860 likes | 1.91k Views
เด็กพิเศษ. เป็นชื่อที่เรียกขาน ทางการศึกษา ของเด็กกลุ่มหนึ่ง คือ เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ( Special Need Children). เด็กพิเศษ. เด็กที่มีปัญหาทางร่างกาย ( Handicap Children) เด็กสมาธิสั้น ( ADHD) เด็กปัญญาอ่อน ( Down’s Syndrome) เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้ (LD)
E N D
เด็กพิเศษ เป็นชื่อที่เรียกขาน ทางการศึกษาของเด็กกลุ่มหนึ่ง คือ เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ (Special Need Children)
เด็กพิเศษ เด็กที่มีปัญหาทางร่างกาย (Handicap Children) เด็กสมาธิสั้น (ADHD) เด็กปัญญาอ่อน (Down’s Syndrome) เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้ (LD) เด็กออทิสติก (Autistic) เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Children)
เด็กพิเศษ เด็กแต่ละกลุ่มต้องการความช่วยเหลือที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ เด็กที่มีปัญหาทางร่างกาย (Handicap Children) เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Children) เด็กที่มีความบกพร่องทางสมอง
เด็กที่มีความบกพร่องทางสมองเด็กที่มีความบกพร่องทางสมอง เด็กกลุ่มนี้ สามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆได้ แต่พวกเขาก็ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ซึ่งเป็นความต้องการจำเป็นพิเศษ ที่แตกต่างจากเด็กปรกติทั่วไป เช่น การบำบัดแก้ไขข้อบกพร่อง, สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม, สื่อการเรียนการสอน, การจัดการศึกษา เป็นต้น
การจัดการศึกษา การจัดการศึกษาที่มีประสิทธิผลสำหรับเด็กกลุ่มนี้ คือ การจัดการศึกษาแบบห้องเรียนคู่ขนานออทิสติกและห้องเรียนสอนเสริมการศึกษาพิเศษ ซึ่งเด็กๆจะได้รับการบำบัดช่วยเหลือ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง รวมทั้งได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ ในสถานการณ์จริง และ ได้เรียนรู้อยู่ในสังคมของเด็กในวัยเดียวกัน
การจัดการศึกษาแบบห้องเรียนคู่ขนานฯการจัดการศึกษาแบบห้องเรียนคู่ขนานฯ เป็นการจัดการศึกษา ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับศักยภาพของเด็กแต่ละคน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบคือ 1. การจัดการศึกษาในห้องเรียนคู่ขนานออทิสติก 2. การจัดการศึกษาในห้องเรียนสอนเสริมการศึกษาพิเศษ 3. การจัดการศึกษาในห้องเรียนปรกติที่เป็นห้องเรียนรวมหรือห้องเรียนคู่หู
การจัดการศึกษาในห้องเรียนคู่ขนานการจัดการศึกษาในห้องเรียนคู่ขนาน • สอนทักษะในการดำรงชีวิต • สอนทักษะทางวิชาการ • สอนทักษะทางสังคม • แก้ไขข้อบกพร่องในการสื่อสาร • แก้ไขข้อบกพร่องทางการเคลื่อนไหว • ฯลฯ ห้องเรียนคู่ขนาน
การจัดการศึกษาในห้องเรียนคู่ขนานการจัดการศึกษาในห้องเรียนคู่ขนาน ความต้องการจำเป็นพิเศษ คือ • ห้องเรียนคู่ขนาน รวมถึงสื่อการเรียนการสอน • บุคคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น ครูฝึกพูด, นักกิจกรรมบำบัด,นักกายภาพบำบัด, ครูการศึกษาพิเศษ เป็นต้น • การจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับเด็กแต่ละคน (หลักสูตรคู่ขนาน)
การจัดการศึกษาในห้องเรียนสอนเสริมการจัดการศึกษาในห้องเรียนสอนเสริม • สอนเสริมทักษะทางวิชาการ อย่างเข้มข้น • สอนเสริมทักษะทางสังคมต่างๆ ในการเรียนรู้ในห้องเรียนปรกติ เพื่อเตรียมเด็กใน การส่งต่อ และ การถ่ายโอน • ฯลฯ ห้องเรียนสอนเสริม
การจัดการศึกษาในห้องเรียนสอนเสริมการศึกษาพิเศษการจัดการศึกษาในห้องเรียนสอนเสริมการศึกษาพิเศษ ความต้องการจำเป็นพิเศษ คือ • ห้องเรียนสอนเสริมการศึกษาพิเศษ รวมถึงสื่อการเรียนการสอน • บุคคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น นักพฤติกรรมบำบัดมีทีมนักบำบัดเป็นทีมที่ปรึกษาของโรงเรียน), ครูการศึกษาพิเศษ, ครูประสานงาน เป็นต้น • การจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับเด็กแต่ละคน (แผนการสอนเสริมเฉพาะบุคคล)
การเชื่อมต่อ การส่งต่อ และ ถ่ายโอนเด็ก ห้องเรียนปรกติ ห้องเรียนคู่ขนานฯ เด็กที่มีความพร้อม
การเชื่อมต่อ การส่งต่อ และ ถ่ายโอนเด็ก เด็กที่ได้รับการแก้ไขข้อบกพร่อง ได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ จากห้องเรียนคู่ขนาน มีความจำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อต่อ การส่งต่อ ถ่ายโอน ให้เด็กได้เรียนรู้ร่วมกับเด็กปรกติ ในสถานการณ์จริงทั้งในห้องเรียนปรกติซึ่งเป็นห้องเรียนบัดดี้ของนักเรียนออทิสติกแต่ละคนจากห้องเรียนคู่ขนานฯ การร่วมกิจกรรมรวมต่างๆ ของโรงเรียน ฯลฯ โดยอาศัยความร่วมมือของทั้งครูในห้องเรียนปรกติ ครูในห้องเรียนคู่ขนาน ฯ ครูประสานงาน ครูอำนวยการ
การเชื่อมต่อ การส่งต่อ และ ถ่ายโอนเด็ก ระบบการเชื่อมต่อ – หมายถึง การเชื่อต่อกิจกรรมของห้องเรียนคู่ขนานฯ เข้ากับกิจกรรมของโรงเรียนทั้งโรงเรียน เช่น กิจกรรมการปฐมนิเทศผู้ปกครองนักเรียนปกติ การปฐมนิเทศผู้ปกครองนักเรียนออทิสติก และการปฐมนิเทศรวมผู้ปกครองของนักเรียนทั้งโรงเรียน การประชุมครูห้องเรียนคูขนานฯ การประชุมครูทั้งโรงเรียน ฯลฯ
การเชื่อมต่อ การส่งต่อ และ ถ่ายโอนเด็ก การส่งต่อ – เมื่อเด็กมีศักยภาพพอจะเรียนร่วมกับเด็กปรกติได้ เป็นบางรายกิจกรรมหรือบางรายวิชา เช่น วิชาศิลปะ ดนตรี ก็จะต้องทำการส่งต่อผู้เรียนจากห้องเรียนคู่ขนาน ไปเรียนร่วมกับผู้เรียนปกติ ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้จากครูผู้สอนทั่วไป ในระยะแรกอาจต้องใช้ระบบ ครูผู้สอนร่วมกัน ( Co-Operation Teacher) โดยมีครูผู้สอน 2 คน คนหนึ่งสอนผู้เรียนปกติ อีกคนหนึ่งช่วยสอนเด็กพิเศษในเนื้อหาสาระเดียวกัน
การเชื่อมต่อ การส่งต่อ และ ถ่ายโอนเด็ก ระบบถ่ายโอน – เด็กที่มีความบกพร่องเล็กน้อย หรือ เด็กที่สามารถผ่านระบบส่งต่อ จนมีศักยภาพ อยู่ในระดับที่สามารถจะถ่ายโอนไปสู่ระบบการจัดการการศึกษาแบบผู้เรียนปรกติได้ ก็จะต้องเตรียมพร้อมเด็ก และ ถ่ายโอนเด็กเข้าสู่ระบบการจัดการศึกษาแบบปกติ
การจัดการศึกษาในห้องเรียนปรกติการจัดการศึกษาในห้องเรียนปรกติ • ห้องเรียนปรกติ จำเป็นต้องมีการจัดหา ครูประสานงาน ครุภัณฑ์ และ จัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม • มีการให้ความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงสร้างเจตคติที่ดี แก่ นักเรียนปรกติในชั้นเรียน รวมถึงกลุ่มเพื่อน buddy • มีเทคนิคการสอนที่สอดคล้องและสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก (เด็กแต่ละคน ต้องการสื่อการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน)
เด็กที่มีความบกพร่องทางสมองเด็กที่มีความบกพร่องทางสมอง เพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือ และ การจัดการศึกษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับศักยภาพ ความสามารถ และความต้องการของเด็ก ดังนั้นจึงแบ่งกลุ่มเด็กออกเป็น3กลุ่มใหญ่ๆ ตามระดับอาการ / ข้อบกพร่อง 1. กลุ่มที่มีความบกพร่องเพียงเล็กน้อย 2. กลุ่มที่มีความบกพร่องปานกลาง 3. กลุ่มที่มีความบกพร่องรุนแรง
จากศักยภาพ/ระดับอาการความรุนแรงของเด็ก จากศักยภาพ/ระดับอาการความรุนแรงของเด็ก เด็กกลุ่มที่มีความบกพร่องเพียงเล็กน้อยมีระดับสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดี บางคนอาจดีมากสามารถเรียนรวมกับเด็กปกติ และ ใช้การจัดการศึกษาเหมือนเด็กปกติได้ เพียงแต่ต้องขจัดข้อบกพร่องบางเรื่องของเด็กที่มีอยู่ และ กระตุ้นความสามารถเด็กให้เต็มที่
จากศักยภาพ/ระดับอาการความรุนแรงของเด็ก จากศักยภาพ/ระดับอาการความรุนแรงของเด็ก เด็กกลุ่มที่มีความบกพร่องปานกลาง มีระดับสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปานกลางจนถึงใกล้เคียงระดับปกติ สามารถเรียนได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเข้มข้นขึ้น อาจจะต้องมีพี่เลี้ยง หรือ ครูผู้ช่วย คอยกระตุ้นให้เด็กสนใจในการเรียนรู้ พร้อมทั้งขจัดข้อจำกัดต่างๆที่เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ และ ส่งเสริมพัฒนาการให้ตรงกับความสามารถ และความต้องการของเด็กแต่ละคน
จากศักยภาพ/ระดับอาการความรุนแรงของเด็ก จากศักยภาพ/ระดับอาการความรุนแรงของเด็ก เด็กที่มีความบกพร่องรุนแรง เด็กกลุ่มนี้อาจถูกมองว่ามีความสามารถน้อย มีปัญหาทางด้านสติปัญญา ซึ่งอันที่จริงแล้ว เป็นเพราะภาวะอาการรุนแรงต่างๆที่ปิดครอบเด็กอยู่ เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนรู้ได้ และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือและกระตุ้นพัฒนาการขั้นพื้นฐานทุกด้านอย่างต่อเนื่อง จากบุคลากรหลายฝ่ายร่วมกัน เพื่อที่จะทำให้ภาวะอาการรุนแรงต่างๆได้ลดลง
จากศักยภาพ/ระดับอาการความรุนแรงของเด็ก จากศักยภาพ/ระดับอาการความรุนแรงของเด็ก เพื่อที่ผู้สอนสามารถสอดแทรกสาระการเรียนรู้ต่างๆในเชิงวิชาการ พร้อมทั้งกระตุ้นทักษะทางสังคมต่างๆ ทักษะในการอยู่ร่วมกับคนทั่วไป โดยเฉพาะกับเด็กวัยเดียวกัน เด็กจะได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง มีการเลียนแบบ มีการเล่น การทำกิจกรรมกลุ่มฯ เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคมที่จำเป็น ที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปในสังคมนี้อย่างมีความสุข และไม่เป็นภาระต่อสังคม