลู่เข้า inf sn = mn = –1 

  13. ตัวอย่าง 6 คือ 2, 4, 6, 8, 10, … เป็นลำดับที่มีขอบเขตล่าง mn = g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … } = 2n , n เป็นลำดับลู่ออกสู่ inf sn =  ดังนั้น

  14. ตัวอย่าง 7 คือ 1, –2 , 1, –4, 1, –6, … เป็นลำดับที่ไม่มีขอบเขตล่าง inf sn = – ดังนั้น

  15. = ตัวอย่าง 8 เป็นลำดับที่มีขอบเขต sup sn = Mn = 0 mn = 0  inf sn =

  16. ทฤษฎีบท 3.5.6ถ้า เป็นลำดับจำนวนจริงที่ลู่เข้าแล้ว inf sn = sn ทฤษฎีบท 3.5.7ถ้า เป็นลำดับจำนวนจริง แล้ว inf sn = supn

  17. การพิสูจน์ (1) ถ้ามีขอบเขต mn = g.l.b.{ sn, sn+1, sn+2, … }  l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } = Mn mn inf sn sup sn Mnดังนั้น (2) ถ้าไม่มีขอบเขต sup sn = หรือ ดังนั้น inf sn = – inf sn จาก (1), (2) นั่นคือ sup sn 

  18. ทฤษฎีบท 3.5.8ถ้า เป็นลำดับจำนวนจริง sup sn = inf sn = L และ L แล้ว เป็นลำดับลู่เข้า และ sn = L การพิสูจน์ให้ > 0 เนื่องจาก L = sup sn = l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … }

  19. จะมีจำนวนเต็มบวก k1ที่ทำให้ | l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } – L | <  , n k1 l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } < L +  , n k1 ทำให้ sn < L +  , n k1 inf sn เนื่องจาก L = = g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … }

  20. จะมีจำนวนเต็มบวก k2ที่ทำให้ | g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … } – L | <  , n k2 L –  < g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … } , n k2 ทำให้ L – < sn , n k2 ให้ k = max { k1, k2 } ทำให้ L – < sn < L + , n k ดังนั้น | sn – L | < , n k นั่นคือ sn = L

  21. ทฤษฎีบท 3.5.9ถ้า เป็นลำดับจำนวนจริง และ sup sn =  = inf sn แล้วลำดับ เป็นลำดับลู่ออกสู่บวกอนันต์ การพิสูจน์ให้ M > 0 เนื่องจาก inf sn =  จะมีจำนวนเต็มบวก k ซึ่งทำให้ g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … } > M , n  k sn g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … } , n  k ดังนั้น sn > M , n  k นั้นคือ ลู่บวกออกสู่อนันต์

  22. ทฤษฎีบท 3.5.10 ถ้า และ เป็นลำดับ จำนวนจริงและเป็นลำดับ ที่มีขอบเขตถ้า sn tn , n แล้ว (1) sup sn sup tn (2) inf sn inf tn

  23. การพิสูจน์เนื่องจาก sn tn , n Mn= l.u.b.{ sn, sn+1, sn+2, … }  l.u.b.{ tn, tn+1, tn+2, … } = Mn และ เป็นลำดับไม่เพิ่มที่ลู่เข้าและจาก ทฤษฎีบท 3.4.4 ดังนั้น sup sn sup tn

  24. mn = g.l.b.{ sn, sn+1, sn+2, … }  g.l.b.{ tn, tn+1, tn+2, … } = mn และ เป็นลำดับไม่ลดที่ลู่เข้าและจากทฤษฎีบท 3.4.4 ดังนั้น inf sn inf tn 

  25. ทฤษฎีบท 3.5.11 ถ้า และ เป็นลำดับ จำนวนจริงและเป็นลำดับ ที่มีขอบเขตแล้ว (1) sup ( sn + tn )  sup sn + sup tn (2) inf ( sn + tn )  inf sn + inf tn

  26. การพิสูจน์ (1) เนื่องจากและ เป็นลำดับ ที่มีขอบเขต ให้ Mn = l.u.b.{ sn, sn+1, sn+2, … } sk Mn ( k  n ) Pn = l.u.b.{ tn, tn+1, tn+2, … } tk Pn ( k  n ) พิจารณาผลบวกของลำดับกับ

  27. จะได้ว่า sk + tk Mn + Pn ( k  n ) ดังนั้น Mn + Pnเป็นขอบเขตบนของ { sn+ tn, sn+1+ tn+1, sn+2+ tn+2, … } โดยทฤษฎีบท 3.4.4 และทฤษฎีบท 3.4.1 l.u.b.{ sn+ tn, sn+1+ tn+1, sn+2+ tn+2, … }  Mn + Pn l.u.b.{ sn+ tn, sn+1+ tn+1, sn+2+ tn+2, … } (Mn + Pn) นั้นคือ sup ( sn + tn )  sup sn + sup tn สำหรับการพิสูจน์ (2) สามารถทำได้ในทำนองเดียวกันกับ (1)  = Mn + Pn

  28. ทฤษฎีบท 3.5.12ให้ เป็นลำดับจำนวนจริงและเป็น ลำดับที่มีขอบเขต ถ้า sup sn = M แล้วสำหรับ  > 0 (1) sn < M + สำหรับทุกค่าของ n ยกเว้นเพียงบางค่า มีเป็นจำนวนจำกัด (2) sn > M – สำหรับ n มีเป็นจำนวนอนันต์

  29. การพิสูจน์ (1) สมมติข้อความ (1) ไม่จริง จะมี > 0ที่ทำให้ sn  M + สำหรับ n มีเป็นจำนวนอนันต์ ดังนั้นแต่ละ n , จะมี sk  { sn, sn+1, sn+2, … } ซึ่ง sk  M +  ทำให้ l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } M +  , n l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … }  ( M +  ) sup sn M + 

  30. ทำให้ M M +  เกิดการขัดแย้ง นั่นคือทุก  > 0 , sn < M + สำหรับทุกค่าของ n ยกเว้นเพียงบางค่า และมีเป็นจำนวนจำกัด

  31. (2) สมมติข้อความ (2) ไม่จริง จะมี > 0ที่ทำให้ sn > M – สำหรับ n บางค่ามีเป็นจำนวนจำกัด ทำให้มีจำนวนเต็มบวก k ซึ่ง sn  M – , n  k ดังนั้น M – เป็นขอบเขตบนของ { sn, sn+1, sn+2, … } , n  k และ l.u.b. { sn, sn+1, sn+2, … } M –  sup sn M –  ทำให้ M  M – เกิดการขัดแย้ง นั่นคือทุก > 0 , sn > M – สำหรับค่าของ n มีจำนวนเป็นอนันต์

  32. ทฤษฎีบท 3.5.13ให้ เป็นลำดับจำนวนจริงที่มีขอบเขตถ้า inf sn = m แล้วสำหรับ  > 0 (1) sn > m – สำหรับทุกค่าของ n ยกเว้นเพียงบางค่า มีเป็นจำนวนจำกัด (2) sn < m + สำหรับ n มีเป็นจำนวนอนันต์

  33. การพิสูจน์ (1) สมมติข้อความ (1) ไม่จริง จะมี  > 0ที่ทำให้ sn  m – สำหรับ n มีเป็นจำนวนอนันต์ ดังนั้น สำหรับแต่ละ n, จะมี sk { sn, sn+1, sn+2, … } ซึ่ง sk  m –  ทำให้ g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … }  m –  , n g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … }  ( m –  ) inf sn m –  m  m –  เกิดการขัดแย้งนั่นคือทุก > 0 , sn > m – สำหรับทุกค่าของ n อาจยกเว้น เพียงบางค่ามีเป็นจำนวนจำกัด

  34. (2) สมมติข้อความ (2) ไม่จริง จะมี  > 0ที่ทำให้ sn < m + สำหรับ n บางค่ามีเป็นจำนวนจำกัด ทำให้มีจำนวนเต็มบวก k ซึ่ง sn  m + , n  k ดังนั้น m + เป็นขอบเขตล่างของ { sn, sn+1, sn+2, … } , n  k และ g.l.b. { sn, sn+1, sn+2, … }  m +  inf sn m +  m  m +  เกิดการขัดแย้ง นั่นคือทุก > 0 , sn < m + สำหรับ n มีเป็นจำนวนอนันต์

  35. ทฤษฎีบท 3.5.14 ทฤษฎีบทโบลซาโน–ไวแยร์สตราสส์ สำหรับลำดับ (The Bolzano–Weierstrass Theorem for Sequence) ถ้า เป็นลำดับจำนวนจริงที่มีขอบเขต แล้วจะมีลำดับ ย่อยที่เป็นลำดับลู่เข้า การพิสูจน์เนื่องจาก เป็นลำดับที่มีขอบเขต ให้sup sn = M สร้างลำดับย่อยของลำดับ

  36. โดยทฤษฎีบท 3.5.12 (2) จะได้ว่า sn > M – 1 สำหรับ n มีเป็นจำนวนอนันต์ ให้ n1ที่> M – 1 และ sn > M – สำหรับ n มีเป็นจำนวนอนันต์ ให้ n2โดยที่ n1 < n2และ > M – พจน์ต่อๆไปของสร้างในทำนองเดียวกัน โดยที่พจน์ที่ i ของลำดับย่อยนั้น ni > ni–1และ > M – .....()

  37. ต่อไปจะแสดงว่าลำดับย่อย ลู่เข้า ให้  > 0โดยทฤษฎีบท 3.5.12 (1) จะได้ว่า sn < M + สำหรับทุกค่า n ยกเว้นเพียงบางค่าเป็นจำนวนจำกัด ดังนั้นจะมี kที่ทำให้ sn < M + , n  k เลือก k  ซึ่ง < และ nk > kทำให้ < M +  .....()

  38. สำหรับ i  k จะได้ว่า < และ ni > k จาก () และ () จะได้ว่า M –  < M – < < M +  , i  k | – M | <  , i  k นั่นคือ เป็นลำดับลู่เข้าสู่ M 

  39. ทฤษฎีบท 3.5.15ให้ F เป็นเซตย่อยของเซตจำนวนจริง F เป็นเซตปิด ก็ต่อเมื่อ ถ้าเป็นลำดับจำนวนจริงและเป็นลำดับลู่เข้า ที่ xnF สำหรับทุก nแล้วxnเป็นสมาชิกของ F การพิสูจน์ (  )เนื่องจาก เป็นลำดับลู่เข้าให้ xn= x จะแสดงว่า xF สมมติ xF ดังนั้น xF เนื่องจาก Fเป็นเซตเปิดจะมี  > 0 ซึ่งทำให้ ( x – , x +  )  F

  40. เนื่องจาก x = xnจะมีจำนวนเต็มบวก k ซึ่ง | xn – x | < สำหรับ n k ดังนั้น xnF เกิดการขัดแย้งเพราะ xnF สำหรับทุก n ดังนั้น xF

  41. (  )สมมติ F ไม่ใช่เซตปิดดังนั้น Fไม่ใช่เซตเปิด จึงมี y0F สำหรับแต่ละ nสร้างลำดับ โดย ynF ซึ่ง | yn – y0 | < เป็นลำดับใน F ที่ yn = y0F เกิดการขัดแย้ง ดังนั้น F เป็นเซตปิด

More Related