471 likes | 1.34k Views
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่. Gagne ได้ให้นิยามของการเรียนรู้ไว้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงสมรรถภาพ ( Capability) หรือความสามารถ ของมนุษย์ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมบางประการที่ แสดงออกมา การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ ได้รับประสบการณ์จากสภาพการเรียนรู้ในระยะเวลาหนึ่ง .
E N D
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่
Gagne ได้ให้นิยามของการเรียนรู้ไว้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงสมรรถภาพ (Capability) หรือความสามารถ ของมนุษย์ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมบางประการที่ แสดงออกมา การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ ได้รับประสบการณ์จากสภาพการเรียนรู้ในระยะเวลาหนึ่ง
กาเย่ ได้แบ่งประเภทการเรียนรู้พื้นฐานออกเป็น 8 ลักษณะ • เรียงตามลำดับก่อนหลังได้ดังนี้ • การเรียนรู้สัญญาณ (Signal Learning) • การเรียนรู้จากสิ่งเร้ากับการตอบสนอง(Stimulus –Response Learning) • การเรียนรู้เชื่อมโยง (Simple Chaining Learning) • การเรียนรู้ด้วยภาษา (Verbal Association Learning ) • การเรียนรู้ความแตกต่าง (DiscriminationLearning) • การเรียนรู้มโนทัศน์ ( ConceptLearning) • การเรียนรู้กฎ (Rule Learning) • การเรียนรู้การแก้ปัญหา (Problem –solving Learning )
การเรียนรู้สัญญาณ (Signal Learning) • เป็นการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานที่สุด • เกิดขึ้นโดยผู้เรียนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็น • เงื่อนไขอย่างทันทีทันใด • และเกิดการเรียนรู้เมื่อกระทำซ้ำหลาย ๆ ครั้งบนเงื่อนไข • เดียวกัน
การเรียนรู้จากสิ่งเร้ากับการตอบสนอง(Stimulus –Response Learning) • เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างตั้งใจหรือจำเพาะเจาะจงโดยกระทำซ้ำบ่อย ๆ • ตอบสนองให้ถูกต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ • การควบคุมสิ่งเร้าจะเพิ่มความถูกต้องของการตอบสนองได้มากขึ้น • การเสริมแรงหรือการให้รางวัลมีความจำเป็น
การเรียนรู้เชื่อมโยง (Simple Chaining Learning) เป็นการเรียนที่จะต้องมีการกระทำเชื่อมโยงต่อเนื่อง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองตั้งแต่สองคู่ขึ้นไป โดยมากเป็นการเรียนรู้ด้านทักษะ (Motor Learning)
การเรียนรู้ด้วยภาษา (Verbal Association Learning ) • การเรียนจะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของการใช้ถ้อยคำหรือภาษาตอบสนองต่อสิ่งเร้า จนเกิดเป็นภาษาขึ้นมาเรียกสิ่งต่างๆ • การเรียนประเภทนี้ เป็นลักษณะเดียวกับการเรียนรู้แบบเชื่อมโยง (Connection Learning) ของเอบบิงฮอส (Ebbinghaus)
การเรียนรู้ความแตกต่าง (Discrimination Learning) • เป็นการเรียนรู้ที่ต้องมีความเข้าใจอย่างกว้างขวางลึกซึ้งตามลำดับขั้นต่าง ๆ ที่จะเรียนรู้ จนสามารถจำแนกความแตกต่างที่มีอยู่ของสิ่งเร้าทั้งหลายได้เช่น สามารถแยกชื่อต่าง ๆ ของพืชและสัตว์ได้และเรียกได้อย่างถูกต้อง
การเรียนรู้มโนทัศน์ ( Concept Learning) • โดยทั่วไปมโนทัศน์จะมีอยู่สองลักษณะคือ • มโนทัศน์แบบรูปธรรมม ซึ่งเกิดขึ้นจากการสังเกตและร่วมกิจกรรม จากสภาพการณ์ที่จัดให้เป็นแบบรูปธรรม • มโนทัศน์แบบนามธรรม เป็นมโนทัศน์ที่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสิ่งแทนของจริงต่าง ๆ เช่น สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ความร้อน เป็นต้น ดังนั้น การเรียนรู้มโนทัศน์ จึงเกิดขึ้นได้ตามจุดมุ่งหมายที่เราตั้งไว้ โดยเรียนรู้ผ่านทางสภาพการณ์การเรียนรู้เพื่อให้เกิดการตอบสนอง จนสามารถสรุปหลักการและจุดมุ่งหมายจากสิ่งแวดล้อมได้
การเรียนรู้กฎ (Rule Learning) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการนำเอามโนทัศน์จำนวนเหนึ่งมาสัมพันธ์กันอย่างมีลำดับต่อเนื่องและชัดเจน แล้วสร้างเป็นข้อสรุปหรือกฎที่มีความหมายใหม่ขึ้นมา และสามารถนำไปใช้อธิบายกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้
การเรียนรู้การแก้ปัญหา (Problem –solving Learning ) เป็นการเรียนรู้ขั้นสูงที่สุดที่เกิดจากการนำหลักหรือกฎเบื้องต้นต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมา จากหลักการก็จำนำไปสู่กระบวนการคิดใหม่ ๆ เกิดการคิดและขยายแนวคิด จนสามารถนำหลักการไปใช้อย่างสร้างสรรค์ และสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ จนกระทั่งได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้น
จากลักษณะการเรียนรู้ดังกล่าว กาเย่ได้กล่าวว่า ผู้เรียนจะเกิดความสามารถ ซึ่งเป็นผลของการเรียนรู้ (Learning Outcomes) และผลของการเรียนรู้นี้ ถ้ามองในมุมหนึ่งก็คือ “จุดมุ่งหมายของการศึกษาและการ เรียนการสอน” นั่นเอง
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาแย่กับเทคโนโลยีการศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ของกาแย่กับเทคโนโลยีการศึกษา จากทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ ดังได้อธิบายสรุปมาแล้วนั้น จะเห็นว่าเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมสมัยที่ประยุกต์ทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆเข้ามาสู่เหตุการณ์การเรียนการสอน (Instructional Event) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับการออกแบบและพัฒนาระบบการสอน ซึ่งก็คือเทคโนโลยีการสอนนั่นเอง
กาเย่ ได้ให้ข้อเสนอแนะว่าการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลจะมีประสิทธิภาพเพียงใดนั้น จะขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการคือ 1. สภาพการเรียนรู้ (Conditions of Learning ) เป็นความพร้อมภายในตัวผู้เรียน ( Internal Conditions) ด้านความสามารถที่มีอยู่ก่อนเรียน (พฤติกรรมเบื้องต้น) และสภาพภายนอก (External Conditions) ที่จัดให้แก่ผู้เรียน
เหตุการณ์ในการเรียนรู้ (Event of Learning ) • หมายถึง กระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเรียนรู้ กาเย่ได้เสนอรูปแบบของกระบวนการเรียนรู้และการจำ (A basic Model of Learning and memory) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ตั้งอยู่บนทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้ความเข้าใจยุคใหม่ [Modern Cognitive ( Information processing) Theories ]
การควบคุม (Exccutive Control) ความคาดหวัง (Expcclancies) หน่วยแสดง (Effector) ความจำระยะยาว (Long-Term Momory) การควบคุมการตอบสนอง (Response Generator) สภาพ แวดล้อม (Environ- Ment) หน่วยรับ (Receptor) การบันทึกความรู้สึก (Sensory Register) ความจำระยะสั้น (Shot-Term Memory) รูปแบบกระบวนการเรียนรู้และการจำของกาเย่
จากภาพ • เมื่อมีสิ่งเร้าจากสภาพแวดล้อมมากระตุ้นหน่วยรับ • ประสาทสัมผัสจะรับสิ่งเร้าส่งไปทำการบันทึกความรู้สึก • และจะได้รับการกลั่นกรองจากกระบวนความตั้งใจและการเลือกการรับรู้ เลือกเฉพาะข้อมูลที่ต้องการ • แล้วส่งต่อหน่วยความจำระยะสั้น โดยอาศัยสื่อ (ภาพและหรือเสียง) และบางส่วนถูกส่งไปยังหน่วยความจำระยะยาวและเรียกมางานได้ด้วยกระบวนการเสาะหา และการระลึก ผลจากกระบวนการนี้ทำให้มีการปฏิบัติโดยอาศัยหน่วยแสดง เป็นการตอบสนอง เมื่อได้ทราบผลการปฏิบัติก็จะเกิดการเรียนรู้ การทราบผลการปฏิบัติเป็นกระบวนการข้อมูลย้อนกลับ ส่วนการควบคุมประสิทธิภาพการเรียนรู้นั้น จะขึ้นอยู่กับกระบวนการควบคุมและการคาดหวัง กระบวนการควบคุมที่สำคัญคือ ยุทธศาสตร์การคิด
ลำดับขั้นของกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องกัน เป็น 8 ลำดับขั้น คือ 1. ความตั้งใจ (Attention) เป็นลักษณะและธรรมชาติของมนุษย์ในการรับรู้ สิ่งเร้า 2. การรับรู้ (Selective Perception) เป็นการเลือกรับรู้ความรู้ต่าง ๆ เพื่อนำไปเก็บ ในหน่วยความจำระยะสั้น 3. จัดข้อมูลความรู้ (Rehearsal) ในหน่วยความจำระยะสั้น 4. จัดรหัสความรู้ (Semantic Encoding) เพื่อนำไปเก็บในหน่วยความจำระยะยาว 5. นำออกมาใช้ (Retrieval) รวมทั้งการเสาะหา การนำความรู้เก็บไว้ในความจำ การทำงานหรือหน่วยการตอบสนอง
6. การตอบสนอง (Response Organization) เป็นการเลือกและการ จัดการปฏิบัติ 7. การป้อนกลับ ( Feedback) เป็นเหตุการณ์ภายนอกในลักษณะของ การเสริมแรง 8. การควบคุมประบวนการเรียนรู้ (Executive Control Processes) เป็น การใช้ยุทธศาสตร์การคิดและอื่น ๆ เป็นกระบวนการภายในตัว ผู้เรียนที่จะ ควบคุมกระบวนการเรียนรู้
ผลที่เกิดจากการเรียนรูผลที่เกิดจากการเรียนรู การเรียนรูในทัศนะของ Gagne ครอบคลุมไปถึงผลที่เกิดขึ้นจากประสบการณที่ไดรับจาก การเรียนรู (outcomes of learning experiences) การศึกษาทัศนะของ Gagne เกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ที่จะ เกิดขึ้นจากการเรียนรูจะเปนขอมูลในการจัดประสบการณการเรียนรูใหแก ผู้เรียน Gagne ไดแบงแยกรูปแบบของความสามารถที่เปนผลมาจากการเรียนรูหรือผลิตผลที่ได จากการเรียนรู (end products) ออกเปน 5 ประการ คือ 1. สารสนเทศที่เปนคําพูด (verbal information) 2. ทักษะทางสติปญญา (intellectual skills) 3. เจตคติ (attitudes) 4. ทักษะการเคลื่อนไหว (motor skills) 5. กลยุทธในการจัดการขอมูล (cognitive strategies)
ผลการเรียนรูดานการรับรูสารสนเทศ (verbal information) ผลการเรียนรูดานการรับรูสารสนเทศ เปนความสามารถของผูเรียนในการจะเรียนรูวา ขอมูลนั้น คืออะไร สารสนเทศในที่นี้ไดแก เนื้อหาในแตละบทเรียน ขอเท็จจริง วันที่ ชื่อ ลักษณะรูปพรรณสัณฐาน ของสิ่งตางๆ ความสามารถในการรับรูสารสนเทศเหลานี้ อาจอยูใน รูปของสารสนเทศที่ไดจากการอาน หรือสารสน เทศที่ไดจากการบอกกลาว ซึ่งลวนเปน วิธีการที่ทําใหเกิดการเรียนรูได
ผลการเรียนรูดานทักษะสติปญญา (intellectual skills) ผลการเรียนรูดานทักษะสติปญญา เปนความสามารถในการเรียนรูวาจะกระทําอยางไร กับ สารสนเทศที่รูนั้น เปนการประยุกตจากอะไรเปนอยางไร เปนการเรียนรูที่เกิดจากการใช สัญลักษณ การสื่อ ความหมาย และการคํานวณ เพื่อแกปญหา การทําใหผูเรียนไดมี ปฏิสัมพันธกับสภาพแวดลอมทางออม โดยใหปฏิบัติตามที่ผูเรียนคิด 1. ขั้นการรูลักษณะแตกตาง (discrimination) เปนขั้นที่สามารถบอกความแตกตางระหวาง สัญลักษณตาง ๆ 2. ขั้นการเกิดความคิดรวบยอด (concepts forming) เปนความสามารถในการเรียนรูความคิดรวบยอด 3. ขั้นการเรียนรูกฏ (rules learning) เปนขั้นที่นําความคิดรวบยอดตาง ๆ มาสัมพันธกันเกิด เปนกฏและสามารถใชกฎนั้นเพื่อหาคําตอบได
ผลการเรียนรูดานเจตคติ (attitudes) เปนภาวะภายในของสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลตอการกระทําและการคิดที่มีรูปแบเฉพาะตอคน สัตว สิ่งของ และเหตุการณ การที่คนเราไดรับประสบการณทั้งทางดานบวกและลบทําใหเกิดการเรียนรูได เชน การปฏิบัติงานแลวเปนที่ยอมรับของเพื่อน ก็จะทําใหมีเจตคติที่ดีตอการปฏิบัติงานนั้นตอไป ผลการเรียนรู ที่ทําใหเกิดเจตคติทางบวกยอมทําใหเกิดความเต็มใจในการเรียนรูสิ่งนั้น
ผลการเรียนรูดานทักษะการเคลื่อนไหว (motor skills) เปนความสามารถที่คนเราใชในกิจกรรมตาง ๆ ทักษะในการ เคลื่อนไหวมีองคประกอบ 2 ประการดวยกันประการแรก คือ กฏ ที่จะบอกใหทราบวาจะทําอยางไร หรือจะเคลื่อนไหวอยางไร ประการที่สองคือ การเคลื่อนไหวของกลามเนื้อซึ่งจะคลองแคลวถูกตอง มากขึ้นจากการฝกปฏิบัติ
ผลการเรียนรูดานกลยุทธในการจัดการสารสนเทศ (cognitive strategies) กลยุทธในการจัดการสารสนเทศ เปนทักษะทางสติปญญาแบบพิเศษ เปนความสามารถที่ ผูเรียน จัดการภายในโครงสรางความรูความคิดโดยใชกระบวนการที่เกี่ยวของกับขอมูล ความ ตั้งใจ การเรียนรู การจํา และการคิด รูปแบบการเรียนรูเหลานี้จะตองมีทักษะเกี่ยวกับ กระบวนการของขอมูลเขามา เกี่ยวของ พฤติกรรมในกิจวัตรประจําวันตาง ๆ เหลานี้ ไดแก ความตั้งใจ การจํา ความเขาใจ และ การแก ปญหา เคยเปนหัวขอที่นักจิตวิทยานํามาศึกษา เพื่อมุงหวังที่จะใหเกิดความ เขาใจอยาง ลึกซึ้งถึงการรับขอมูลเพื่อจํา เพื่อแกปญหา และเพื่อประยุกตความรูที่ไดนี้มา ปรับปรุงการศึกษาเพื่อชวย ซอมเสริมการคิดที่ไมสมบูรณ
ลําดับขั้นการสอน Gagne และ Briggs (1974) ไดเสนอแนวความคิดของลําดับขั้นการสอนไว 9 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นดึงความสนใจ (gaining attention) เพื่อเราใหผูเรียนเกิดความตั้งใจในการเรียน 2. ขั้นใหผูเรียนทราบจุดประสงค (informing the learner of the objective) เพื่อให ผูเรียน ไดทราบวา ผูเรียนจะเรียนรูอะไร ชวยใหผูเรียนไดเรียนรูอยางมีความหมาย 3. ขั้นกระตุนการเรียนรูที่มีอยูเดิม (stimulating recall of prerequisite learning) เพื่อกระตุนให ผูเรียนนําความรูที่มีอยูเดิมมาสัมพันธกับความรูใหม 4. ขั้นใหสื่อสิ่งเรา (presenting the stimulus material) สิ่งเราที่แสดงหรือสื่อใหแก ผูเรียนเปน สิ่งเราและสื่อที่เกี่ยวของกับการกระทํา (performance) ซึ่งสะทอนใหเห็นสิ่งที่ ผูเรียนจะเรียนรู
5. ขั้นใหแนวทางสูการเรียนรู (providing “learning guidance”) ผูสอนอาจใชคําถามชวย ชี้นําใหผูเรียน เพื่อใหผูเรียนไดกฎเกณฑและเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ 6. ขั้นใหแสดงออก (eliciting the performance) ผู้สอนอาจใหผูเรียนแสดงหรือทําใหดูเพื่อ ให ผูเรียนไดแสดงความสามารถเมื่อไดรับแนวทางหรือการบอกแลว 7. ขั้นใหขอมูลปอนกลับ (providing feeding) เปนขั้นที่ชวยใหผูเรียนไดทราบถึงผลที่ ตนปฏิบัติ หรือแสดงวาไดผลดีเพียงใด 8. ขั้นประเมินผล (assessing the performance) เปนขั้นของการตรวจสอบผลการ เรียนรูของ ผูเรียนแตละคนวามีความตั้งใจในการเรียนและมีความรูความคิดถูกตองมากนอยเพียงใด 9. ขั้นสงเสริมความคงทนและการถายโยง (enhancing retention and transfer) เปนขั้นของ การใหผูเรียนได นําความรูที่ไดนั้นไปเชื่อมโยงสัมพันธกับขอมูลใหม เพื่อเสริมความจําหรือทําใหเกิดความ รูใหม เชนให ทําแบบฝกหัด หรือทบทวน
จัดทำโดย สุนันทรัตน์ โพธิ์ศรี รอยพิมพ์ จันทรโชติ โกศล เลิศล้ำ ดวงพร บุญเจริญ กรุณา สุชิน