E N D
คนทุกคนจะมีกระบวนการที่เหมือนกันคนทุกคนจะมีกระบวนการที่เหมือนกัน • สิ่งที่มนุษย์ทุกคนเหมือนกัน ก็คือ กระบวนการของพฤติกรรม(The process of behavior) ถึงแม้ว่าแบบของพฤติกรรมต่างๆ(Behavior pattern) ที่แสดงออกของมนุษย์แต่ละคน จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปมากมายก็ตาม แต่กระบวนการของพฤติกรรมดังกล่าวจะมีลักษณะที่เหมือนกันเป็นพื้นฐานอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ซึ่งก็คือ • พฤติกรรมของมนุษย์จะเป็นไปโดยมีข้อสมมติฐาน 3 ประการที่สัมพันธ์กันอยู่ คือ • 1.พฤติกรรมจะเกิดขึ้นได้ก็โดยที่ต้องมีสาเหตุมาทำให้เกิด(Behavior is caused) • 2.พฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นได้ก็โดยที่ต้องมีแรงกระตุ้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระตุ้นทำให้เกิด(Behavior is motivated) • 3.พฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นได้ก็โดยมีจุดมุ่งหมายเสมอ(Behavior is gold-directed)
ปัจจัยที่ทำให้คนมีลักษณะแตกต่างกันปัจจัยที่ทำให้คนมีลักษณะแตกต่างกัน • สามารถแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัย คือ • 1.ปัจจัยที่เกี่ยวกับนอกหน้าที่การงานทั่วไป • 2.ปัจจัยที่เกี่ยวกับการทำงาน
ทฤษฎีการจูงใจว่าด้วย EGR ของ Alderfer • Alderfer เห็นว่า ความต้องการของมนุษย์น่าจะแยกเป็น 3 ประเภท ซึ่งเห็นว่าจะใช้สะดวกและตรงกับความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งความต้องการของมนุษย์แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย E(Existence) หรือความต้องการอยู่รอด R(Relatedness)หรือความต้องการมีความสัมพันธ์ทางสังคม และ G(Growth) หรือความต้องการก้าวหน้าและเติบโต
ทฤษฎี ERG นี้ จะมีข้อสมมุติฐาน 3 ประการที่เป็นกลไกสำคัญอยู่คือ • 1. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนอง (Need satisfaction) • 2. ขนาดของความต้องการ (Desire strength) • 3. ความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง (Need frustration)
ทฤษฎีการส่งเสริมแรงของการจูงใจทฤษฎีการส่งเสริมแรงของการจูงใจ • การเสริมแรงทางบวก • การเสริมแรงทางลบ
ทฤษฎีการต้องการประสบผลสำเร็จ (The need to achieve theory) • ทฤษฎีความต้องการของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ทฤษฎีการต้องการประสบผลสำเร็จทั้ง 3 อย่างคือ ความสำเร็จ(achievement) อำนาจ(power) และการมีสายสัมพันธ์(affliliation) เป็นทฤษฎีที่กำหนดขึ้นโดย David C. McCelland และ J.W. Atkinson ตามทฤษฎีนี้เชื่อว่า โดยปกติแล้วความต้องการที่มีอยู่ในตัวคนจะมีเพียง 2 ชนิด คือ การต้องการมีความสุขสบาย และต้องการการปลอดจากการเจ็บปวด
การจูงใจคนในการทำงาน • การจูงใจ ขวัญของคนงาน และผลผลิต จะมีความสัมพันธ์กันเสมอ ถ้าหากขวัญของคนงานดีหรืออยู่สูงแล้ว ก็จะทำให้ผลผลิตสูงขึ้นด้วย กล่าวคือ ถ้าบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้มองเห็นช่องทางหรือโอกาสที่ตนจะสามารถตอบสนองสิ่งจูงใจที่ตนมีอยู่แล้ว ก็จะทำให้ขวัญของเขาดี ดังนั้น การที่ฝ่ายจัดให้คนงานได้มีโอกาสตอบสนองสิ่งจูงใจของตนแล้ว ขวัญของพนักงานก็จะสูง ผลผลิตก็จะสูงและดีตามไปด้วย
ข้อสมมุติฐานของผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับคน-McGregorข้อสมมุติฐานของผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับคน-McGregor • Theory X ลักษณะของคนโดยทั่วไปจะไม่ชอบการทำงาน และจะพยายามหลีกเลี่ยงหรือบิดพลิ้วเมื่อมีโอกาส • Theory Y รักงาน พยายามเรียนรู้และปรับปรุงงาน ใฝ่หาความรับผิดชอบ
กลุ่มทฤษฎีที่เน้นกระบวนการของการจูงใจกลุ่มทฤษฎีที่เน้นกระบวนการของการจูงใจ กลุ่มทฤษฎีนี้ได้แก่ • ทฤษฎีการตั้งเป้าหมายของเอ็ดวิน ล็อค • ทฤษฎีความคาดหวังของวิคเตอร์ วรูม • ตัวแบบการจูงใจของพอร์ทเตอร์และลอเลอร์ • ทฤษฎีความเสมอภาคของ เจ. สเตซี อาดามส
ทฤษฎีการตั้งเป้าหมายของล็อคทฤษฎีการตั้งเป้าหมายของล็อค • การตั้งเป้าหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจงเพื่อการปฎิบัติงานโดยทั่วไปจะนำไปสู่ผลผลิตที่ดีกว่า • เป้าหมายที่ยากและมีลักษณะท้าทายจะดีกว่าเป้าหมายที่ง่าย • การมีส่วนร่วม ( Participation ) นั้นก็นำไปสู่การปฎิบัติงานที่ดีขึ้น
ทฤษฎีความคาดหวัง หรือ ทฤษฎีวี ( VIE ) ของ วรูม • จำนวนที่ประกอบกันขึ้นเป็นความชอบ ( Valence ) • ความเป็นเครื่องมือ ( Instrumentality ) • ความคาดหวัง ( Expectancy )
ตัวแบบการจูงใจของพอร์ทเตอร์และลอเลอร์ ตัวแบบการจูงใจของพอร์ทเตอร์และลอเลอร์ • เป็นตัวแบบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการปฎิบัติงาน ( Performance ) กับความพึงพอใจ (Satisfication ) • การจูงใจ (ความพยายามหรือพลัง) มิใช่ความพึงพอใจในงาน และการจูงใจเองก็มิใช่การปฎิบัติงาน ตรงกันข้าม การจูงใจ ความพึงพอใจ และ การปฎิบัติงานนั้นต่างก็เป็นอิสระจากกัน แต่ก็สัมพันธ์กันในบางลักษณะ
ทฤษฎีความเสมอภาคของอาดามสทฤษฎีความเสมอภาคของอาดามส • การทุ่มเทในการปฎิบัติงานและความพึงพอใจนั้นเป็นเรื่องของความเสมอภาค ( หรือ ความไม่เสมอภาค) ซึ่งบุคคลรับรู้ในสถานการณ์ของการทำงานหนึ่งๆ ความเสมอภาคจะมีอยู่ก็ต่อเมื่อบุคคลรับรู้สัดส่วนของผลตอบแทนที่ตนได้จากองค์การกับสิ่งที่เขาทุ่มเทให้กับองค์การ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับสัดส่วนของผลตอบแทนที่ผู้อื่นได้จากองค์การกับสิ่งที่ผู้อื่นทุ่มเทให้กับองค์การนั้นเท่ากัน • ผลตอบแทนที่ตนได้จากองค์การ ≥ ผลตอบแทนที่ผู้อื่นได้จากองค์การ สิ่งที่ตนได้ทุ่มเทให้กับองค์การ สิ่งที่ผู้อื่นได้ทุ่มเทให้กับองค์การ
ทฤษฎีความเสมอภาคของอาดามส(ต่อ)ทฤษฎีความเสมอภาคของอาดามส(ต่อ) • ความไม่เสมอภาคจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรับรู้ว่าสัดส่วนของผลตอบแทนที่ตนได้จากองค์การกับสิ่งที่ตนทุ่มเทให้กับองค์การกับสัดส่วนของผลตอบแทนที่ผู้อื่น ได้จากองค์การกับสิ่งที่ผู้อื่นทุ่มเทให้กับองค์การนั้นไม่เท่ากัน • ผลตอบแทนที่ตนได้จากองค์การ ≠ ผลตอบแทนที่ผู้อื่นได้จากองค์การ สิ่งที่ตนได้ทุ่มเทให้กับองค์การ สิ่งที่ผู้อื่นได้ทุ่มเทให้กับองค์การ
จากทฤษฎีสู่การประยุกต์จากทฤษฎีสู่การประยุกต์ • การตระหนักในความแตกต่างของเอกบุคคล • การจัดคนให้เหมาะกับงาน • การใช้เป้าหมายเพื่อการจูงใจ
เครื่องมือหรือสิ่งต่างๆที่จะใช้จูงใจเครื่องมือหรือสิ่งต่างๆที่จะใช้จูงใจ • 1. เทคนิคในการควบคุมงาน (supervisory techniques) • 2. การใช้อำนาจหน้าที่(authority) • 3. การให้ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินหรือที่สามารถตีค่าเป็นเงินได้ • 4. ผลตอบแทนอื่นๆที่มิใช่ตัวเงิน