1 / 18

Legionnaire Disease โรคลีเจียนเนลโลสิส

Legionnaire Disease โรคลีเจียนเนลโลสิส. Legionnaire Disease ลักษณะโรค โรคลีเจียนเนลโลสิส ( Legionellosis ) เป็นโรคติดต่อมี 2 แบบ 1. ชนิดรุนแรงเรียกโรคปอดอักเสบลีเจียนแนร์ ( Legionnaires'disease )

darcie
Download Presentation

Legionnaire Disease โรคลีเจียนเนลโลสิส

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. Legionnaire Disease โรคลีเจียนเนลโลสิส

  2. Legionnaire Disease • ลักษณะโรค • โรคลีเจียนเนลโลสิส (Legionellosis) เป็นโรคติดต่อมี 2 แบบ • 1. ชนิดรุนแรงเรียกโรคปอดอักเสบลีเจียนแนร์ • (Legionnaires'disease) • 2. ชนิดไม่รุนแรงเรียกโรคไข้ปอนเตียก (Pontiac fever) • สาเหตุ • เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Legionella ที่ตรวจพบแล้วประมาณ 43 species 65 serogroups แต่ที่พบก่อให้เกิดโรคในคนบ่อยที่สุดคือ Legionella pneumophila ซึ่งตรวจพบแล้ว 18 serogroups เชื้อ Legionlla พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิน้ำอุ่น 32-45° ซ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายเดือนในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง และแบ่งตัวในที่ที่มีสาหร่ายและอินทรีย์วัตถุ

  3. วิธีการติดต่อ • โดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในละอองฝอยของน้ำหรือการสำลัก เช่น น้ำจากหอผึ่งเย็นความร้อน(cooling towers) ของระบบปรับอากาศ ฝักบัวอาบน้ำ อ่างน้ำวน เครื่องมือช่วยหายใจ น้ำพุสำหรับตกแต่งอาคารสถานที่ต่างๆ • การแพร่เชื้อจากคนไปสู่คนยังไม่มีปรากฎ • ระยะฟักตัว • โรคลีเจียนแนร์ส่วนใหญ่จะปรากฏอาการภายใน • 5-6วันหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 2-10 วัน • โรคไข้ปอนเตียกมักจะมีอาการภายใน24-48 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 5-66 ชั่วโมง

  4. ระยะติดต่อ • ยังไม่พบการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คนดังนั้น คนจึงไม่เป็นพาหะของโรค มีการตรวจเลือดของผู้ป่วยภายหลังป่วยหลายปีพบแอนติบอดีต่อ Legionella ซึ่งบ่งชี้ว่าเคยป่วยมาแล้วไม่ใช่กำลังป่วย • อาการและอาการแสดง • มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ (flu-like illness) เริ่มด้วย ปวดศรีษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตามด้วยมีไข้สูง (39-40° ซ) หนาวสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาจมีอุจจาระร่วง ไอแห้งๆ • ในกรณีที่เป็นไข้ปอนเตียกมักจะหายภายใน 2-5 วัน แม้จะไม่ได้รับการรักษา • ส่วนโรคลีเจียนแนร์มักจะมีปอดอักเสบและลามไปที่ปอดทั้งสองข้าง ทำให้การหายใจล้มเหลว มีอัตราตายสูง

  5. การวินิจฉัยแยกโรค • ถ้าต้องการวินิจฉัยแยกจากโรคปอดอักเสบจากเชื้ออื่นๆต้องตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการโดยการเพาะแยกเชื้อจากเสมหะ น้ำจากโพรงเยื่อหุ้มปอด หลอดลม หลอดคอ หรือ ตรวจหาแอนติบอดีในเลือด

  6. ระบาดวิทยา • บันทึกการพบผู้ป่วยรายแรกใน พ.ศ. 2490 และการระบาดครั้งแรกใน พ.ศ. 2500 ที่รัฐมินนิโซตา มีการระบาดครั้งใหญ่ของโรคปอดอักเสบในหมู่ผู้ร่วมประชุมสมาคม "สหายสงคราม" (American Legion Convention)ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2519 มีผู้ป่วย 182 ราย เสียชีวิต 29 ราย • อีก 6 เดือนต่อมา McDade JE และคณะ จึงได้พบเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุจากปอดของผู้เสียชีวิตจึงเป็นที่มาของชื่อ • "โรค Legionella pneumophila"

  7. โรคลีเจียนแนร์เป็นโรคที่ต่างประเทศให้ความสนใจเนื่องจากมีอัตราป่วยตายสูงโดยเฉพาะประเทศ ในแถบยุโรปมีระบบเฝ้าระวังและมีคณะทำงานสำหรับโรคนี้ในปีพ.ศ. 2529 โดยเฉพาะเรียกว่า • European working group for Legionella infections (EWGLI)

  8. ประเทศไทยมีรายงานโรคนี้ครั้งแรกปีพ.ศ. 2527 นอกจากนี้ยังได้รับแจ้งจาก EWGLIเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ป่วยด้วยโรค Legionnaires หลังกลับจากเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536-2553 จำนวน 109 รายและ • จากฐานข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาระหว่างปี • 2550-2553ได้รับรายงานผู้ป่วยจำนวน 15 ราย • มักพบในวัยกลางคน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ มะเร็ง ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีอาการ ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง โรคพิษสุราเรื้อรัง สูบบุหรี่จัด

  9. ระบบประปา •  กรณีใช้น้ำประปาควรมีการตรวจสอบ • ปริมาณคลอรีนตกค้างของน้ำในบ่อพัก • ทุกวัน ถ้ามีน้อยกว่า0.2 ppm.ให้รีบแจ้งการ • ประปาเพื่อเติมคลอรีนหรือเติมคลอรีนเอง • ให้มีคลอรีนตกค้างไม่น้อยกว่า 0.2 ppm. •  กรณีเก็บน้ำสำรองไว้ในบ่อพักควรตรวจ • ปริมาณคลอรีนตกค้างไม่ให้น้อยกว่า • 0.2 ppm

  10. ระบบน้ำร้อนรวม • ต้องผลิตน้ำให้มีอุณหภูมิสูงกว่า 60°ซตลอด • เวลาและส่งน้ำออกไปให้มีอุณหภูมิสูงกว่า • 50°ซในทุกที่ที่น้ำร้อนไปถึง และพยายาม • ไม่ให้มีท่อน้ำร้อนที่ไม่มีการไหลเวียน • (dead space) • ในกรณีที่เกิดการระบาดควรปรับอุณหภูมิ • ของน้ำที่ผลิตให้สูงกว่าปกติ

  11. การรักษา • ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาคือ erythromycin ยาที่ใหม่กว่าคือ azithromycin และ clarithromycin ก็ใช้ได้ผลเช่นกัน ในรายที่มีอาการรุนแรงยาที่ใช้เพิ่มคือ rifampin • การป้องกันและควบคุมโรค • มาตรการป้องกัน • เชื้อ L. pneumophila spp. ที่อาศัยอยู่ในน้ำเป็นแหล่งแพร่กระจายโรค ดังนั้นการดูแลความสะอาดของแหล่งน้ำต่าง ๆ ภายในอาคาร เช่นโรงแรม โรงพยาบาล ดังนี้

  12. ระบบปรับอากาศ และระบายความร้อน 1.ทำความสะอาดแหล่งที่อาจแพร่เชื้อโรค 1-2 ครั้ง/เดือน 1.1 หอผึ่งเย็นโดยการขัดล้าง นำสาหร่าย/ตะกอน ออกจากก้นถังแล้วใส่สารชีวฆาต(biocide)อย่าง น้อยสองชนิดลงในน้ำ  เครื่องปรับอากาศในห้องพัก กรณีมี Fan coil unit ในห้องพัก ต้องทำความสะอาดถาดรองน้ำที่หยดจาก ท่อคอยล์เย็น ทุก 1-2 สัปดาห์ ไม่ให้มีตะไคร่เกาะ

  13. ระบบปรับอากาศ และระบายความร้อน..ต่อ 1.2 ถังกักเก็บน้ำโดยการดูดตะกอนและล้างก้นถัง 1.3 อุปกรณ์ห้องน้ำในห้องพัก ฝักบัว หัวก๊อกน้ำของห้องพักถอดออกมาขัด และ ล้างด้วยน้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอกหลังจากนั้น แช่น้ำร้อน 65°ซนาน 10 นาที หรือแช่ด้วยน้ำยา ฆ่าเชื้อหรือแช่สารละลายคลอรีนที่มีความเข้มข้น 10 ppm.นาน 5 นาที(ระวังคลอรีนกัดกร่อนโลหะ)

  14. 1.4 ถาดรองแอร์ โดยการขัดล้างผึ่งแดดให้แห้ง 1.5อุปกรณ์ที่ถอดไม่ได้ให้ฉีดด้วยน้ำร้อน 65°ซ นาน 5 นาที นอกจากนี้โรงพยาบาลที่เคยมี ผู้ป่วยโรคลีเจียนแนร์ ควรเฝ้าระวังเชื้อ Legionella spp. ในระบบน้ำเป็นระยะๆ รวมทั้งน้ำในเครื่องช่วยหายใจ

  15. ระบบปรับอากาศ..ต่อ 2.ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในระบบน้ำทั้งโรงแรม โดยเฉพาะในท่อส่งน้ำต่างๆมี 2 วิธี 2.1Hyperchlorination ผสมคลอรีนในน้ำในถัง กักเก็บน้ำให้ได้50ส่วนในล้านส่วนหรือคลอรีน 50 มิลลิกรัมต่อน้ำ1 ลิตร เปิดน้ำไหลผ่านไป ยังทุกห้องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหรือ ผสม20 ส่วนในล้านส่วน เปิดน้ำไหลผ่านเป็น เวลา 2ชั่วโมงแล้งเติมน้ำธรรมดาไล่น้ำออกไป 2.2 Hyperthermal Shock ใช้น้ำร้อน100องศา เซลเซียสเปิดไหลผ่านท่อน้ำทุกส่วนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

  16. การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม • การแยกผู้ป่วย : ไม่จำเป็น • การทำลายเชื้อ : ทำลายเชื้อในแหล่งที่สงสัยด้วย • คลอรีนหรือน้ำร้อนจัด • การกักกัน : ไม่จำเป็น • การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส : ไม่มี • การสอบสวนผู้สัมผัสและแหล่งโรค : ค้นหาผู้ป่วย • เพิ่มจากสิ่งแวดล้อมหรือแหล่งโรคเดียวกัน • โอกาสการระบาดใหญ่ • มีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะในที่ที่คนจำนวนมากมา • อยู่รวมกันในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศระบบเปิด

  17. เนื้อหา :กรมควบคุมป้องกันโรค รวบรวม : งานควบคุมป้องกันโรค ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี 02-5174270-9 ต่อ 1350

  18. สวัสดี

More Related