520 likes | 686 Views
การสื่อสารทางไกลและเครือข่าย TELECOMMUNICATION AND NETWORKS. สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. วัตถุประสงค์รายวิชา. นักศึกษาสามารถ เข้าใจระบบการสื่อสารทางไกลและเครือข่าย ชี้และแสดงความสำคัญของการสื่อสารทางไกลและเครือข่าย
E N D
การสื่อสารทางไกลและเครือข่ายTELECOMMUNICATION AND NETWORKS สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
วัตถุประสงค์รายวิชา นักศึกษาสามารถ • เข้าใจระบบการสื่อสารทางไกลและเครือข่าย • ชี้และแสดงความสำคัญของการสื่อสารทางไกลและเครือข่าย • ดำเนินการ และปฏิบัติงานในระบบการสื่อสารทางไกลและเครือข่ายได้ • ประยุกต์ใช้งานทางวิทยาการสารสนเทศในระบบการสื่อสารทางไกลและเครือข่าย
หนังสืออ้างอิง • ฉัตรชัย สุมามาลย์, การสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย, กรุงเทพฯ : ไทยเจริญการพิมพ์, ไม่ระบุปีที่พิมพ์. • เชลลี, การี บี (สัลยุทธ์ สว่างวรรณ : ผู้แปล), การสื่อสารข้อมูลระดับพื้นฐาน, กรุงเทพฯ : ทอมสัน, 2544,
บรรยายครั้งที่ 1ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการสื่อสารทางไกล
วัตถุประสงค์รายครั้ง นักศึกษาสามารถ • บอกความหมาย และวิวัฒนาการของการสื่อสารทางไกลได้อย่างถูกต้อง • บอกองค์ประกอบของระบบการสื่อสารทางไกลได้อย่างถูกต้อง • บอกหลักการส่งสัญญาณอนาล็อกและดิจิตอลได้อย่างถูกต้อง
หัวข้อการบรรยาย • วิวัฒนาการของการสื่อสารข้อมูล • ความหมายเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูล • องค์ประกอบพื้นฐานของระบบการสื่อสารข้อมูล • รหัสที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล • วิธีการส่งข้อมูล • ความรู้พื้นฐานในการสื่อสารข้อมูล • องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารข้อมูล
การส่งสัญญาณอนาล็อก • การส่งสัญญาณดิจิตอล
วิวัฒนาการของการสื่อสารข้อมูลวิวัฒนาการของการสื่อสารข้อมูล • มาร์โคนี ได้ทำการทดลองส่งสัญญาณวิทยุข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก • การพัฒนารหัสมอร์ส โดยใช้รหัสจุดขีดเพื่อแทนข้อความ • การให้บริการโทรเลข วิทยุกระจายเสียง โทรพิมพ์ โทรศัพท์ โทรภาพ โทรสำเนา โทรทัศน์ • การให้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วีดีโอเท็กซ์ การซื้อของระยะไกล
ความหมาย • การสื่อสารข้อมูล (DATA COMMUNICATION) เป็นการส่งข้อมูลข่าวสารที่เข้ารหัสแล้วจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งโดยอาศัยระบบการส่งบนตัวนำแบบใดแบบหนึ่ง • การสื่อสารทางไกล (TELECOMMUNICTION) การติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านโครงข่าย (ทั้งสาธารณะ และส่วนตัว) ต่าง ๆ อย่างน้อยหนึ่งโครงข่าย
การส่งสัญญาณข้อมูล (TRANSMISSION) การส่ง (นำ) ข้อมูลหรือข่าวสารจากเครื่องส่งหรือผู้ส่ง ผ่านทางสื่อหรือตัวกลางไปยังเครื่องรับหรือผู้รับ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกส่งออกไปอาจจะอยู่ในรูปของสัญญาณเสียง สัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือแสงก็ได้ • การสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ คือ การโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างต้นทางและปลายทางโดยผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบการสื่อสารข้อมูลองค์ประกอบพื้นฐานของระบบการสื่อสารข้อมูล ข้อมูล ผู้ส่ง ผู้รับ ตัวกลางสื่อสาร
ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender) และ ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver) • DTE (Data Terminal Equipment) เช่น เทอร์มินัลคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ • DCE (Data Communications Equipment) เช่น Modem จานไมโครเวฟ หรือ จานดาวเทียม
ข่าวสาร (Message) ได้แก่สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร บางครั้งเรียกว่า Information มี 4 รูปแบบ • เสียง (Voice) • ข้อมูล (Data) • ข้อความ (Text) • ภาพ (Image)
สื่อกลาง (Medium) เป็นเส้นทางการสื่อสารเพื่อนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง สื่อกลางของสัญญาณแบ่งเป็น 2 ประเภท • จำพวกที่สามารถกำหนดเส้นทางได้ (Guided Media) ได้แก่ สายเกลียวคู่ สายโทรศัพท์ สายโคแอกเชียล และสายไฟเบอร์ออปติก • จำพวกที่ไม่สามารถกำหนดเส้นทางได้ (Unguided Media) ได้แก่ ชั้นบรรยากาศ สุญญากาศ และน้ำ
โปรโตคอล (Protocol) และซอฟต์แวร์ (Software) • โปรโตคอล คือ วิธีการหรือกฎระเบียบที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งสามารถเข้าใจกัน หรือคุยกันรู้เรื่อง เช่น X.25, BSC, SDLC, HDLC • ซอฟต์แวร์ มีหน้าที่ทำให้การดำเนินงานในการสื่อสารข้อมูลเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ เช่น Novell’s Netware, UNIX, MS-DOS, OS/2, Windows 95/98/2000, Windows NT
รหัสมอร์ส (MorseCode) • รหัสสากลรูปแบบแรกที่เกิดขึ้นในโลกการสื่อสารข้อมูล • ใช้ในการส่งข่าวสื่อสารทางโทรเลข • ปัจจุบันรูปแบบและเทคนิคการส่งข่าวสารได้เปลี่ยนไปตามความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ ข่าวสารที่ติดต่อสื่อสารสามารถเป็นได้ทั้งตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ (รวมเรียกว่าอักขระ) เพื่อความเหมาะสมในการสื่อสารข้อมูล จึงมีการแปรอักขระดังกล่าวให้เป็นสัญญาณพัลส์ไฟฟ้าหรือบิต ( Bit ) แทนรหัส • รหัสที่ถือว่าเป็นสากลในวงการสื่อสารข้อมูลได้แก่ รหัสแอสกี (ASCII) รหัสโบดอต (Baudot) รหัสเอบซีดิก (EBCDIC)
รหัสแอสกี ( ASCII Code ) • รหัสแอสกี ( ASCII Code ) หรือ American Standard Code for Information Interchange เป็นรหัสที่มีการใช้แพร่หลายกันมากที่สุดเช่น ในไมโครคอมพิวเตอร์ IBM และ IBM คอมแพทิเบิล • รหัสแอสกี เป็นมาตรฐานที่กำหนดขึ้นโดยองค์กร ANSI ประกอบด้วยรหัส 7 บิต+1 พาริตี้บิต เท่ากับ 8 บิต ต่อหนึ่งอักขระ ซึ่งแต่ละบิตจะแทนด้วยตัวเลข “0” หรือ “1”
รหัสโบดอต ( Baudot Code ) • รหัสของโบดอตเป็นมาตรฐานของ CCITT ซึ่งใช้ในระบบโทรเลขและเทเล็กซ์ทั่วโลก • ประกอบด้วยรหัส 5 บิต ดังนั้นจึงใช้แทนตัวอักขระได้ 25 =32 ตัวและเพิ่มอักขระพิเศษเพิ่มอีก 2 ตัว คือ • 11111 หรือ LS ( Leter Shift Character ) เพื่อเปลี่ยนเป็นกลุ่มตัวอักษร • 11011 หรือ FS (Figure Shift Character) เพื่อเปลี่ยนเป็นกลุ่มเครื่องหมาย • ทำให้มีรหัสแทนตัวอักขระเพิ่มอีก 32 ตัว โดยมีอักขระซ้ำกับกลุ่มตัวอักขระเดิม 6 ตัว • รหัสโบดอตจึงสามารถใช้แทนอักขระได้ทั้งหมด 32+32-6=58 ตัว สำหรับรหัสโบดอต ที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยจะใช้เป็นขนาด 6 บิต
รหัสเอบซีดิก ( EBCDIC ) • EBCDIC ย่อมาจาก Extended Binary Coded Becimal Interchange Code • พัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM รหัสเอบซีดิกมีขนาด 8 บิต ต่อหนึ่งอักขระ บิตที่ 9 เป็นพาริตี้บิต ดังนั้นจึงสามารถใช้แทนอักขระได้ 28 หรือ 256 ตัว หรือสองเท่าของรหัสแอสกี • รหัสเอบซีดิก ถือว่าเป็นรหัสมาตรฐานในการเข้าตัวอักขระของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในปัจจุบัน
รหัสยูนิโค้ด ( UNICODE ) • กำหนดให้หนึ่งตัวมี 16 บิต แทน 8 บิต จึงสารมารถใช้แทนตัวอักษรได้ 65,536 ตัว • 128 ตัวแรกเหมือนรหัสแอสกี้ในรุ่นเก่า • มีตัวอักษรภาษาอื่น ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย ฮิบรู กรีก • มีสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สัญลักษณ์พิเศษ
การส่งข่าวสาร : ตามลักษณะการจัดข้อมูล • แบบขนาน (Parallel Transmission) เป็นการส่งทุก ๆ บิทของรหัสที่ประกอบเป็นอักษรหนึ่งตัวส่งออกไปพร้อม ๆ กัน ในเวลาเดียวกัน • แบบอนุกรม (Serial Transmission) เป็นการส่งบิททั้งหมดของตัวอักษรหนึ่งตัวส่งออกไปทีละบิท
การส่งข่าวสาร : ตามทิศทางการส่งภายในสาย • แบบทิศทางเดียวหรือซิมเพล็กซ์ (One-Way หรือ Simplex) เช่น การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ การแพร่ภาพของโทรทัศน์ เป็นต้น • แบบกึ่งทางคู่หรือครึ่งดูเพล็กซ์ (Either-Way of Two Ways หรือ Half Duplex) เช่น วิทยุสื่อสาร เป็นต้น • แบบทางคู่หรือดูเพล็กซ์เต็ม (Both-Way หรือ Full-Duplex) เช่น โทรศัพท์ เป็นต้น • แบบสะท้อนสัญญาณหรือเอ็กโคเพล็กซ์ (Echo-Plex) เช่น การคีย์ข้อมูลที่คีย์บอร์ดไปที่โฮสต์คอมพิวเตอร์ จะมาปรากฏที่จอภาพด้วย
การส่งข่าวสาร : ตามความสัมพันธ์ของข้อมูล • แบบสัมพันธ์ (Synchronous Transmission) จะใช้สัญญาณคล็อก (Clock Signal) ในการรับและส่งข้อมูล • แบบไม่สัมพันธ์ (Asynchronous Transmission) ตัวอักขระจะถูกส่งออกไปที่เวลาใด ๆ ก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรว่าจะต้องมีเวลาที่แน่นอน
ความรู้พื้นฐานในการสื่อสารความรู้พื้นฐานในการสื่อสาร • ช่องทางการสื่อสาร (Channel) ช่องทางการสื่อสารจะนำข่าวสารจากจุดต้นกำเนิดไปยังจุดปลายทางหนึ่งหรือมากกว่า • ชนิดของช่องทางการสื่อสาร (Channel Types) ได้แก่ ช่องทางอนาล็อก และช่องทางดิจิตอล • การเบาบางของสัญญาณ (Signal Attenuation) ความต้านทาน (Resistance) ของช่องทางสื่อสารทำให้พลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนแผ่สู่สภาพแวดล้อมใกล้เคียง
ความรู้พื้นฐานในการสื่อสาร (ต่อ) • แบนด์วิดท์หรือแถบความถี่ (Bandwidth) หมายถึงขีดจำกัดที่ช่องทางสื่อสารสามารถนำข่าวสารหรือข้อมูลผ่านทางช่องทางในช่วงเวลากำหนด หรืออีกนัยหนึ่ง คือช่วงที่เป็นค่าความถี่ต่ำสุดและความถี่สูงสุดของสัญญาณอนาล็อก ความถี่มีหน่วยเป็นรอบต่อวินาทีหรือเฮิรตซ์ (Hertz)
ความรู้พื้นฐานในการสื่อสาร (ต่อ) • ช่องทางบอร์ดแบนด์และเบสแบนด์ (Broadband andBestband Channel) ช่องทางอนาล็อก จะเรียกว่า ช่องทางบรอดแบนด์ ก็ต่อเมื่อช่องทางนั้นสามารถส่งผ่านสัญญาณอนาล็อกได้หลาย ๆ สัญญาณ ช่องทางที่ส่งผ่านสัญญาณดิจิตอลเราจะเรียกว่า ช่องทางเบสแบนด์ วิธีที่นิยมใช้ก็คือการส่งสัญญาณข้อมูลเป็นบิต หรือตัวเลขไบนารี (Binary digits)
ความรู้พื้นฐานในการสื่อสาร (ต่อ) • อัตราบิท และอัตราบอด (Bit Rate and Baud Rate) อัตราบิท เป็นความจุของช่องทางดิจิตอล คือ จำนวนบิทที่ช่องทางสามารถนำผ่านได้ภายใน 1 วินาที มีหน่วยเป็น บิทต่อวินาที (bps หรือ bit per second) อัตราบอด คือจำนวนสัญญาณดิจิตอลหรืออนาล็อก (ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นดิจิตอลแล้ว) ที่ส่งผ่านไปในช่องทางสื่อสารภายใน 1 วินาที มีหน่วยเป็นบอดต่อวินาที (baud per second)
ความรู้พื้นฐานในการสื่อสาร (ต่อ) • อัตราบิทของบรอดแบนด์และเบสแบนด์ การเพิ่มจำนวนของอัตราบิท ในช่องทางบรอดแบนด์ สามารถเพิ่มอัตราบิทได้โดยการเพิ่มจำนวนบิทเข้าไปในช่องทาง โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแบนด์วิดท์ของช่องทางเลย สัญญาณดิจิตอลที่ผ่านมาในช่องทางเบสแบนด์จะใช้ช่องทางเต็มแบนด์วิดท์ที่มี มีเพียงวิธีเดียวที่จะเพิ่มอัตราบิทในช่องทางเบสแบนด์ได้คือลดเวลาในแต่ละบิทลง (คือเพิ่มสัญญาณนาฬิกาให้เร็วขึ้น)
ความรู้พื้นฐานในการสื่อสาร (ต่อ) • การเบาบางของสัญญาณ • สัญญาณรบกวน • การเข้ารหัส (Encoding) และการถอดรหัส (Decoding)
ISO (The International Standards Organization) • เป็นองค์กรพัฒนามาตรฐานสากลในเรื่องของการสื่อสารข้อมูล • เป็นสถาบันที่พัฒนารูปแบบ OSI ( Open Systems Interconnection Model ) ซึ่งเป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมเครือข่าย โดยมีการแบ่งโครงสร้างการติดต่อสื่อสารออกเป็น 7 ชั้น หรือ 7 เลเยอร์ (Layer) สำหรับการเชื่อมโยงการสื่อสารในเครือข่ายระหว่างคอมพิวเตอร์ที่มีความแตกต่างกัน • สถาบัน ISO ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการจาก 89 ประเทศสมาชิก • มาตรฐานที่ ISO ได้ประกาศใช้มีมากกว่า 5,000 มาตรฐาน
CCITT (The Consultative Committee in International Telegraphy and Telephony) • เป็นองค์กรพัฒนามาตรฐานสากลในเรื่องของการสื่อสารข้อมูล • มาตรฐานที่ CCITT ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ มาตรฐาน V และ X • มาตรฐาน V จะประยุกต์ใช้สำหรับวงจรโทรศัพท์และโมเด็ม เช่น โมเด็ม V.29 • มาตรฐาน X จะประยุกต์ใช้กับเครือข่ายข้อมูลสาธารณะ เช่น เครือข่าย X.25 แพ็กเกจสวิตซ์
ANSI (The American National Standards Institute) • เป็นองค์กรพัฒนามาตรฐานในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของกลุ่มประเทศสมาชิกใน ISO • มาตรฐานที่ ANSI กำหนดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับการสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่าย • มาตรฐานที่พัฒนาส่วนใหญ่ จะเป็นมาตรฐานการประดิษฐ์ตัวเลขของการติดต่อสื่อสารข้อมูล และมาตรฐานเทอร์มินัล • ล่าสุด ANSI ยังรับผิดชอบในการกำหนดมาตรฐานการสื่อสารในเครือข่ายแบบ FDDI (Fiber Distributed Data Interface) อีกด้วย
IEEE (The Institute of Electrical and Electronic Engineers) • เป็นกลุ่มนักวิชาการและผู้ประกอบอาชีพทางสาขาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศสหรัฐอเมริกา • มาตรฐานที่ IEEE กำหนดขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นมาตรฐานทาง อุตสาหกรรมทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และมาตราฐานเกี่ยวกับไมโครโปรเซสเซอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไมโครคอมพิวเตอร์ • มาตรฐานที่คุ้นเคยกันดี เช่น IEEE802.3 สำหรับระบบเครือข่ายท้องถิ่น LANCSMA/CD หรือ Ethernet
EIA (The Electronics Industries Association) • เป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานทางอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศสหรัฐอเมริกา • มาตรฐานของ EIA จะขึ้นต้นด้วย RS (Recommended Standard) เช่น อินเตอร์เฟซ RS-232-C
Analog Signal • สัญญาณอนาล็อกที่ส่งออกจะมีความต่อเนื่องกันตลอดเวลา เช่น สัญญาณเสียง เป็นต้น • สัญญาณอนาล็อกที่ใช้กันโดยทั่วไปได้แก่สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณวิทยุกระจายเสียง สัญญาณโทรทัศน์ • คนสามารถเปล่งเสียงตั้งแต่ 20 - 18,000 Hz แต่ระบบโทรศัพท์ออกแบบมาสำหรับช่วง 300 - 3,300 Hz
สัญญาณอนาล็อกที่ส่งออกไป พลังงานจะอ่อนลงเรื่อย ๆ เมื่อระยะทางเพิ่มขึ้น ในการส่งสัญญาณอนาล็อกไประยะไกล ๆ จะต้องใช้เครื่องขยายสัญญาณหรือแอมปลิไฟเออร์ (Amplifier) เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับสัญญาณ • การขยายสัญญาณจะมีการสร้างสัญญาณรบกวน (Noise) รวมกับสัญญาณข้อมูล จึงมีวงจรกรองของสัญญาณ (Filter) เพื่อกรองเอาสัญญาณรบกวนออกอีก
การเข้ารหัสโดยใช้สัญญาณอนาล็อกการเข้ารหัสโดยใช้สัญญาณอนาล็อก
Digital Signal • สัญญาณดิจิตอล หมายถึง สัญญาณที่ Amplitude ถูกจัดระดับให้แปรผันไปกับเวลาตามค่าที่กำหนดให้ เช่น ถ้าแปรผันอยู่ระหว่าง 2 ค่า เรียกว่า Binary Signal • วงจรสัญญาณดิจิตอลสามารถส่งสัญญาณรูปร่างลักษณะเป็นพัลส์ (Pulse) ซึ่งแสดงค่า “0”หรือ “1” • การส่งสัญญาณดิจิตอลระยะไกลจะทำให้สัญญาณดิจิตอลจางหายไป จะต้องใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ (Repeater)
การเข้ารหัสโดยใช้สัญญาณดิจิตอลการเข้ารหัสโดยใช้สัญญาณดิจิตอล
ลักษณะการส่งสัญญาณดิจิตอลลักษณะการส่งสัญญาณดิจิตอล
Signal Modulation • เป็นเทคนิคการพาสัญญาณที่ต้องการส่งเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางผ่านตัวกลางการสื่อสาร สัญญาณที่เป็นตัวพาสัญญาณข้อมูลไปเรียกว่า คลื่นพาหะ (Carrier wave) • วิธีการมอดูเลตสัญญาณอนาล็อก • การมอดูเลตทางแอมปลิจูด (Amplitude Modulation, AM) • การมอดูเลตทางความถี่ (Frequency Modulation, FM) • การมอดูเลตทางเฟส (Phase Modulation, PM)
การมอดูเลททางขนาด (Amplitude modulation : AM) • วิธีนี้จะทำให้ขนาดของสัญญาณพาหะเปลี่ยนไป โดยที่ความถี่ของสัญญาณพาหะยังคงเดิม • โดยอาจจะทำได้โดยให้ค่าสูงแทนค่าบิตที่มีค่า 1 และขนาดที่มีค่าต่ำแทนบิตที่มีค่า 0 • การมอดูเลทวิธีนี้จะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพด้อยที่สุด ทั้งนี้เพราะอาจถูกรบกวนด้วยสัญญาณรบกวนทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย
การมอดูเลททางความถี่ (Frequency Modulation : FM) • เป็นการเปลี่ยนค่าความถี่ของสัญญาณพาหะไปตามค่าบิตที่มีค่า 1 และ 0 โดยการใช้ความถี่ 2 ความถี่สำหรับค่าทั้ง 2 • สัญญาณพาหะจะมีขนาดคงที่เสมอ • เทคนิคการมอดูเลทนี้เรียกว่า FSK (Frequency Shift Keying)
มาตรฐาน CCITT V.21 สำหรับโมเด็มความเร็วต่ำ 300 บอด
การมอดูเลททางเฟส (Phase Modulation : PM) • เป็นวิธีการที่เข้าใจค่อนข้างยาก เพราะการมอดูเลทอาศัยค่าเฟส • ค่าเฟส 2 เฟส คือ 0 องศา และ 180 องศา • ค่าเฟส 4 เฟส (0, 90, 180 และ 270 องศา) • ค่าเฟส 8 เฟส (10, 45, 90, 135, 180, 225, 270 และ 315 องศา) • การมอดูเลททางเฟสที่เรียกว่า Phase Shift Keying) สำหรับชุดของไบนารี 0 และ 1 ในระบบ 2 เฟส ที่มีค่าเฟสต่างกัน 180 องศา เมื่อมีการเปลี่ยนของข้อมูลระหว่าง 0 กับ 1 ทุกครั้ง ค่าเฟสของสัญญาณจะเปลี่ยนไป 180 องศา
การมอดูเลททางเฟสที่เรียกว่า DPSK (Differential Phase Shift Keying) จะมีการเปลี่ยนของเฟสทุกครั้งที่มีการส่งข้อมูลบิตที่มีค่า 1 แต่หากเป็นกรณีอื่นค่าเฟสจะไม่เปลี่ยนแปลง
การมอดูเลททางเฟสที่เรียกว่า QPSK (Quadrature Phase Shift Keying) จะมีการแยกสัญญาณออกเป็น 4 เฟส จะสามารถส่งข้อมูลได้ 2400 บิตต่อวินาที