1.2k likes | 3.05k Views
การจัดการสินค้าคงคลัง. บทที่ 10. หน้าที่ของสินค้าคงคลัง. สินค้า คงคลัง ( Inventory) หมายถึง สินค้า หรือวัสดุที่เก็บไว้เพื่อการใช้งานหรือจำหน่ายในอนาคต โดยทั่วไป สินค้าคงเหลือที่เก็บไว้ในองค์การหรือหน่วยงาน ใดๆ จำแนก ได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
E N D
การจัดการสินค้าคงคลังการจัดการสินค้าคงคลัง บทที่ 10.
หน้าที่ของสินค้าคงคลังหน้าที่ของสินค้าคงคลัง สินค้าคงคลัง (Inventory) หมายถึง สินค้าหรือวัสดุที่เก็บไว้เพื่อการใช้งานหรือจำหน่ายในอนาคต โดยทั่วไปสินค้าคงเหลือที่เก็บไว้ในองค์การหรือหน่วยงานใดๆ จำแนกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. วัตถุดิบและชิ้นส่วนเพื่อการผลิต 2. ป้องกันการเปลี่ยนแปลงความต้องการและเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า 3. สร้างความได้เปรียบจากส่วนลดการสั่งซื้อ 4. ป้องกันกรณีการเกิดภาวะเงินเฟ้อ
ประเภทของสินค้าคงคลังประเภทของสินค้าคงคลัง 1. วัตถุดิบและชิ้นส่วนเพื่อการผลิต 2. สินค้าคงคลังประเภทงานระหว่างทำ คือสินค้าที่ยังเสร็จไม่สมบูรณ์ 3. สินค้าคงคลังประเภทอะไหล่สำหรับการซ่อมบำรุง 4. สินค้าคงคลังประเภทผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
สรุปความสำคัญ 1. ทำให้โรงงานสามารถผลิตสินค้าหรือเดินเครื่องจักรได้ตลอด สม่ำเสมออย่างเต็มกำลังการผลิตและทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง 2. ช่วยทำให้การผลิตไม่หยุดชะงัก แม้เครื่องจักรจะชำรุดเสียหาย 3. ช่วยให้โรงงานสามารถเก็บสินค้าไว้ได้ในช่วงราคาสินค้าตกต่ำ 4. ช่วยทำให้โรงงานมีสินค้าจำหน่ายในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่ คาดฝัน 5. ช่วยทำให้การผลิตและการจ้างแรงงานเป็นไปโดยสม่ำเสมอ ไม่ทำให้เกิดการ ทำงานหรือเดินเครื่องเปล่า
กลุ่มสินค้า A 80 70 60 50 40 30 20 10 0 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสินค้าคงเหลือ (Percent of annual dollar usage) กลุ่มสินค้า B กลุ่มสินค้า C 10 20 30 40 50 60 70 80 90 100 กราฟแสดงการวิเคราะห์สินค้าคงเหลือด้วยวิธี ABC
ตัวอย่างที๋ 1. บริษัทเมืองไทยอิเล็กทรอนิกส์ มีสินค้าทั้งสิ้น 10 รายการ สามารถแสดงการแบ่งประเภทสินค้าตามหลักการของวิธี ABC ได้ดังนี้ แสดงการแบ่งกลุ่มสินค้าคงเหลือตามหลักการของวิธี ABC ของบริษัทเมืองไทยอิเล็กทรอนิกส์
ผลการจัดแบ่งสินค้าเป็นกลุ่มผลการจัดแบ่งสินค้าเป็นกลุ่ม
การจัดทำบันทึกรายการสินค้าที่ถูกต้องแม่นยำ (Record Accuracy) • ต้องมีระบบการจัดการที่ดี • ห้องจัดเก็บ • พื้นที่จัดเก็บ • ใช้ระบบ Bar-code
เทคนิคการตรวจสอบความถูกต้องโดยอาศัยการตรวจนับตามรอบเวลา(Cycle Counting) เป็นเทคนิคในการรักษาปริมาณสินค้าคงเหลือให้มีความถูกต้องแม่นยำเสมอโดยการตรวจนับเป็นประจำ เช่น กลุ่ม A ตรวจนับทุกเดือน กลุ่ม B ตรวจนับทุก 3 เดือน กลุ่ม A ตรวจนับทุก 6 เดือน
การควบคุมสินค้าคงเหลือด้านการบริการ(Control of Service Inventory) เทคนิคในการบริการมีดังนี้ • ทำการคัดเลือกบุคลากร จัดการฝึกอบรม การออกกฎระเบียบ • การควบคุมการรับสินค้าอย่างเคร่งครัด เช่น ระบบ Bar- code ,Stock Keeping Unit : SKU • ใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการควบคุมสินค้า เช่น กระจก,เครื่องเล่นเทป
การตัดสินใจพื้นฐานเกี่ยวกับสินค้าคงคลังการตัดสินใจพื้นฐานเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง จึงมีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ คือ ประการที่ 1 จะสั่งซื้อครั้งละเท่าไร ประการที่ 2 จะสั่งซื้อจำนวนนี้เมื่อใด
การหาปริมาณสั่งซื้อที่เหมาะสม(Economic Order Quantity) • การกำหนดปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัด เป็นการกำหนดปริมาณการสั่งซื้อต้นทุนค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ประหยัด
Q ปริมาณสินค้าในคลังสินค้า Q สินค้าคงคลัง จุดสั่งซื้อสินค้า (Reorder point) T (เวลา) O จุดที่รับสินค้า จุดรับสินค้า จุดสั่งสินค้า ช่วงเวลาก่อนสินค้ามาถึง (Lead time) วงจรสินค้าคงคลัง
สินค้าคงคลัง Q Q Q Q 2 สินค้าเฉลี่ย O t t ระยะเวลา 1 ปี Q สินค้าคงคลัง สินค้า เฉลี่ย t t t t t ระยะเวลา 1 ปี การสั่งซื้อมากครั้ง (5 ครั้ง/ปี) ทำให้มีสินค้าคงคลังน้อย การสั่งซื้อน้อยครั้ง (2ครั้ง/ปี) ทำให้มีสินค้าคงคลังมาก
การคำนวณ Q : ปริมาณการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง O : ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อแต่ละครั้ง(บาท) C : ค่าเก็บรักษาต่อหน่วย ต่อปี(บาท) D : ปริมาณการใช้ตลอดปี(หน่วย) P : ราคาสินค้าต่อหน่วย TC : ค่าใช้จ่ายรวมตลอดปี
จำนวนครั้งในการสั่งซื้อ (ครั้ง/ปี) ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อแต่ละครั้ง (บาท/ปี) ปริมาณสินค้าเฉลี่ย หน่วย ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าต่อหน่วยต่อปี ค่าใช้จ่ายสำหรับตัวสินค้าแต่ละตัว (บาท/ปี) ค่าใช้จ่ายรวม (บาท/ปี) ปริมาณการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง
ตัวอย่าง โรงานผลิตรถจักรยานยนต์ยี่ห้อหนึ่งสั่งอะไหล่มาประกอบ เพื่อผลิตรถจักรยานยนต์ปีละ 45,000 ชิ้น ราคาชิ้นละ 60 บาท ต้นทุนในการสั่งซื้อต่อครั้งเท่ากับ 120 บาท ต้นทุนในการเก็บรักษาต่อปี 5 บาทต่อชิ้น จงหา ก) โรงงานแห่งนี้ควรซื้อครั้งละกี่ชิ้น ข) เมื่อสั่งซื้อตามข้อ ก แล้วจะสั่งซื้อกี่ครั้ง ค) เมื่อสั่งซื้อตามข้อ ก แล้วจะมีต้นทุนในการสั่งซื้อตลอดปี เป็นเงินเท่าใด ง) เมื่อสั่งซื้อตามข้อ ก แล้ว จะมีต้นทุนในการเก็บรักษาตลอดปีเท่าใด
ชิ้น จาก D : ปริมาณการใช้ตลอดปี 45,000 ชิ้น O : ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อแต่ละครั้ง 120 บาท C : ค่าเก็บรักษาต่อหน่วยต่อปี 5 บาท Q : จำนวนครั้งในการสั่งซื้อเป็นหน่วยต่อครั้ง จะได้
ครั้ง บาท จำนวนครั้งในการสั่งซื้อแต่ละปี ต้นทุนในการสั่งซื้อตลอดปี Q X O = 30 X 120 = 3600 บาท ต้นทุนในการเก็บรักษาตลอดปี
กรณี เมื่อทราบปริมาณการใช้และทราบ LT ที่ไม่แน่นอน ROP = (T X LT) + สินค้าสำรอง เมื่อ ROP :จุดสั่งซื้อสินค้า LT : LEAD Time T : ปริมาณการใช้ต่อวัน
จุดสั่งซื้อ ระดับการสั่งซื้อใหม่ ขนาดสินค้าขาดมือ ช่วงเวลาสินค้าปกติ ช่วงเวลาสินค้าขาดมือ กรณี รับวัตถุดิบล่าช้า
จุดสั่งซื้อ ระดับการสั่งซื้อใหม่ ขนาดสินค้าขาดมือ ช่วงเวลาสินค้าปกติ ช่วงเวลาสินค้าขาดมือ ตัวอย่าง กิจกรรมของโรงงานหนึ่งต้องการใช้ไม้ยางพาราในการผลิตสินค้าวันละประมาณ 1,500 กิโลกรัม เมื่อสั่งยางพาราไปแล้วจะรับภายใน 3 วัน ดังนั้นเมื่อเกิดความไม่แน่นอนโรงงาน จึงสำรองยางพาราเอาไว้ 2,000 กิโลกรัม ROP= (T X LT) + สินค้าสำรอง = (1500 X 3) + 2000 = 6500 กิโลกรัม
ต้นทุนรวม (บาท) TC TC1 TC3 TC2 ปริมาณ Q2 EOQ Q1 การหาปริมาณการสั่งซื้อกรณีสินค้ามีส่วนลด
ตัวอย่างที่โรงงานแห่งหนึ่งต้องการซื้อหลอดไฟปีละ3,000 หลอดโรงงานที่จำหน่ายมีส่วนลดดังนี้ มีค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อครั้งละ50บาท มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา 18 %ของราคาซื้อต่อหลอด ให้หาปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมและต้นทุนรวมทั้งปี
วิธีทำ D 3,000 หลอดต่อปี O 50 บาท C 0.18 X ราคาสินค้าต่อหน่วยขั้นตอนที่ 1 การหาปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมทุกช่วงการลดราคา EOQ(หลอดละ 15 บาท) หลอด EOQ(หลอดละ 10 บาท) หลอด EOQ(หลอดละ 8 บาท) หลอด
ขั้นตอนที่ 2 ปรับปริมาณการซื้อเป็นไปตามการซื้อที่แท้จริง ช่วง 1 –799 เป็น 334 หน่วย ช่วง 800 –1,199 เป็น 800 หน่วย ช่วง 1,200 ขึ้นไป เป็น 1,200 หน่วยขั้นตอนที่ 3 คำนวณหาต้นทุนปริมาณการสั่งซื้อ ต้นทุนรวม
ต้นทุนรวม(334 หลอด) ต้นทุนรวม(800 หลอด) ต้นทุนรวม(1,200 หลอด)
สรุปจะเห็นว่าต้นทุนที่ต่ำสุดคือซื้อ >1,200 หลอด
การหาปริมาณการผลิตที่เหมาะสมการหาปริมาณการผลิตที่เหมาะสม จำนวนครั้งที่ผลิต เมื่อ P อัตราการผลิต D ปริมาณความต้องการ Q ปริมาณการผลิต U อัตราการใช้ต่อวัน S ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องจักรต่อครั้ง ระดับการผลิตที่เหมาะสม (Qp)
ระยะเวลาการใช้สินค้าที่เหมาะสมระยะเวลาการใช้สินค้าที่เหมาะสม ระยะเวลาการใช้สินค้า = ปริมาณการผลิต(U)/อัตราการใช้(U) ระยะเวลาการผลิตสินค้าใหม่ = ปริมาณการผลิต(Q)/อัตราการผลิต(Q) ต้นทุนในการตั้งเครื่องจักร = จำนวนครั้งที่ผลิต X ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่อง ต่อ ครั้งต้นทุนในการติดตั้งเครื่อง
ตัวอย่าง โรงงานพลาสติกแห่งหนึ่งต้องการชิ้นส่วนในการประกอบสินค้าอย่างหนึ่งปีละ 46,000 ชิ้น แต่ละชิ้นส่วนที่ต้องการนี้ โรงงานผลิตชิ้นส่วนได้เองวันละ 200 ชิ้น ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาชิ้นละ 5 บาทต่อปี และมีค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องจักรครั้งละ 10 บาทต่อชิ้น โดยที่ 1 ปีมีเวลาทำงาน 250 วัน จงคำนวณหา1.จำนวนการผลิตที่เหมาะสม (Q) 2.ระยะเวลาในการใช้สินค้าที่เหมาะสม 3.ระยะเวลาในการผลิตที่เหมาะสม
ชิ้น เมื่อ D 46,000 ชิ้น Q ปริมาณการผลิต C 5 บาท/ชิ้น S 10 บาท P 200 ชิ้น U 46,000 ชิ้น/ปี (250 วัน ผลิตได้วันละ 184 ชิ้น) วิธีทำ 1. จำนวนการผลิตที่เหมาะสม
วิธีทำ 2. ระยะเวลาการใช้สินค้าที่เหมาะสม ระยะเวลาการใช้สินค้า วัน
วัน วิธีทำ 3. ระยะเวลาการผลิตใหม่ที่เหมาะสม ระยะเวลาการผลิตสินค้าใหม่
สรุป • สินค้าคงคลังหรือสินค้าคงเหลือ หมายถึง วัสดุที่มีรูปร่างของวัตถุดิบ วัสดุการผลิต อะไหล่เชื้อเพลิง สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต ตลอดทั้งสินค้าสำเร็จรูปที่ทางโรงงานเก็บไว้ในโกดัง หรือคลังสินค้า เพื่อรอการผลิต รวมซ่อมชำรุด หรือเพื่อรอจำหน่าย ในการบริหารสินค้าคงคลัง ผู้บริหารจะต้องกำหนดให้สินค้าคงคลังมี อยู่อย่างเหมาะสม หากโรงงานเก็บสินค้าคงคลังไว้มากเกินไปจะทำให้เกิดการสูญเสียในรูปดอกเบี้ย(ต้นทุนจม)