1 / 43

ระบบต่อมไร้ท่อ Endocrine System

ระบบต่อมไร้ท่อ Endocrine System. ระบบประสาทกับต่อมไร้ท่อ. ระบบต่อมไร้ท่อ ( Endocrine System).

Download Presentation

ระบบต่อมไร้ท่อ Endocrine System

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ระบบต่อมไร้ท่อEndocrine System

  2. ระบบประสาทกับต่อมไร้ท่อระบบประสาทกับต่อมไร้ท่อ

  3. ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) ต่อมไร้ท่อ(Endocrine Gland)หมายถึงต่อมไม่มีท่อ สิ่งที่หลั่งจากต่อมเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลือดไหลเวียนโดยตรง ไม่ต้องผ่านท่อ ดังนั้นเซลล์ของต่อมไร้ท่อจะสัมผัสกับหลอดเลือดฝอยภายในต่อมอย่างใกล้ชิด ต่อมเหล่านี้จึงมีเลือดมาเลี้ยงอย่างมากมาย

  4. ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อและอวัยวะที่สำคัญฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อและอวัยวะที่สำคัญ • ต่อมไพเนียล ( Pineal ) • ต่อมใต้สมอง ( pituitary gland ) • ต่อมไทรอยด์ ( Thyroid ) • ต่อมพาราไทรอยด์(parathyroid hormone) • ตับอ่อน (Pancreas) • ต่อมหมวกไต(adrenal gland) • อวัยวะเพศ • รก • ต่อมไทมัส( Thymus ) • กระเพาะอาหารและลำใส้เล็ก

  5. ต่อมไพเนียล ( Pineal ) • ฮอร์โมนจากต่อมไพเนียล (pineal gland) อยู่ บริเวณกึ่งกลางของสมองส่วนซีรีบรัมซ้ายและขวา ฮอร์โมนที่สร้างจาากต่อมนี้ คือ เมลาโทนินยับยั้งการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวช้าลง ระงับการหลั่ง โกนาโคโพรฟิน ให้น้อยลง ถ้าต่อมไพนิลไม่สามารถสร้างเมลาโทนินได้ จะทำให้เป็นหนุ่มเร็วกว่าปกติ แต่ถ้าสร้างมากเกินไปจะทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวช้ากว่าปกติ

  6. ต่อมใต้สมอง ( pituitary gland ) • ต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) เป็นต่อมที่อยู่ติดกับส่วนล่างของสมองส่วนไฮโปทาลามัสแบ่งได้ 3 ส่วนคือ ต่อมใต้สมองส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนหลัง ต่อมใต้สมองส่วนหน้าและส่วนกลาง มีต้นกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อชนิดเดียวกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเป็นหน่วยเดียวกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต่อมไร้ท่อแท้จริง ขณะที่ต่อมใต้สมองส่วนหลัง เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อประสาท ที่ไม่ได้สร้างฮอร์โมนได้เอง แต่มีปลายแอกซอนของนิวโรซีครีทอรีเซลล์(Neurosecretory cell) จากไฮโปทาลามัสมาสิ้นสุด และหลั่งฮอร์โมนประสาทออกมาสู่กระแสเลือด

  7. ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (Pituitary gland Hormone) • ต่อมใต้สมอง( Pituitary gland) อยู่ตรงส่วนล่างของสมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. ต่อมใต้สมองส่วนหน้า2. ต่อมใต้สมองส่วนกลาง3. ต่อมใต้สมองส่วนหลัง

  8. ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ( Anterior lobe of pituitary gland ) เป็นส่วนที่ไม่ได้เกิดจากเนื้อเยื่อประสาท การทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมของ hypothalamus สร้างฮอร์โมนประเภทสารโปรตีนหรือพอลิเพปไทด์ ได้แก่ 1) Growth Hormone เป็นฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะ กระดูกและกล้ามเนื้อ2) Thyroid Stimulating Hormone เป็นฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สร้าง ไทร็อกซินเพิ่มขึ้น3) Gonadotrophic Hormone เป็นฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเซลล์สืบพันธุ์4) Antidiuretic Hormone เป็นฮอร์โมนช่วยในการดูดน้ำกลับของท่อไต เพื่อรักษา ระดับน้ำของร่างกาย5) Melatonin เป็นฮอร์โมนกระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น

  9. ความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า • 1. ฮอร์โมนมากเกินไป - เด็ก ทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายสูงผิดปกติเรียกว่า ไจแอนทิซึม(gigantism)พบในวัยรุ่นไม่ค่อยพบในวัยเด็ก อาจเกิดจากการที่มีเนื้องอกของเซลล์ที่สร้างฮอร์โมน หรือของไฮโพทาลามัส ทำให้มีการสร้าง ฮอร์โมนมากกว่าปกติ

  10. - ผู้ใหญ่ ร่างกายจะไม่สูงใหญ่กว่าปกติมากนักแต่ส่วนที่เป็นกระดูกตาม แขน ขา คาง กระดูกขากรรไกรและกระดูกแก้มยังตอบสนองต่อฮอร์โมนนี้อยู่ทำให้เกิดความผิดปกติของกระดูกตามบริเวณใบหน้านิ้วมือ นิ้วเท้า เรียกอาการดังกล่าวนี้ว่า "อะโครเมกาลี"( acromegaly )

  11. 2.ฮอร์โมนน้อยเกิน - เด็ก ทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายน้อยผิดปกติเกิดลักษณะเตี้ยแคระเรียกว่า Dwarfism - ผู้ใหญ่ จะไม่มีอาการปรากฏเด่นชัดแต่พบว่าระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดจะต่ำกว่าคนปกติทำให้ร่างกายไม่สามารถทนต่อความเครียดต่างๆทางอารมณ์ได้และสมองอาจได้รับอันตรายจากการขาดน้ำตาลกลูโคสไปเลี้ยงหากเป็นมากอาจถึงแก่ชีวิตได้

  12. ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนกลาง(Intermediate lobe) • จะมีความสำคัญและหน้าที่เด่นชัดเฉพาะในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังบางชนิดเท่านั้น โดยทำหน้าที่ผลิตและหลั่งเมลาโนไซต์สติมิวเลติงฮอร์โมน(melanocyte-stimulating hormone = MSH ) จะทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ (melanocyte) ซึ่งเป็นเซลล์ที่แทรกอยู่ระหว่างหนังกำพร้า (epidermis) และหนังแท้ (dermis) ให้สังเคราะห์รงควัตถุสีน้ำตาล-ดำที่เรียกว่า เมลานิน (melanin) นอกจากนั้น MSH ยังทำหน้าที่กระตุ้นให้เมลานินภายในเมลาโนไซต์กระจายตัวออกไปทั่วเซลล์ เป็นให้สีผิวเข้มขึ้นในสัตว์จำพวกปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดสามารถเปลี่ยนสีผิวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อการพรางตัวได้อย่างรวดเร็วการเปลี่ยนสีผิวดังกล่าวเกิดจากการกระจายตัวของเมลานินภายในเมลาโนไซต์ซึ่งได้รับการกระตุ้นจาก MSH นั่นเองในคนต่อมใต้สมองส่วนกลางจะมีขนาดเล็กมาก และจัดเป็นส่วนหนึ่งของต่อมใต้สมองส่วนหน้า ทำหน้าที่ผลิตและหลั่ง MSH ซึ่งมีสูตรโครงสร้างคล้ายกับ ACTH มาก แต่ไม่มีบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน

  13. ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior lobe) ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior lobe) เป็นกลุ่มเซลล์ของเนื้อเยื่อประสาทจาก hypothalamus ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนภายนอก แล้วลำเลียงมาไว้ที่ต่อมใต้สมองส่วนหลัง ได้แก่ 3.1Oxytocinทำให้กล้ามเนื้อมดลูก เต้านม กระเพาะปัสสาวะมีการหดตัว ฮอร์โมนนี้จะมีการหลั่งออกมาตอนคลอดลูกและในขณะร่วมเพศ แต่ถ้าหลั่งออกมามากก่อนอาจแท้งลูกได้3.2 Vasopressin หรือ Antidiuretic hormone ( ADH )ทำให้เส้นเลือดมีการ หดตัวช่วยให้ท่อหน่วยไตดูดน้ำกลับคืน ทำให้ลดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ที่จำเป็น ถ้าร่างกายขาด จะปัสสาวะมากทำให้เกิดโรคเบาจืด( diabetes inspidus)

  14. ต่อมไทรอยด์ ( Thyroid ) • ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อซึ่งอยู่บริเวณลำคอ อยู่ด้านหน้าของกล่องเสียง ติดกับฐานของคอหอยเป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในคนปกติมีน้ำหนักประมาณ 25 กรัม แบ่งออกเป็น 2 พูและเชื่อมกันตรงกลาง ด้วยส่วนที่เรียกว่าคอคอดหรืออิสมัส (isthmus)  ต่อมไทรอยด์ สร้างฮอร์โมน ที่สามารถดึงไอโอดีนจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ได้ ต่อมไทรอยด์ ประกอบด้วยถุงหุ้มที่เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เรียกว่า ไทรอยด์ฟอลลิเคิล (thyroid follicle) ซึ่งเป็นที่สร้างและหลั่ง ฮอร์โมนไทรอกซิน ( thyroxine ) ซึ่งมีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบแล้วเก็บไว้ในของเหลว ที่อยู่ตรงกลางเรียกว่า คอลลอยด์(colloid cell)นอกจากนั้นในต่อมไทรอยด์ ยังพบกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า เซลล์ซี (C-cell) หรือ เซลล์พาราฟอลลิคูลาร์( parafollicular cell )เป็นเซลล์ที่แทรกอยู่ ในระหว่างไทรอยด์ฟอลลิเคิลของต่อมไทรอยด์ซึ่งสร้าง ฮอร์โมนแคลซิโทนิน ( calcitonin )

  15. ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์(thyroid gland) • ต่อมไทรอยด์แต่ละพูสร้างฮอร์โมน 2 ประเภท คือ - ฮอร์โมนที่มีสารประกอบไทโรนีนที่มีไอโอดีน ได้แก่ ไทรอกซิน (Thyroxine / Tetraiodothyronin; T4) กับ ไตรไอโอโดไทโรนิน (Triiodthyronine; T3) ทำหน้าที่ควบคุมเมแทบอลิซึมของร่างกายโดยเพิ่มอัตราเมตาโบลิซึมและการใช้ออกซิเจนของเซลล์ เพิ่มการสังเคราะห์โปรตีน และทำหน้าที่ร่วมกับ GH ในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย ควบคุมการเจริญและพัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์ ควบคุมเมตามอร์โฟซิสของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ถ้าร่างกายคนขาดหรือมีไทรอกซินน้อยเกินไป จะทำให้มีเมตาโบลิซึมต่ำกว่าปกติการเจริญเติบโตของร่างกายและจิตใจด้อยลง - ฮอร์โมนแคลซิโตนิน (Calcitonin) ซึ่งเป็นสารประกอบพวกโพลีเปปไทด์ ทำหน้าที่ ลดระดับแคลเซียมในเลือดที่สูงเกินไปให้เข้าสู่ระดับปกติและฮอร์โมนนี้ยังมีผลในการเร่งขับฟอสเฟตที่ไตด้วย

  16. ความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมนไทรอกซินความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมนไทรอกซิน ถ้าขาดฮอร์โมนไทรอกซิน เด็ก : การขาดไทรอกซินในทารกแรกเกิดมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตมากโดยเฉพาะการเจริญเติบโตของสมองพัฒนาการทาง ด้านสติปัญญาด้อยมาก ปัญญาอ่อน แขน ขาสั้น หน้าและมือบวม ผิวหยาบแห้ง ผมบาง ไม่เจริญเติบโต รูปร่างเตี้ยแคระซึ่งแตกต่างจากเด็กที่ขาดโกรทฮอร์โมน เรียกกลุ่มอาการนี้ว่า โรคเอ๋อหรือเครทินิซึม (cretinism) ผู้ใหญ่ : จะส่งผลให้อัตราเมแทบอลิซึมลดน้อยลง -ทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เซื่องซึม -เคลื่อนไหวช้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง เรียกกลุ่มอาการดังกล่าวนี้ว่ามิกซีดีมา( myxedema )ถ้าร่างกายได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอจะส่งผลให้มีการผลิตไทรอกซินได้น้อย (hypothyroidism) ทำให้ต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่งไทรอยด์สติมิวเลติงฮอร์โมน ( TSH ) เพิ่มมากขึ้นเพื่อไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สร้างฮอร์โมนไทรอกซินเพิ่มมากขึ้น จนต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ต่อมจะขยายขนาดโตขึ้นทำให้เกิดเป็น โรคคอพอก (simple goiter)

  17. ถ้ามีฮอร์โมนไทรอกซินมากเกินไปถ้ามีฮอร์โมนไทรอกซินมากเกินไป ผู้ใหญ่ : ถ้าฮอร์โมนไทรอกซินผลิตออกมามากเกินไป(hyperthyroidism)จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าไทรอยด์เป็นพิษหรือโรคคอพอกเป็นพิษ (toxic goiter) จะทำให้ร่างกายมีอัตราการเกิดเมแทบอลิซึมสูงกว่าปกติ อาการเหมือนมีการสร้างพลังงานหรือกระตุ้นประสาทซิมพาเทติกทำงานมากเกินไปได้แก่  -หงุดหงิด -นอนไม่หลับ -ตื่นเต้นง่าย อาจมีอาการคอพอกแต่ไม่มากและตาโปน เนื่องจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหลังลูกตาอ่อนกำลังลง

  18. ผลของฮอร์โมนไทรอกซินในสัตว์ทำให้มีการเจริญเติบโตของสัตว์ เช่น กบ จะเจริญจากลูกอ็อดเจริญไปเป็นกบโตเต็มวัยได้ตามปกติ -ถ้าขาดฮอร์โมนไทรอกซินจะทำให้ลูกอ็อดไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างกลายเป็นกบโตเต็มวัย -ถ้ามีมากเกินไปก็จะเจริญไปเป็นกบอย่างรวดเร็ว

  19. ต่อมพาราไทรอยด์(parathyroid hormone) • ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญชื่อ พาราธอร์โมน ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการ ควบคุมเมตาบอลิซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย การสร้างกระดูกและควบคุมบทบาท ของวิตามินดีในร่างกาย โดยวิตามินดีจะรวมกับฮอร์โมนพาราธอร์โมนในการสลายแคลเซียมออก จากกระดูกเพื่อรักษาระดับปกติของแคลเซียมในพลาสมา

  20. ความผิดปกติของปริมาณ Parathormone • ความผิดปกติของปริมาณ Parathormone1. Hypoparathyroidismเป็นความผิดปกติเนื่องจากพาราธอร์โมนต่ำเกินไปอาการ - Ca2+ และ PO3- ในเลือดต่ำ- กล้ามเนื้อชักกระตุก- ปอดไม่ทำงาน- เลือดแข็งตัวช้าเมื่อเกิดบาดแผลการแก้ไขฉีด Parathormoneร่วมกับวิตามิน D2. Hyperparathyroidism เป็นความผิดปกติเนื่องจากพาราธอร์โมนมากเกินไปอาการ - Ca2+ และ PO3- ในเลือดสูง- Ca2+ สะสมมากที่หัวใจ ปอด ทำให้แข็ง- เลือดแข็งตัวเนื่องจากเกิดบาดแผล- กระดูกบาง ฟันหัก และผุง่ายการแก้ไขฉีด Calcitoninเพื่อต้านการทำงานของ Parathormone

  21. ตับอ่อน (Pancreas) • ลักษณะเป็นต่อมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางด้านหลังของกระเพาะอาหาร ใกล้กับลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัม ซึ่งเป็นลำไส้เล็กส่วนต้น ส่วนที่เป็นต่อมไร้ท่อ จะผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ ดังนี้ 1) อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง โดยช่วยให้กลูโคสผ่าน เข้าเซลล์และเปลี่ยนส่วนหนึ่งเป็นไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับ ปกติ2) กลูคากอนเป็นฮอร์โมนที่ทำงานตรงข้ามกับอินซูลิน คือ ทำให้ระดับน้ำตาลใน เลือดสูงขึ้น

  22. ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน (Pancreas hormone ) •  อินซูลิน (insulin) อินซูลินมีผลต่อเซลล์เกือบทุกชนิดในร่างกาย โดยมีอวัยวะเป้าหมายที่สำคัญคือ ตับ กล้ามเนื้อลาย และเซลล์ไขมัน อินซูลินได้ชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความอุดมสมบูรณ์ (hormone of abundance) เป็นฮอร์โมนที่ส่งเสริมให้มีการสะสมกลูโคส กรดไขมันและกรดอะมิโนไว้ภายในเซลล์ต่างๆ และสำรองไว้ใช้ระหว่างช่วงมื้ออาหารและเมื่อร่างกายขาดแคลน ทำให้ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือด มีค่าปกติ • กลูคากอน ( Glucagon) คือฮอร์โมนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต กลูคากอนผลิตโดยตับอ่อนและจะถูกปล่อยเมื่อระดับน้ำตาลในเส้นเลือดลดระดับต่ำกว่าปกติ ที่เป็นผลห้ตับเปลี่ยนไกลโคเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคสและปล่อยเข้าไปในกระแสเลือด เพื่อเป็นการเพิ่มระดับน้ำตาลในเส้นเลือดที่เป็นการป้องกันร่างกายจากการเกิดภาวะน้ำตาลในเส้นเลือดต่ำ (hypoglycemia) ฉะนั้นการปล่อยกลูคากอนจึงตรงกันข้ามกับอินซูลินที่บอกให้เซลล์ในร่างกายดึงกลูโคสจากเลือด แต่กลูคากอนสามารถกระตุ้นการปล่อยอินซูลินได้ด้วย ฉะนั้นกลูโคสที่ปล่อยออกมาตามสายเลือดสามารถดึงไปใช้โดยเนื้อเยื่อที่ต้องพึ่งอินซูลิน

  23. ความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมนจากตับอ่อนความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมนจากตับอ่อน การมีฮอร์โมนนี้มากเกินไป(insulinexcess)  การมีฮอร์โมนนี้มากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ซึ่งจะมีผลต่อเซลล์ของสมอง อย่างรวดเร็ว ทำให้มีอาการสับสน มึนงง อ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นกาทำงานของประสาทซิมพาเทติก ทำให้มีอาการหิว ใจสั่น เหงื่อออกมาก และเพิ่มการหลั่งแคททีโคลามีนจากต่อมหมวกไต ให้ตับมีการสลายไกลโคเจน เป็นกลูโคสมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขโดยการให้กลูโคสทดแทนอาการจะรุนแรงคือชัก หมดสติ และเสียชีวิต การขาดฮอร์โมนอินซูลิน (insulin insufficiency)  การขาดฮอร์โมนอินซูลินทำให้กลูโคสเข้าเซลล์เนื้อเยื่อไม่ได้ ทำให้ร่างกายเสมือนขาด อาหาร (starvation) ตับจึงสลายไกลโคเจนมายังหลอดเลือดทำให้ระดับน้ำตาลยิ่งสูงมากขึ้น (hyperglycemia)

  24. ต่อมหมวกไต(adrenal gland) • ต่อมหมวกไตมีลักษณะเป็นต่อมขนาดเล็กรูปสามเหลี่ยมครอบอยู่ทางส่วนบนของไตทั้ง 2 ข้างประกอบด้วย เนื้อเยื่อ 2 ชั้นที่แตกต่างกันและแยกออกจากกันอย่างชัดเจน คือ- เนื้อเยื่อชั้นนอก เรียกว่า อะดรีนัลคอร์เทกซ์ (adrenal cortex)เจริญมาจากเนื้อชั้นกลาง (mesoderm) สร้างฮอร์โมนประเภทสารสเตียรอยด์ได้มากชนิดที่สุด- เนื้อเยื่อชั้นใน เรียกว่า อะดรีนัลเมดุลลา (adrenal medulla)เจริญมาจากเนื้อชั้นนอก (ectoderm) สร้างฮอร์โมนจำพวก Amine , Polypeptide

  25. ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนนอกฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนนอก • อะดรีนัลคอร์เทกซ์สร้างฮอร์โมน 3 กลุ่ม คือ2.1 กลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoids) เช่น คอร์ติซอลCortisol hormone ทำหน้าที่ ดังนี้1. กระตุ้นการสลาย glycogen ไปเป็น glucose2. กระตุ้นการสลายไขมันไปเป็นกรดไขมัน3. เพิ่มการดูด Na+ กลับที่ท่อของหน่วยไต ถ้า cortisolมากเกินไปจะเป็น Cushing's syndrome ซึ่งมีอาการสำคัญ คือ- ไขมันสะสมมากตามใบหน้า หน้าท้อง ต้นขา- ใบหน้ากลมนูนคล้ายพระจันทร์เต็มดวง (Moon face)- ขาดประจำเดือนในหญิง ผู้เป็นโรคคูชิง (อ้วน ไขมันสะสม)

  26. ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตชั้นนอก(ต่อ)ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตชั้นนอก(ต่อ) ผู้ป่วยโรคแอดดิสัน 2.2 มิเนอราโลคอร์ติคอยด์ (Mineralocorticoids) เช่น Aldosterone hormone ทำหน้าที่ ดังนี้1. ควบคุมเมตาโบลิซึมของเกลือแร่ เป็นสำคัญ2. เพิ่มการดูด Na+ กลับ และเพิ่มการขับ K+ และ Cl- ทิ้งไปกับปัสสาวะ2.3 อะดรีนัลเซกส์ ฮอร์โมน (Adrenal sex hormone)ได้แก่ ฮอร์โมนเพศต่างๆ คือ Estrogen , Progesterone และ Testosteroneถ้าต่อมหมวกไตส่วนนอกถูกทำลาย จนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้ จะทำให้เป็น Addoson's disease ซึ่งมีอาการ คือ- คนไข้จะซูบผอม- ผิวหนังตกกระ- ร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของแร่ธาตุ-อาจถึงแก่ความตาย

  27. ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนในฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนใน ต่อมหมวกไตส่วนใน (Adrenal medullaเป็นเนื้อเยื่อที่เปลียนแปลงมาจากเนื่อเยื่อประสาทในระหว่างการเจริญ เติบโตในระยะเอ็มบริโอ ทำหน้าที่สังเคราะห์ และหลั่งฮอร์โมน 2 ชนิดคือ 1.อะดรีนาลีน หรือ เอพิเนฟรีน (epinepinephirne)มีผลต่อการทำงานของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายมากมายได้แก่ ทำให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นแรง และเร็วขึ้น ความดันเลือดสูง หลอดลมขยาย ม่านตาขยาย ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น เส้นเลือดอาร์เทอรี่ที่ไปหล่อเลี้ยงที่สมอง หัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อขยาย เป็นต้น 2.นอร์อะดรีนาลีนหรือ นอร์เอพิเนฟรีน (norepinefphirne)เป็นสารเดียวกับสารสื่อประสาทที่หลั่งจากปลายประสาทที่ซิมพาเทติก ผลของฮอร์โมนชนิดนี้คล้ายกับอะดรีนาลีน ยกเว้นผลที่มีต่อเส้นเลือด เมื่อร่างกายเผชิญกับภาวะต่าง ๆ เช่น เมื่อเผชยหน้ากับสัตว์ร้าย หรือศัตรู ตื่นเต้น ตกใจ ฯลฯ ไฮโพทาลามัสจะส่งกระแสประสาทซิมพาเทติกมากระตุ้นอะดรีนัลเมดัลลา ให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน

  28. อวัยวะเพศ อวัยวะเพศในชายได้แก่อัณฑะและในหญิงได้แก่รังไข่ซึ่งมีหน้าที่สำคัญ 2 อย่างคือ สร้างเซลสืบพันธ์และสร้างฮอร์โมน 1ฮอร์โมนเพศชาย ที่สำคัญคือ เทสทอสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งจะทำหน้าที่หลายอย่างคือ1) ควบคุมการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธ์2) ทำให้อัตราการเจริญเติบโตของกระดูกเพิ่มขึ้น3) กระตุ้นการสร้างโปรตีนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเอ็นไซม์4) ควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนเพศชาย

  29. อวัยวะเพศ(ต่อ) ถ้าตัดอัณฑะออกจะทำให้เกิดผลดังต่อไปนี้ 1) ในเด็ก – ทำให้อวัยวะสืบพันธ์ไม่เจริญ – ไม่มี Secondary sexual characteristic – มีไขมันสะสมมากขึ้น แขนขายาวผิดปกติ – เป็นหมัน 2) ในผู้ใหญ่ – เป็นหมัน – ไม่มีความรู้สึกทางเพศ มีลักษณะไปทางเพศหญิง

  30. อวัยวะเพศ(ต่อ) • ฮอร์โมนเพศหญิง ที่สำคัญคือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone)ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธ์และลักษณะต่างๆของความเป็นเพศหญิง ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จะเกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์คือ ระงับไม่ให้ไข่สุกระหว่างตั้งครรภ์ป้องกันไม่ให้มีประจำเดือนระหว่างตั้งครรภ์ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุมดลูกชั้นในเพื่อรองรับการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสม และกระตุ้นต่อมน้ำนมให้เจริญเติบโต

  31. อวัยวะเพศ(ต่อ) ถ้าตัดรังไข่ออกจะทำให้เกิดผลดังต่อไปนี้ 1)ในเด็ก – อวัยวะสืบพันธ์ไม่เจริญ – ไม่มีเลือดประจำเดือน – มีลักษณะคล้ายชาย 2) ในผู้ใหญ่ – ประจำเดือนหยุด – ไม่มีความรู้สึกทางเพศ – มีลักษณะคล้ายชาย – ไม่มี Secondary sexual characteristic

  32. รก • ฮอร์โมนจากรก โกนาโดโทรฟินจากรก สามารถวัด HCG ในปัสสาวะของมารดาได้ตั้งแต่วันที่ 9 ของการตั้งครรภ์และระดับจะสูงขึ้นระหว่างสัปดาห์ที่ 9-12 หลังจากนั้นจะลดลง การตรวจพบ HCG ในปัสสาวะหรือเลือดใช้เป็นดัชนีบ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์ HCG ทำหน้าที่ยืดอายุการทำงานของคอร์ปัสลูเทียม กระตุ้นการสร้างและหลั่งฮอร์โมนณัแลกซินเพื่อยับยั้งการหดตัวของมดลูก

  33. รก(ต่อ) Human chorionic somatomammotropin (HCS) เป็นฮอร์โมนชนิดเปปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมิโน191 หน่วย มีโครงร้างเหมือนฮอร์โมน โซมาโทโทรฟินหรือโกรทฮอร์โมน และโพรแลกทิน แต่มีผลแบบโพรแลกทินสูงกว่าโกรทฮอร์โมน ขณะที่ระดับ HCG ลดต่ำลงหลังจาก 3 เดือนของการตั้งครรภ์ รกจะสร้าง HCS ในสัปดาห์ที่ 4 และจะเพิ่มระดับขึ้น เรื่อยๆ จนถึงระดับสูงสุดเมื่อใกล้คลอด

  34. รก(ต่อ) โพรเจสเทอโรนรกจะเริ่มสร้างโพรเจสเทอโรนในสัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ถึงระดับสูงสุดเมื่อใกล้คลอด โพรเจสเทอโรนถูกขับทิ้งทางปัสสาวะ โพรเจสเทอโรนเป็นฮอร์โมนที่สำคัญสำหรับการตั้งครรภ์โดยเตรียมเยื่อบุมดลูกเพื่อรับตัวอ่อน ทำงานร่วมกับฮอร์โมนรีแลกซิน ลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของแม่ไม่ให้ต่อต้านการมีทารกซึ่งเปรียบเสมือนเซลล์แปลกปลอมในร่างกายของแม่ เอสโทรเจน รกสร้างเอสโทรเจนได้ทั้งเอสทราไดออลเอสโทรนและเอสไทรออล แต่สร้างเอสไทรออลได้มากกว่าฮอร์โมนอีก 2 ชนิดและมีระดับเพิ่มขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์คือช่วยในการพัฒนเต้านมและทำให้กล้ามเนื้อมดลูกมีขนาดโตขึ้น ทำให้เอ็นยึดต่างๆในอุ้งเชิงกราน และ หังหน่าว ช่วยให้บริเวณช่องคลอดขยายออกได้กว้างขึ้น

  35. ต่อมไทมัส( Thymus ) • ต่อมไทมัสเป็นต่อมขนาดเล็ก เป็นพูของเนื้อเยื่อที่คล้ายกับต่อมน้ำเหลือง มี 2 พู อยู่ที่ขั้วหัวใจ มีความสำคัญในช่วงอายุน้อย ในผู้ใหญ่ต่อมาจะฝ่อสลายไป จึงเป็นต่อมไร้ท่อที่มีเฉพาะในเด็กเท่านั้น สร้างฮอร์โมนไทโมซิน ( thymosin ) เพื่อกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีจากพลาสมาเซลล์ในม้าม และต่อมน้ำเหลือง และยังสร้างฮอร์โมนไทโมวิดิน ( thymovidin ) ยับยั้งการเจริญของอวัยวะสืบพันธุ์ ( คล้ายฮอร์โมนเมลาโตนินจาก ต่อมไพเนียล )

  36. กระเพาะอาหารและลำใส้เล็ก • กระเพาะอาหารและลำไส้ (Gastrointestinal tract )จัดเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นทั้งต่อมมีท่อคือสร้างเอนไซม์ที่ใช้ย่อยอาหารและเป็นต่อมไร้ท่อคือสร้างฮอร์โมน เยื่อชั้นในของกระเพาะอาหารและลำไส้มีเซลล์สำหรับสร้างฮอร์โมนหลายชนิดแต่ฮอร์โมนที่สำคัญได้แก่ Gastrin, Secretinเป็นต้น ซึ่งมีผลต่อการทำงานของอวัยวะเกี่ยวกับการย่อยอาหาร และทำงานร่วมกับระบบประสาทอัตโนมัติ

  37. การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมนการรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน • การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อชนิดต่างๆของร่างกายจะอยู่ในสภาวะที่ร่างกายสามารถควบคุมให้ฮอร์โมนเหล่านั้นทำงานมากหรือน้อยได้ตามความต้องการ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้าทั้งภายในและสิ่งเร้าภายนอก หากต่อมไร้ท่อรับสัญญาณจากสิ่งเร้าให้หลั่งฮอร์โมนโดยไม่จำกัด อวัยวะเป้าหมายจะถูกกระตุ้นให้ทำงานตลอดเวลา ทำให้เกิดผลเสียจนเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกายจึงจำเป็นต้องมีระบบควบคุมการหลั่งฮอร์โมนของต่อมไร้ท่อโดยระบบ ควบคุมดังกล่าว อาจเป็นปริมาณของฮอร์โมนเอง หรือ ระดับสารเคมีอื่น ๆ ในเลือด เพื่อให้ระบบต่างๆทำงานสัมพันธ์กันและสอดประสานกันได้อย่างสมดุล เพื่อเป็นการรักษาดุลยภาพของร่างกายที่เรียกว่า Homeostasis ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนให้พอเหมาะพอดี เพื่อไม่ให้เกิดความผิดปกติ ซึ่งทำได้ 2 ลักษณะ • การควบคุมแบบยับยั้งย้อนกลับ ( negative feedback ) • การควบคุมแบบกระตุ้นย้อนกลับ ( positive feedback )

  38. การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน(ต่อ)การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน(ต่อ) • การควบคุมแบบยับยั้งย้อนกลับ ( negative feedback ) -การควบคุมแบบยับยั้งย้อนกลับ : เกิดจากเมื่อมีการหลั่งฮอร์โมนออกมาแล้วจะมีการส่งสัญญาณบางอย่างกลับไปยังแหล่งที่หลั่งฮอร์โมนออกมาให้ลดหรือห้ามการหลั่ง ฮอร์โมนจากแหล่งนั้นอีกตัวอย่างเช่น -การควบคุมการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์ : เมื่อระดับCa++ ในเลือดลดลงกว่าปกติของร่างกาย ต่อมพาราไทรอยด์จะหลั่งพาราทอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อออกฤทธิ์ที่เซลล์เป้าหมาย เช่น กระดูกจะปล่อยCa++ เข้าสู่กระแสเลือดเพิ่มขึ้นจนถึงระดับปกติ เมื่อระดับCa++ อยู่ในระดับปกติแล้ว ก็จะย้อนกลับไปยับยั้งต่อมพาราไทรอยด์ไม่ให้มีการหลั่งพาราทอร์โมนออกมาอีก -การควบคุมการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ : เมื่อระดับฮอร์โมนไทรอกซินในเลือดสูงขึ้นจะไปยับยั้งไฮโพทาลามัสไม่ให้หลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่งฮอร์โมน TSH ไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ทำให้ต่อมไทรอยด์หยุดหลั่งฮอร์โมนไทรอกซิน

  39. การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน(ต่อ)การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน(ต่อ) • การควบคุมแบบกระตุ้นย้อนกลับ ( positive feedback ) -การควบคุมแบบกระตุ้นย้อนกลับ : เกิดจากเมื่อมีการหลั่งฮอร์โมนออกมาแล้วจะมีการส่งสัญญาณบางอย่างกลับไปยังแหล่งที่หลั่งฮอร์โมนนั้นออกมาให้เพิ่มการหลั่ง ฮอร์โมนจากแหล่งนั้นอีก เช่น -การควบคุมการหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน : • ขณะคลอดศีรษะของทารกจะขยายปากมดลูกให้กว้างออก หน่วยรับความรู้สึกบริเวณปากมดลูกจะส่งกระแสประสาทไปยังต่อมใต้สมองส่วนหลังให้หลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินเพิ่มขึ้นกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกให้ดันทารกออกมาเพื่อขยายปากมดลูกให้กว้างขึ้นยิ่งปากมดลูกกว้างขึ้นก็ยิ่งมีผล กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินมากขึ้นจนกระทั่งทารกคลอดออกมา การหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินจึงจะหยุดลง • ขณะทารกดูดนมแม่จะเกิดกระแสประสาทไปกระตุ้นไฮโพทาลามัสให้ส่งสัญญาณไปกระตุ้นให้ต่อใต้สมองส่วนหน้าหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินเพื่อกระตุ้นให้เต้านมบีบตัวหลั่งน้ำนมออกมาเมื่อทารกยิ่งดูดนมมากขึ้นยิ่งมีการหลั่งออกซิโทซินมากขึ้น

  40. ฟีโรโมน (Phreomone) • ฟีโรโมน (Phreomone) : ฟีโรโมนต่างจากฮอร์โมนตรงที่ ฮอร์โมนมีผลทางสรีรวิทยาเฉพาะแต่ภายในร่างกายของสัตว์เท่านั้น ส่วนฟีโรโมนจะไปมีผลต่อสัตว์อื่นที่เป็นชนิดเดียวกัน บางครั้งจึงเรียกว่า External hormone (Ectohormone) นอกจากนี้ยังต่างตรงที่ไปมีผลต่อสัตว์ต่างชนิดกัน

  41. ฟีโรโมน (Phreomone) (ต่อ) • เมื่อสัตว์ตัวหนึ่งปล่อยฟีโรโมนออกมานอกร่างกายแล้ว สัตว์ตัวอื่นจะได้รับฟีโรโมน 3 ทางด้วยกัน คือ 1. ทางกลิ่น (Olfaction) : พบในแมลงหลายชนิด ส่วนมากก็เพื่อการดึงดูดเพศตรงข้ามให้มาหาหรือไม่ก็เป็นการบอกให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน หรือเป็นสัญญาณอันตรายเตือนให้รู้ เช่น ฟีโรโมนของตัวชะมดมีกลิ่นแรงมากเราสกัดเอามาทำเป็นหัวน้ำหอม 2. การกิน (Ingestion) : เช่น ผึ้งนางพญาจะสร้างสารจากต่อมบริเวณระยางค์ปาก เรียกว่า Queen substance สำหรับเอาไว้ล่อผึ้งงาน เมื่อผึ้งงานกินเข้าไปจะไปยับยั้งรังไข่ของผึ้งงานไม่ให้มีการเจริญเติบโตและสร้างรังไข่จึงไม่มีโอกาสสืบพันธุ์เหมือนนางพญา

  42. ฟีโรโมน (Phreomone) (ต่อ) 3. การดูดซึม (Absorption) : พบเฉพาะในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเท่านั้น เช่น แมงมุมบางชนิดและแมลงสาบ ตัวเมียจะปล่อยฟีโรโมนทิ้งเอาไว้จนกระทั่งตัวผู้มาสัมผัส ก็จะซึมเข้าไปกระตุ้นให้เกิดความต้องการทางเพศติดตามหาตัวเมียจนพบและทำการผสมพันธุ์ แต่ในตั๊กแตนตัวผู้จะปล่อยฟีโรโมนทิ้งเอาไว้หลังจากผสมพันธุ์ เมื่อตัวอ่อนมาสัมผัสฟีโรโมนนั้นก็จะดูดซึมเข้าไปกระตุ้นให้เติบโตเป็นตัวเต็มวัยและสืบพันธุ์ได้ ฟีโรโมน (Pheromone)สารเคมีที่ผลิตจากต่อมมีท่อของสัตว์ที่สร้างออกมาแล้วไม่มีผลต่อร่างกายของสัตว์เอง แต่สามารถไปมีผลต่อสัตว์อื่นที่เป็นชนิดเดียวกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายและพฤติกรรมได้ ผลของฟีโรโมน : บอกอาณาเขต ให้รวมกลุ่ม : การหาอาหารหรือขับไล่ศัตรู ผสมพันธุ์

  43. ผู้จัดทำ นางสาวปิยะมาศ คำเหมา เลขที่ 25 ชั้น ม.4/15 เสนอ คุณครู สุรชัย ดอกแก้ว โรงเรียนสตรีสิริเกศ

More Related