E N D
การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำวิจัยในชั้นเรียน หลังจากที่ได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอนทั้งกระบวนการมาแล้ว การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนเป็นการเผยแพร่งานวิจัยสู่สาธารณชน เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาผลการวิจัย และนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานของครู การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับวิธีการหรือนวัตกรรมที่คิดค้นสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการเรียนการสอนของครู และเป็นการเปลี่ยนความรู้ในกลุ่มเพื่อนครูด้วยกัน จึงไม่สามารถนำไปอ้างอิงที่เป็นทางการหรือตามรูปแบบสากลเหมือนวิจัยทั่วไป เพราะกลุ่มเป้าหมายไม่สามารถเป็นตัวแทนประชากรโดยทั่วไปได้ รูปแบบในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนนั้นไม่ได้กำหนดตายตัวให้เป็นแบบใดแบบหนึ่ง ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้วิจัยให้อยู่ในรูปแบบสากลนิยมส่วนใหญ่มักจะใช้รูปแบบคล้ายกับการเขียนรายงานการวิจัยโดยทั่วไป โดยคำนึงถึงหลักในการเขียนรายงาน คือ
1. ถูกต้องตามหลักวิชาการ ต้องเกิดจากการศึกษาค้นคว้า และเป็นผลจากการวิจัยจริง ๆ • 2. กำหนดโครงสร้างของการเขียนรายงานไว้เป็นรูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเล่มรายงาน • 3. ให้นึกอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำวิจัยและเขียนการวิจัยให้คนอื่นอ่านอย่าเขียนแบบเข้าใจคนเดียว • 4. มีความน่าเชื่อถือในผลงานวิจัยที่มีข้อมูลถูกต้องตามความเป็นจริง
โครงสร้างของการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนโครงสร้างของการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน • ดังที่กล่าวข้างต้นมาแล้วว่าเป็นรูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนไม่มีรูปแบบตายตัว แต่ให้เลือกรูปแบบที่เป็นสากลนิยม ซึ่งผู้เขียนขอนำเสนอไว้ ดังนี้ • 1. ส่วนนำ ประกอบด้วย • - ปกนอก • - ปกใน • - บทคัดย่อ • - กิตติกรรมประกาศ (อาจมีหรือไม่ก็ได้) • - สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ
1 2. ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย บทที่ 1 บทนำ - ความเป็นมาและความสำคัญ / ภูมิหลัง - วัตถุประสงค์ของการวิจัย - ขอบเขตของการวิจัย - สมมติฐานการวิจัย - ข้อตกลงเบื้องต้น (ถ้ามี) - นิยามศัพท์เฉพาะ (ถ้ามี) - ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
3. ส่วนอ้างอิงประกอบด้วย • - บรรณานุกรม • - ภาคผนวก เช่น ตัวอย่างเครื่องมือ ตัวอย่างการวิเคราะห์ ข้อมูลอ้างอิง • อื่น ๆ
บทที่ 1 (ทำไมจึงต้องทำวิจัย) บทที่ 2 (ทฤษฎี หลักการที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม) บทที่ 3 (ดำเนินการทดลองนวัตกรรมอย่างไร) บทที่ 4 (ผลเป็นอย่างไร) บทที่ 5 (ผลการทดลอง เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่)
ในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน ส่วนนำ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ปกนอก ระบุชื่อเรื่อง ผู้วิจัย อาจระบุชื่อหน่วยงานต้นสังกัดของผู้วิจัย หรือทุนในการวิจัย ตัวอย่างการเขียนปกนอก รายงานการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เรื่องคำคุณศัพท์ (Adjective) โดยพี่สอนน้อง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านชุมพล รายงานการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เรื่องคำคุณศัพท์ (Adjective) นางสาวต้อยติ่ง เติบโตเร็ว โรงเรียนบ้านชุมพล สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอองครักษ์ ปีการศึกษา 2543 2. ปกใน โดยทั่วไปจะเหมือนปกนอก 3. บทคัดย่อ ระบุชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย ปีที่ทำการวิจัย ระบุวัตถุประสงค์ กลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่าง วิธีการดำเนินการวิจัย และสรุปผลการวิจัยอย่างย่อ โดยทั่วไปไม่เกิน 1 – 2 หน้า ตัวอย่างบทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง การศึกษาผลการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เรื่องคำคุณศัพท์ (Adjective) โดยพี่สอน • น้อง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านชุมพล • ชื่อผู้วิจัย นางสาวต้อยติ่ง เติบโตเร็ว • ปีที่ทำการวิจัย 2543 • บทคัดย่อ • งานวิจัยการศึกษาผลการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เรื่องคำคุณศัพท์ (Adjective) โดยพี่สอนน้อง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านชุมพล มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนของวิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง คำคุณศัพท์ (Adjective) เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนของนักเรียนกลุ่มที่ใช้วิธีการสอนของครูแบบเดิม กับวิธีการให้พี่สอนน้อง • ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านชุมพลมีผลการเรียนสูงขึ้น ร้อยละ 60.58 • 4. กิตติกรรมประกาศ เป็นส่วนที่ผู้วิจัยขอบพระคุณบุคคลที่เกี่ยวข้องและให้ความช่วยเหลือในการทำวิจัย ความยาวไม่เกิน 1 หน้า
5. สารบัญ เป็นการบอกว่าเนื้อหาของแต่ละบทอยู่ที่ใดบ้าง ในเล่มของรายงานการวิจัยในชั้นเรียนตัวอย่างสารบัญ ตัวอย่างสารบัญ • สารบัญ • เรื่อง หน้า • บทที่ 1 ความสำคัญของการวิจัย 1 • - ทำไมครูต้อทำวิจัย 2 • - บทบาทของครูในการทำวิจัย 4 • …………………………………………………………………………………………………… • 6. สารบัญตาราง / สารบัญภาพ เป็นการบอกว่าภาพหรือตารางอยู่ที่ใด โดยเรียงตามลำดับหมายเลข
ตัวอย่างสารบัญตาราง / สารบัญภาพ • สารบัญตาราง • เรื่อง หน้า • ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและร้อยละนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 1 • ตารางที่ 2 แสดงจำนวนและร้อยละผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเกษตร 5 • .............................................................................................................................................................
ตัวอย่างสารบัญตาราง / สารบัญภาพ • สารบัญภาพ • เรื่อง หน้า • ภาพที่ 1 แผนภูมิแสดงรายจ่ายประจำเดือน มีนาคม 2544 1 • ภาพที่ 2 แผนภูมิแสดงการจ่ายประจำเดือน มีนาคม 2544 5 • .............................................................................................................................................................
ส่วนเนื้อหา มีรายละเอียด ดังนี้ • ในการเขียนรายงานของส่วนเนื้อหานี้ได้กล่าวไว้โดยละเอียดแล้วในส่วนของการเขียนโครงการวิจัยในชั้นเรียน จึงจะไม่ขอกล่าวในส่วนนี้อีก • บทที่ 1 บทนำ • - ความเป็นมาและความสำคัญ / ภูมิหลัง • - วัตถุประสงค์ของการวิจัย • - ขอบเขตการวิจัย • - สมมติฐานการวิจัย • - ข้อตกลงเบื้องต้น (ถ้ามี) • - นิยามศัพท์เฉพาะ • - ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์
บทที่ 2 แนวคิด / ทฤษฎี / งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย - แนวคิด / ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของปัญญา - งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง - กรอบแนวคิดในการ
ตัวอย่างการเขียนบรรณานุกรมตัวอย่างการเขียนบรรณานุกรม • บรรณานุกรม • คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สำนักงาน. เอกสารประกอบการอบรมการวิจัยในชั้นเรียน • สำหรับครูผู้สอนนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ. กรุงเทพฯ : 2543. • ครุรักษ์ ภิรมย์รักษ์. เรียนรู้และฝึกปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ : 2543. • มัลลิกา นิตยาพร และอรุณศรี อนันตรศิริชัย. “การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน”, • วารสารวิชาการ เล่มที่ 21 ฉบับที่ 2 (เมษายน – มิถุนายน 2543) : 71 – 75 • สุพรรณี มีเทศน์. แนวคิดและหลักการวิจัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการ • ประถมศึกษาแห่งชาติ. (อัดสำเนา).
บรรณานุกรม • คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สำนักงาน. เอกสารประกอบการอบรมการวิจัยในชั้นเรียน • สำหรับครูผู้สอนนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ. กรุงเทพฯ : 2543. • ครุรักษ์ ภิรมย์รักษ์. เรียนรู้และฝึกปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ : 2543. • คงศักดิ์ ธาตุทอง. “การประยุกต์ใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน”,วารสารวิชาการ ปีที่ 2 • (ตุลาคม 2542) : 40 – 47. • ประกิต เอราวรรณ์. การวัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ : 2542 , บริษัท ยูแพด จำกัด • มัลลิกา นิตยาพร และอรุณศรี อนันตรศิริชัย. “การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน”, • วารสารวิชาการ เล่มที่ 21 ฉบับที่ 2 (เมษายน – มิถุนายน 2543) : 71 – 75 • วรรณวิไล พันธุ์สีดา. 12 ก้าวปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียนขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : 2543. โรงพิมพ์ • เจริญกิจ • สุพรรณี มีเทศน์. แนวคิดและหลักการวิจัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการ • ประถมศึกษาแห่งชาติ. (อัดสำเนา). • สุนีย์ เหมะประสิทธิ์. “การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการสำหรับผู้บริหารและครู” , วารสารการวิจัย • การศึกษา. เล่มที่ 21 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2534) : 74 – 79. • James McKernan. 1996. Curriculum Action Research. London : Kogan Page Limited. • OrtrunZuber – Skerritt. 1991. Action Research for Change and Development. England : • Gower Publishing Company
ขั้นที่ 5 ค่า t วิกฤต เมื่อ = 0.05 , df = n - 1 = 24 แบบ two - tailed test คือ t (.05,24) = 2.064 ขั้นที่ 6 t > t วิกฤต ( 2.17 > 2.064 ) จึงปฏิเสธ H๐ นั่นคือ ปริมาณแคลอรี่เฉลี่ยต่อไอศครีม 1 กรัมไม่เท่ากับ 500 แคลอรี่ t = = = 2.17
2. การทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับค่าเฉลี่ยของประชากรสองกลุ่ม กรณีกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มเป็นอิสระจากกัน (Independent Samples) เป็นการทดสอบสมมติฐานเพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างสอง กลุ่ม ในกรณีที่ไม่ทราบความแปรปรวนของประชากร และกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มที่มีขนาดเล็ก กล่าวคือ n1 < 30 และ n2 < 30 ซึ่งก่อนที่จะทำการทดสอบโดยใช้สถิติทดสอบที จะต้องนำค่าความแปรปรวนของกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่ม ไปทดสอบเพื่อสรุปว่า ประชากรที่ศึกษานั้นมีความแปรปรวนเท่ากันหรือไม่
ซึ่งขั้นตอนในการทดสอบมีดังนี้ซึ่งขั้นตอนในการทดสอบมีดังนี้ 1. ตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติทดสอบ มีดังนี้ 1.1 กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มได้มาโดยการสุ่มอย่างเป็นอิสระจากกัน 1.2 ประชากรทั้งสองกลุ่มมีการแจกแจงแบบปกติ 1.3 ข้อมูลอยู่ในมาตราอันตรภาคหรืออัตราส่วน 1.4 ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร 2. กำหนดสมมติฐานทางสถิติ สำหรับการทดสอบแบบสองทิศทาง H๐: = H1 : สำหรับการทดสอบแบบทิศทางเดียว H๐: H1 : > หรือ < อย่างใดอย่างหนึ่ง =
3. กำหนด 4. คำนวณค่าสถิติ t จากสูตร ใดสูตรหนึ่งใน 2 สูตร ดังนี้ 4.1 เมื่อทดสอบได้ว่า = เรียกสูตรนี้ว่า t – test ชนิด Pooled Variance มี df = n1 + n2 - 2 t = Sp2แทน ความแปรปรวนร่วม (Pooled Variance) Sp2 = ดังนั้น อาจสรุปสูตรได้ดังนี้ t =
t = โดยมี df = 5. กำหนดขอบเขตวิกฤตโดยหาค่า t วิกฤต 6. สรุปผลการทดลอง พิจารณาตัวเลขไม่คิดเครื่องหมาย t t วิกฤต จะปฏิเสธ H๐ t < t วิกฤต จะยอมรับ H๐ 4.2 เมื่อทดสอบได้ว่า เรียกสูตรนี้ว่า t – test ชนิด Separated Variance
กลุ่ม A , S12 = 9 กลุ่มB , S22 = 10 กำหนดให้ และ 0.01 = = ตัวอย่างที่ 1.2 ในการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสถิติของนิสิต 2 กลุ่ม โดยสุ่มนิสิตกลุ่ม A จำนวน 15 คน กลุ่ม B จำนวน 20 คน ใช้แบบทดสอบวิชาสถิติได้ผลการสอบ ดังนี้ จงทดสอบว่า นิสิตกลุ่ม A และกลุ่ม B มีความสามารถทางสถิติแตกต่างกัน โดย วิธีทำ ขั้นที่ 1 ตรวจสอบข้อมูลพบว่า สอดคล้องกับข้อตกลงเบื้องต้น t – test ขั้นที่ 2ตั้งสมมติฐานเพื่อการทดสอบ H๐: = H1 :
t = = = ขั้นที่ 3 กำหนด = 0.01 ขั้นที่ 4 คำนวณค่าสถิติ t จากสูตร
ขั้นที่ 5ค่า t วิกฤต เมื่อ = 0.01 , df = n1 + n2 - 2 = 33 แบบ two-tailed test คือ t (0.01,33) = 2.750 ขั้นที่ 6 t < t วิกฤต ( 2.034 < 2.750 ) จึงยอมรับ H๐ = 2.034 นั่นคือ นิสิตกลุ่ม A และกลุ่ม B มีความสามารถทางสถิติไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.01
เมื่อ df = n - 1 กรณีกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มไม่เป็นอิสระจากกัน ( Dependent Samples ) เป็นการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่มีความสัมพันธ์กันด้วย t - test (ยุทธ ไกยวรรณ์. 2543 : 148) คำนวณจากสูตร
ตัวอย่างที่ 1.3 จากการทดลองใช้วิธีการสอนแบบใหม่กับนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ก่อนทำการสอนได้มี การทดสอบก่อน หลังจากนั้นครูทำการสอนด้วยวิธีการสอนแบบใหม่ แล้วทำการ ทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบชุดเดิมผลการสอบปรากฏ ดังนี้ จงทดสอบว่า การสอนด้วยวิธีการใหม่ทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่ กำหนดให้ = 0.05
วิธีทำ ขั้นที่ 1 ตรวจสอบข้อมูลพบว่า สอดคล้องกับข้อตกลงเบื้องต้น t – test ขั้นที่ 2ตั้งสมมติฐานเพื่อการทดสอบ H๐: = H1 : > ขั้นที่ 3 กำหนด = 0.05 ขั้นที่ 4 คำนวณค่าสถิติ t จากสูตร เมื่อ df = n - 1
= 2.935 ขั้นที่ 5 ค่า t วิกฤต เมื่อ = 0.05 , df = n - 1 = 7 แบบ 0ne - tailed test คือ t (0.05,7) = 1.895 ขั้นที่ 6 t > t วิกฤต (2.935 > 1.895) จึงปฏิเสธ H๐ นั่นคือ การสอนโดยวิธีการแบบใหม่ ทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05