220 likes | 565 Views
Legionnaire Disease โรคลีเจียนเนลโลสิส. Legionnaire Disease ลักษณะโรค โรคลีเจียนเนลโลสิส ( Legionellosis ) เป็นโรคติดต่อมี 2 แบบ 1. ชนิดรุนแรงเรียกโรคปอดอักเสบลีเจียนแนร์ ( Legionnaires'disease )
E N D
Legionnaire Disease โรคลีเจียนเนลโลสิส
Legionnaire Disease • ลักษณะโรค • โรคลีเจียนเนลโลสิส (Legionellosis) เป็นโรคติดต่อมี 2 แบบ • 1. ชนิดรุนแรงเรียกโรคปอดอักเสบลีเจียนแนร์ • (Legionnaires'disease) • 2. ชนิดไม่รุนแรงเรียกโรคไข้ปอนเตียก (Pontiac fever) • สาเหตุ • เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Legionella ที่ตรวจพบแล้วประมาณ 43 species 65 serogroups แต่ที่พบก่อให้เกิดโรคในคนบ่อยที่สุดคือ Legionella pneumophila ซึ่งตรวจพบแล้ว 18 serogroups เชื้อ Legionlla พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิน้ำอุ่น 32-45° ซ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายเดือนในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง และแบ่งตัวในที่ที่มีสาหร่ายและอินทรีย์วัตถุ
วิธีการติดต่อ • โดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในละอองฝอยของน้ำหรือการสำลัก เช่น น้ำจากหอผึ่งเย็นความร้อน(cooling towers) ของระบบปรับอากาศ ฝักบัวอาบน้ำ อ่างน้ำวน เครื่องมือช่วยหายใจ น้ำพุสำหรับตกแต่งอาคารสถานที่ต่างๆ • การแพร่เชื้อจากคนไปสู่คนยังไม่มีปรากฎ • ระยะฟักตัว • โรคลีเจียนแนร์ส่วนใหญ่จะปรากฏอาการภายใน • 5-6วันหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 2-10 วัน • โรคไข้ปอนเตียกมักจะมีอาการภายใน24-48 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 5-66 ชั่วโมง
ระยะติดต่อ • ยังไม่พบการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คนดังนั้น คนจึงไม่เป็นพาหะของโรค มีการตรวจเลือดของผู้ป่วยภายหลังป่วยหลายปีพบแอนติบอดีต่อ Legionella ซึ่งบ่งชี้ว่าเคยป่วยมาแล้วไม่ใช่กำลังป่วย • อาการและอาการแสดง • มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ (flu-like illness) เริ่มด้วย ปวดศรีษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตามด้วยมีไข้สูง (39-40° ซ) หนาวสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาจมีอุจจาระร่วง ไอแห้งๆ • ในกรณีที่เป็นไข้ปอนเตียกมักจะหายภายใน 2-5 วัน แม้จะไม่ได้รับการรักษา • ส่วนโรคลีเจียนแนร์มักจะมีปอดอักเสบและลามไปที่ปอดทั้งสองข้าง ทำให้การหายใจล้มเหลว มีอัตราตายสูง
การวินิจฉัยแยกโรค • ถ้าต้องการวินิจฉัยแยกจากโรคปอดอักเสบจากเชื้ออื่นๆต้องตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการโดยการเพาะแยกเชื้อจากเสมหะ น้ำจากโพรงเยื่อหุ้มปอด หลอดลม หลอดคอ หรือ ตรวจหาแอนติบอดีในเลือด
ระบาดวิทยา • บันทึกการพบผู้ป่วยรายแรกใน พ.ศ. 2490 และการระบาดครั้งแรกใน พ.ศ. 2500 ที่รัฐมินนิโซตา มีการระบาดครั้งใหญ่ของโรคปอดอักเสบในหมู่ผู้ร่วมประชุมสมาคม "สหายสงคราม" (American Legion Convention)ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2519 มีผู้ป่วย 182 ราย เสียชีวิต 29 ราย • อีก 6 เดือนต่อมา McDade JE และคณะ จึงได้พบเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุจากปอดของผู้เสียชีวิตจึงเป็นที่มาของชื่อ • "โรค Legionella pneumophila"
โรคลีเจียนแนร์เป็นโรคที่ต่างประเทศให้ความสนใจเนื่องจากมีอัตราป่วยตายสูงโดยเฉพาะประเทศ ในแถบยุโรปมีระบบเฝ้าระวังและมีคณะทำงานสำหรับโรคนี้ในปีพ.ศ. 2529 โดยเฉพาะเรียกว่า • European working group for Legionella infections (EWGLI)
ประเทศไทยมีรายงานโรคนี้ครั้งแรกปีพ.ศ. 2527 นอกจากนี้ยังได้รับแจ้งจาก EWGLIเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ป่วยด้วยโรค Legionnaires หลังกลับจากเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536-2553 จำนวน 109 รายและ • จากฐานข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาระหว่างปี • 2550-2553ได้รับรายงานผู้ป่วยจำนวน 15 ราย • มักพบในวัยกลางคน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ มะเร็ง ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีอาการ ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง โรคพิษสุราเรื้อรัง สูบบุหรี่จัด
ระบบประปา • กรณีใช้น้ำประปาควรมีการตรวจสอบ • ปริมาณคลอรีนตกค้างของน้ำในบ่อพัก • ทุกวัน ถ้ามีน้อยกว่า0.2 ppm.ให้รีบแจ้งการ • ประปาเพื่อเติมคลอรีนหรือเติมคลอรีนเอง • ให้มีคลอรีนตกค้างไม่น้อยกว่า 0.2 ppm. • กรณีเก็บน้ำสำรองไว้ในบ่อพักควรตรวจ • ปริมาณคลอรีนตกค้างไม่ให้น้อยกว่า • 0.2 ppm
ระบบน้ำร้อนรวม • ต้องผลิตน้ำให้มีอุณหภูมิสูงกว่า 60°ซตลอด • เวลาและส่งน้ำออกไปให้มีอุณหภูมิสูงกว่า • 50°ซในทุกที่ที่น้ำร้อนไปถึง และพยายาม • ไม่ให้มีท่อน้ำร้อนที่ไม่มีการไหลเวียน • (dead space) • ในกรณีที่เกิดการระบาดควรปรับอุณหภูมิ • ของน้ำที่ผลิตให้สูงกว่าปกติ
การรักษา • ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาคือ erythromycin ยาที่ใหม่กว่าคือ azithromycin และ clarithromycin ก็ใช้ได้ผลเช่นกัน ในรายที่มีอาการรุนแรงยาที่ใช้เพิ่มคือ rifampin • การป้องกันและควบคุมโรค • มาตรการป้องกัน • เชื้อ L. pneumophila spp. ที่อาศัยอยู่ในน้ำเป็นแหล่งแพร่กระจายโรค ดังนั้นการดูแลความสะอาดของแหล่งน้ำต่าง ๆ ภายในอาคาร เช่นโรงแรม โรงพยาบาล ดังนี้
ระบบปรับอากาศ และระบายความร้อน 1.ทำความสะอาดแหล่งที่อาจแพร่เชื้อโรค 1-2 ครั้ง/เดือน 1.1 หอผึ่งเย็นโดยการขัดล้าง นำสาหร่าย/ตะกอน ออกจากก้นถังแล้วใส่สารชีวฆาต(biocide)อย่าง น้อยสองชนิดลงในน้ำ เครื่องปรับอากาศในห้องพัก กรณีมี Fan coil unit ในห้องพัก ต้องทำความสะอาดถาดรองน้ำที่หยดจาก ท่อคอยล์เย็น ทุก 1-2 สัปดาห์ ไม่ให้มีตะไคร่เกาะ
ระบบปรับอากาศ และระบายความร้อน..ต่อ 1.2 ถังกักเก็บน้ำโดยการดูดตะกอนและล้างก้นถัง 1.3 อุปกรณ์ห้องน้ำในห้องพัก ฝักบัว หัวก๊อกน้ำของห้องพักถอดออกมาขัด และ ล้างด้วยน้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอกหลังจากนั้น แช่น้ำร้อน 65°ซนาน 10 นาที หรือแช่ด้วยน้ำยา ฆ่าเชื้อหรือแช่สารละลายคลอรีนที่มีความเข้มข้น 10 ppm.นาน 5 นาที(ระวังคลอรีนกัดกร่อนโลหะ)
1.4 ถาดรองแอร์ โดยการขัดล้างผึ่งแดดให้แห้ง 1.5อุปกรณ์ที่ถอดไม่ได้ให้ฉีดด้วยน้ำร้อน 65°ซ นาน 5 นาที นอกจากนี้โรงพยาบาลที่เคยมี ผู้ป่วยโรคลีเจียนแนร์ ควรเฝ้าระวังเชื้อ Legionella spp. ในระบบน้ำเป็นระยะๆ รวมทั้งน้ำในเครื่องช่วยหายใจ
ระบบปรับอากาศ..ต่อ 2.ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในระบบน้ำทั้งโรงแรม โดยเฉพาะในท่อส่งน้ำต่างๆมี 2 วิธี 2.1Hyperchlorination ผสมคลอรีนในน้ำในถัง กักเก็บน้ำให้ได้50ส่วนในล้านส่วนหรือคลอรีน 50 มิลลิกรัมต่อน้ำ1 ลิตร เปิดน้ำไหลผ่านไป ยังทุกห้องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหรือ ผสม20 ส่วนในล้านส่วน เปิดน้ำไหลผ่านเป็น เวลา 2ชั่วโมงแล้งเติมน้ำธรรมดาไล่น้ำออกไป 2.2 Hyperthermal Shock ใช้น้ำร้อน100องศา เซลเซียสเปิดไหลผ่านท่อน้ำทุกส่วนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม • การแยกผู้ป่วย : ไม่จำเป็น • การทำลายเชื้อ : ทำลายเชื้อในแหล่งที่สงสัยด้วย • คลอรีนหรือน้ำร้อนจัด • การกักกัน : ไม่จำเป็น • การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส : ไม่มี • การสอบสวนผู้สัมผัสและแหล่งโรค : ค้นหาผู้ป่วย • เพิ่มจากสิ่งแวดล้อมหรือแหล่งโรคเดียวกัน • โอกาสการระบาดใหญ่ • มีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะในที่ที่คนจำนวนมากมา • อยู่รวมกันในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศระบบเปิด
เนื้อหา :กรมควบคุมป้องกันโรค รวบรวม : งานควบคุมป้องกันโรค ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี 02-5174270-9 ต่อ 1350