1 / 18

ดาวฤกษ์ทุกดวงมีความเหมือนกันอยู่ 2 อย่าง คือ

yeva
Download Presentation

ดาวฤกษ์ทุกดวงมีความเหมือนกันอยู่ 2 อย่าง คือ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ดาวฤกษ์ ( fixed stars ) คือ วัตถุท้องฟ้าในอวกาศที่เป็นก้อนแก๊สมวลมหาศาล เกิดจากการยุบรวมตัวของเนบิวลา ดาวฤกษ์ปรากฏเป็นจุดแสง ในท้องฟ้าเวลากลางคืน เราเห็นแสงดาวกะพริบจากผลของปรากฏการณ์ในบรรยากาศโลกและการที่ดาวฤกษ์อยู่ห่างไกลจากเรามาก ยกเว้นกรณีของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ดวงเดียวที่อยู่ใกล้โลกมากจนปรากฏเป็นดวงกลมโตให้แสงสว่างในเวลากลางวัน • ดาวฤกษ์ทุกดวงมีความเหมือนกันอยู่ 2 อย่าง คือ • 1. มีพลังงานในตัวเอง ( เกิดจากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชั่น ) • 2. เป็นแหล่งกำเนิดธาตุต่าง ๆ  เช่น ธาตุฮีเลียม  ลิเทียม  เบริลเลียม • ดาวฤกษ์ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของ มวล  อุณหภูมิผิวหรือสีหรืออายุ องค์ประกอบทางเคมี  ระยะห่าง  ความสว่าง ระบบดาวและวิวัฒนาการ

  2. การสังเกตความแตกต่างของดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์การสังเกตความแตกต่างของดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์ สามารถพิจารณาได้  4  วิธี  คือ 1. สังเกตการส่องแสงของดวงดาว   ถ้าดวงดาวนั้นกระพริบแสงก็จัดเป็นดาวฤกษ์   แต่ถ้าดาวดวงนั้นมีแสงสว่างนวลนิ่งไม่อยู่ ณ  ตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับดาวส่วนใหญ่ก็จัดเป็นดาวเคราะห์ 2. สังเกตการเคลื่อนที่  ถ้าดาวแต่ละดวงไม่เคลื่อนที่และเกาะกลุ่มกันอยู่ในตำแหน่งเดิมก็จัดเป็นดาวฤกษ์  แต่ถ้าดาวแต่ละดวงมีการเคลื่อนที่ไม่อยู่  ณ ตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับดาวส่วนใหญ่ก็จัดเป็นดาวเคราะห์ 3. ดาวฤกษ์จะอยู่เป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่ 4. ถ้าดูดาวฤกษ์ด้วยกล้องโทรทรรศ์จะไม่เห็นเป็นดวงกลมโตเพราะอยู่ไกลโลกมาก

  3. กำเนิดของดาวฤกษ์ • ดาวฤกษ์เกิดขึ้นจากกลุ่มแก๊สและฝุ่นรวมตัวกัน ซึ่งเรียกว่า เนบิวลา ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไฮโดรเจน ที่รวมตัวกันจนอุณหภูมิและความกดดันสูงมากที่ใจกลาง  เมื่อก๊าซร้อนในเนบิวลาอัดแน่นจนมีอุณหภูมิสูงถึง 10 ล้านเคลวิน จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชั่น คือ การรวมอะตอมของไฮโดรเจน 4 อะตอม ให้เป็นอะตอมของฮีเลียม 1 อะตอม กำเนิดเป็นดาวฤกษ์ขึ้น ดาวฤกษ์ที่เห็นบนท้องฟ้าส่วนมากเป็นดาวในลำดับหลัก (พฤติกรรมของดาวที่ค่อนข้างคงที่เป็นเวลานาน) เมื่อดาวใกล้หมดอายุจะออกจากลำดับหลักไปเป็น ดาวยักษ์แดง และมีวิวัฒนาการที่ต่างกันขึ้นอยู่กับมวลตั้งต้นที่กำเนิดเป็นดาว ดังนี้ • ดาวฤกษ์ที่มีมวล < 2 เท่าของดวงอาทิตย์ จบชีวิตเป็น ดาวแคระดำ (คาร์บอน)  • ดาวฤกษ์ที่มีมวล < 8 เท่าของดวงอาทิตย์ จบชีวิตเป็น ดาวแคระขาว (ออกซิเจน)  • ดาวฤกษ์ที่มีมวล > 8 เท่าของดวงอาทิตย์ จบชีวิตเป็น ดาวนิวตรอน • ดาวฤกษ์ที่มีมวล > 18 เท่าของดวงอาทิตย์ จบชีวิตเป็น หลุมดำ  ดาวฤกษ์มวลน้อย ดาวฤกษ์มวลมาก   ดาวฤกษ์มีมวลสารและขนาดที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับกลุ่มฝุ่นก๊าซที่รวมตัวกันครั้งแรก

  4. วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ • ดาวฤกษ์มีองค์ประกอบที่สำคัญ  คือ  ไฮโดรเจน ประมาณ 90.8 % ฮีเลียม 9.1 % และธาตุโลหะอื่น ๆ ที่อยู่ในสภาพของแก๊สอีก 0.1 % • เมื่อแรงโน้มถ่วงดึงให้แก๊สยุบตัวลงไปอีก   ความดัน ณ แก่นกลางสูงขึ้น และอุณหภูมิก็สูงขึ้นเป็น 10 ล้านเคลวินเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานความร้อน และแผ่รังสีอินฟราเรดออกมา เรียกว่า ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชั่น • กลุ่มเมฆยุบตัวลง ความหนาแน่นภายในก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ พลังงานจาก แรงโน้มถ่วงถูกแปลงไปกลายเป็นความร้อนซึ่งทำให้อุณหภูมิสูงยิ่งขึ้นเป็น หลายแสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า “ ดาวฤกษ์ก่อนเกิด ” (protostar ) 

  5.  ช่วงอายุของดาวฤกษ์ อายุของดาวฤกษ์ คือ ระยะเวลาของการเผาผลาญเชื้อเพลิงไฮโดรเจน  เมื่อเชื้อเพลิงหมดก็จะเกิดวาระสุดท้ายของดาวฤกษ์ดวงนั้น สีและการส่องสว่างของดาวฤกษ์อาจบอกถึงอายุของดาวฤกษ์ได้  เพราะดาวฤกษ์เกิดใหม่มีพลังงานมาก อุณหภูมิสูงมองเห็นเป็นสีฟ้า เมื่อเชื้อเพลิงไฮโดรเจนค่อย ๆ ลดลงเป็นลำดับ  อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงลดลงไปด้วย  สีจะเปลี่ยนเป็นสีขาว สีเหลือง และสีแดงก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับมวลของดาวฤกษ์ดวงนั้น • วาระสุดท้ายของดาวฤกษ์    เมื่อดาวฤกษ์ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเกือบหมด ฮีเลียมจะกลายเป็นเชื้อเพลิงต่อไป   จะเปลี่ยนแปลงเป็นธาตุอื่น ๆ ต่อไปจนเชื้อเพลิงหมดลง  ดาวฤกษ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากการขยายเป็นดาวยักษ์แดง  วาระสุดท้ายจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับมวลสารของดาวฤกษ์ดาวนั้น 

  6. ดาวฤกษ์มวลน้อย ดาวแคระดำ ดาวฤกษ์มวลมาก

  7. ดาวฤกษ์มวลมาก • เป็นดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่ มีมวลมาก สว่างมาก จะใช้เชื้อเพลิงอย่างสิ้นเปลืองในอัตราที่สูงมาก   จึงมีช่วงชีวิตที่สั้นกว่า   และจบชีวิตด้วยการระเบิดอย่างรุนแรง    • จุดจบของดาวฤกษ์ที่มีมวลมาก คือการะเบิดอย่างรุนแรงที่เรียกว่า • ซูเปอร์โนวา (supernova)แรงโน้มถ่วงจะทำให้ดาวยุบตัวลงกลายเป็นดาวนิวตรอน หรือ หลุมดำ  • ในขณะเดียวกันก็มี แรงสะท้อนที่ทำให้ส่วนภายนอกของดาวระเบิดเกิดธาตุหนักต่างๆ เช่น ยูเรเนียม ทองคำ ฯลฯ ซึ่งถูกสาดกระจายออกสู่อวกาศกลายเป็นส่วนประกอบของเนบิวลารุ่นใหม่ และเป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์รุ่นต่อไป 

  8. ดาวฤกษ์มวลน้อย • ดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย ตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์มีแสงสว่างไม่มากจะใช้เชื้อเพลิงในอัตรา • ที่น้อย จึงมีช่วงชีวิตยาวและจบชีวิตลงด้วยการไม่ระเบิดแต่จะกลายเป็นดาวแคระขาว   • สำหรับดาวฤกษ์ที่มีมวลพอๆ กับดวงอาทิตย์   จะมีช่วงชีวิตและการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกับดวงอาทิตย์ • ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยถึงปานกลางและอยู่ใกล้โลกที่สุด    อยู่ห่าจากโลกของ เราประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร พลังงานจำนวนมหาศาล ในดวงอาทิตย์ได้มา จากการ เปลี่ยนก๊าซไฮโดรเจนเป็น ฮีเลียม ดวงอาทิตย์เกิดจากยุบรวมตัวของเนบิวลา   เมื่อประมาณ 5,000 ล้านปีมาแล้ว  และจะมีอายุอยู่ต่อไปอีกประมาณ 5,000 ล้านปี 

  9. ซูเปอร์โนวา - supernova ดาวยักษ์แดง  โดยทั่วไป ซูเปอร์โนวามักเกิดจากดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ระเบิดขึ้นหลังจากที่ใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ไปจนเกือบหมด การระเบิดแบบนี้มักจะเหลือแกนกลางเป็นวัตถุความหนาแน่นสูง ซึ่งอาจเป็นดาวนิวตรอนหรืออาจจะเป็นหลุมดำ  ดาวยักษ์แดงคือ “ดาวฤกษ์ในวัยชรา”  บรรยากาศรอบนอกของดาวจะลอยตัวและบางมาก ทำให้รัศมีของดาวขยายใหญ่ขึ้นมาก และอุณหภูมิพื้นผิวก็ต่ำ

  10. ดาวแคระขาว วาระสุดท้ายของดาวฤกษ์ขนาดเล็ก มวลสารน้อย  หลังจากขยายตัวเป็นดาวยักษ์แดงแล้วจะหดตัวลง  ปฏิกิริยานิวเคลียร์สิ้นสุดลง  และพลังงานความร้อนเดิมยังมีอยู่ เรียกว่า ดาวแคระขาว จะค่อย ๆ เย็นตัวลงที่สุดจะกลายเป็นก้อนสสารอัดแน่นไม่มีแสงสว่าง  เรียกว่า  ดาวแคระดำ   •  เนบิวลาดาวเคราะห์ • เกิดจากการตายของดาวฤกษ์เพียงดวงเดียว ซึ่งเป็นดาวฤกษ์มวลน้อยและมวลปานกลาง ก่อนตายดาวจะเกิดการยุบพองและเป่าคาร์บอนออกมา การยุบพองของดาว ทำให้เนื้อสารหลุดแยกออกจากดาวกลายเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ แกนกลางของดาวกลายเป็นดาวแคระขาว ธาตุหลักของเนบิวลาดาวเคราะห์ได้แก่ ไฮโดรเจน ฮีเลียม และออกซิเจน บางครั้งเราถือว่าดาวแคระขาวเป็นดาวฤกษ์ที่ตายแล้ว เนื่องจากว่ามันไม่มีปฏิกิริยานิวเคลียร์แล้วนั่นเอง  กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้จับภาพเนบิวลาดาวเคราะห์ NGC 6210  ดาวแคระขาว ดาวแคระดำ 

  11. ดาวนิวตรอน  • วาระสุดท้ายของดาวฤกษ์มวลมาก • เมื่อดาวฤกษ์ใช้เชื้อเพลิงจนหมด  มีการเปลี่ยนแปลง อาจระเบิดออก เรียกว่าซุปเปอร์โนวา  คงเหลือมวลสารขนาดเล็กหดตัวต่อไปเรื่อย ๆ จนทำให้อิเล็กตรอนที่มีประจุลบอัดรวมตัวกับโปรตรอนที่มีประจุบวก กลายเป็นดาวนิวตรอนขนาดเล็ก  • หลุมดำ  • วาระสุดท้ายของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่มวลสารมาก  การหดตัวไม่หยุดลงเหมือนดาวแคระขาวหรือดาวนิวตรอน จะเกิดเป็นหลุมดำที่มีแรงดึงดูดสูงมาก  แม้แสงก็ไม่สามารถเล็ดลอดออกมาได้

  12. เนบิวลา • เนบิวลา คือ กลุ่มของก๊าซและฝุ่นผงที่รวมตัวกันอยู่ระหว่างดาวฤกษ์ เนบิวลามาจากภาษาลาตินแปลว่า "เมฆ" เพราะเมื่อเราใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดู จะเห็นเป็นฝ้าขาวคล้ายกลุ่มเมฆ มีขนาดใหญ่มาก บ้างมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 ปีแสง • เนบิวลาที่เกิดขึ้นหลังจากเกิดบิกแบง ประมาณ 300,000 ปี • เนบิวลาเป็นวัตถุหนึ่งในเอกภพที่มีความสำคัญมากๆ เพราะดาวฤกษ์หรือ ดาวเคราะห์ล้วนเกิดขึ้น มาจากเนบิวลาทั้งสิ้น • เนบิวลาเป็นกลุ่มแก๊สที่เบาบางมีความหนาแน่นต่ำมาก องค์ประกอบหลักของเนบิวลาคือแก๊สไฮโดรเจน • เนบิวลามีอุณหภูมิต่ำ เนื่องจากไม่มีแหล่งกำเนิดความร้อน เนบิวลา แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ  เนบิวลาสว่าง เนบิวลามืด

  13. 1.  เนบิวลาแบบแสงสว่าง   แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เนบิวลาประเภทเรืองแสง และ เนบิวลาประเภทสะท้อนแสง 1.1 เนบิวลาประเภทเรืองแสง เนบิวลาชนิดนี้สว่างเพราะเนบิวลาแบบนี้จะเรืองแสงขึ้นเองเนื่องจากอะตอมของมวลสารที่อยู่ในเนบิวลา ถูกกระตุ้นด้วยพลังงานจากดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ๆ ถ้าก๊าซส่วนใหญ่ในเนบิวลาจะเป็นอะตอมไฮโดรเจน ซึ่งจะปล่อยแสงสีแดง กับอะตอมของออกซิเจนซึ่งให้แสงสีเขียว และอะตอมของไฮโดรเจนมักจะรวมตัวกับอะตอมของออกซิเจน แล้วจะปล่อยสีผสมระหว่างแดงกับเขียวคือสีเหลืองออกมา เนบิวลาอเมริกาเหนือ ในกลุ่มดาวหงส์  M 8 ในกลุ่มดาวคนยิงธนู M 42ในกลุ่มดาวนายพราน

  14. 1.2 เนบิวลาประเภทสะท้อนแสง เป็นเนบิวลาที่มีแสงสว่างได้เนื่องจาก แสงจากเนบิวลาชนิดนี้เกิดจากการกระเจิงแสงจากดาวฤกษ์ใกล้เคียงที่ไม่ร้อนมากพอที่จะทำให้เนบิวลานั้นเปล่งแสง กระบวนการดังกล่าวทำให้เนบิวลาชนิดนี้มีสีฟ้า   เนบิวลา M78 ในกลุ่มดาวนายพราน  เนบิวลาหัวแม่มด (Witch Head Nebula)  เนบิวลาในกระจุกดาวลูกไก่  เนบิวลาชนิดนี้บางครั้งก็พบอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเนบิวลาเปล่งแสง เช่น เนบิวลาสามแฉก (Trifid Nebula) ที่มีทั้งสีแดงจากไฮโดรเจน สีเขียวจากออกซิเจน และสีฟ้าจากการสะท้อนแสง เนบิวลาสามแฉก

  15. 2.  เนบิวลาแบบมืด   โดยทั่วไปเนบิวล่ามืดมักจะอยู่รวมกับเนบิวล่าสว่าง หรือ เนบิวล่าสะท้อนแสง เพราะเราจะ สามารถมองเห็นเนบิวล่ามืดได้เพราะ ส่วนที่เป็นเนบิวล่ามืดนั้นจะดูดกลืนแสงจากฉากด้านหลัง ไม่ให้มาเข้าตาเรา คล้ายกับว่ามีวัตถุทึบแสงกันอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นฝุ่นผงที่หนาทึบมากๆ  เนบิวล่ามืดรูปหัวม้า ในกลุ่มดาวนายพราน  เนบิวลามังกร แห่งกลุ่มดาวราศีธนู Barnard 68

  16. ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ • วีดีโอเพิ่มเติม http://www.youtube.com/watch?v=0L7umQUl7Kk http://www.youtube.com/watch?v=nzidVU9IgGw http://www.youtube.com/watch?v=lMNleDr63to • ความรู้เพิ่มเติม http://www.lesa.biz/astronomy/star http://taloeyy.exteen.com/page-14 http://www.lesa.biz/astronomy/star/nebula • สื่อการเรียนรู้เพิ่มเติม ครูติ๊ก http://www.learnbytechno.com/

More Related