1 / 196

บทที่ 7 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง

962421 เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยนโยบายสาธารณะ. บทที่ 7 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง. อาจารย์มานิตย์ ผิวขาว สาขาเศรษฐศาสตร์ สายวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ประยุกต์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง. เป้าหมายทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน นโยบายการคลัง

virgo
Download Presentation

บทที่ 7 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 962421 เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยนโยบายสาธารณะ บทที่ 7นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง อาจารย์มานิตย์ ผิวขาว สาขาเศรษฐศาสตร์ สายวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ประยุกต์วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น

  2. นโยบายการเงินและนโยบายการคลังนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง • เป้าหมายทางเศรษฐกิจ • นโยบายการเงิน • นโยบายการคลัง • นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

  3. เป้าหมายทางเศรษฐกิจ

  4. เป้าหมายทางเศรษฐกิจ • การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ • การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ • การกระจายรายได้และความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ

  5. นโยบายการคลัง Fiscal Policy • Revenue • Tax • Expenditure • Debt • Growth • Stability • Income Distribution • Economic Target

  6. นโยบายการเงิน Monetary Policy • -Open Market Operation • -Rediscount Rate • -Legal Reserve • -Bank Rate • -Growth • -Stability • -Income Distribution • Economic Target

  7. การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

  8. ความหมายการเจริญเศรษฐกิจความหมายการเจริญเศรษฐกิจ • ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หมายถึง การเพิ่มขึ้นของรายได้ที่แท้จริง (Real Income) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว • การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development) หมายถึง กระบวนการซึ่งทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นในระดับรายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยต่อบุคคล (Per Capita Real Income) ตลอดระยะเวลายาวนาน เพื่อให้มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่สูงขึ้นกว่าเดิม การพัฒนาเศรษฐกิจมิใช่เป็นแต่เพียงกระบวนการซึ่งทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของรายได้เท่านั้น แต่การกระจายรายได้จะต้องเป็นไปอย่างเสมอภาค ประชาชนส่วนใหญ่จะต้องได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน

  9. การพัฒนาเศรษฐกิจ นั้นครอบคลุมกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม กล่าวคือ นอกจากจะหมายถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่แท้จริงแล้ว ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมอีกด้วย การพัฒนาเศรษฐกิจ = ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ + ความอยู่ดีกินดี การพัฒนาเศรษฐกิจ จึงเน้นถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้น นั่นคือ การพัฒนาเศรษฐกิจ หมายถึง ก. การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ข. การลดหรือขจัดปัญหาความยากจน ค. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม สถาบันที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การกระจายผลผลิต สถาบันอื่น ๆ รวมทั้งทัศนคติของประชาชน

  10. แนวคิดเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเคนส์ (Keynes) • เคนส์อธิบายถึงการกำหนดขึ้นเป็นรายได้ประชาชาติ ว่าเกิดจากตัวกำหนด 2 ระดับ คือ • 1. ตัวกำหนดในทันที หรือตัวกำหนดโดยตรงของรายได้และการจ้างงาน ซึ่งได้แก่ การบริโภคและการลงทุน (กรณีระบบเศรษฐกิจเป็นแบบปิดและไม่มีภาครัฐบาล) • 2. ตัวกำหนดในที่สุด หรือปัจจัยที่กำหนดการบริโภคและการลงทุน (อีกต่อหนึ่ง อันจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรายได้และการจ้างงานอีกต่อหนึ่ง) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ได้แก่ แนวโน้มการบริโภค ความต้องการในการถือสินทรัพย์สภาพคล่อง และอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน หรือประสิทธิภาพส่วนเพิ่มของทุน (ซึ่งกำหนดการลงทุน)

  11. ดุลยภาพของระบบเศรษฐกิจอาจไม่เกิดขึ้น ณ ระดับที่มีการจ้างงานเต็มที่ เพราะอุปสงค์มวลรวมในระบบเศรษฐกิจอาจมีไม่เพียงพอ หรือต่ำเกินไป ดังนั้น • ในเชิงนโยบายจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะใช้นโยบายแทรกแซงระบบเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานเต็มที่ การแทรกแซงของรัฐบาลอาจทำได้โดย- การควบคุม(ลด)อัตราดอกเบี้ย(เพื่อกระตุ้นการลงทุน) - การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล (โดยการใช้งบประมาณขาดดุล) - การใช้นโยบายที่จะก่อให้เกิดการกระจายรายได้ใหม่เพื่อยกระดับของการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค (เช่น การเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า แล้วนำงบประมาณมาใช้จ่ายช่วยเหลือคนรายได้ต่ำ การที่แนวโน้มการบริโภคของคนจนมากกว่าคนรวยทำให้ระดับการบริโภคโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นได้)

  12. การหารายได้ประชาชาติดุลยภาพในเชิงคณิตศาสตร์ มี 2 วิธี

  13. ผลการประมาณการแบบจำลองผลการประมาณการแบบจำลอง

  14. เกิดจริง

  15. การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

  16. ความหมายและประเภทของการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจความหมายและประเภทของการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

  17. ความหมายของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจความหมายของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ • หมายถึง ภาวะที่ตัวแปรทางเศรษฐกิจต่าง ๆ มีการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมสอดคล้อง และไม่ผันผวนจนเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ • เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ประกอบไปด้วยต่าง ๆ เหล่านี้คือ ไม่ต้องการให้เงินเฟ้อสูงเกินไปเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของประชาชน ไม่ต้องการให้มีการว่างงานมากเกินไป ไม่ต้องการให้มีหนี้สาธารณะสูงเกินไป ทุนทรัพย์ไม่ผันผวนเกินไป อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินบาทไม่มีการผันผวนขึ้นลงเกินไป

  18. ระบบสถาบันการเงินจะมีเสถียรภาพหรือไม่หลักแรกคือ ความเพียงพอของทุน capital adequacy ratio ทุนที่ธนาคารพาณิชย์มีเพียงพอไหม โดยทั่วไปยึดตามหลักสากล โดยทุนเทียบกับทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์ นำมูลค่าหุ้นเทียบกับสินเชื่อที่เขาปล่อยไปไม่ควรจะต่ำกว่า 8.5 % นั่นคือมีทุนอย่างน้อย 8.5 % ของสินเชื่อ • นิยามในระยะยาวของเศรษฐกิจมหภาคคือ เป้าหมายของการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลิตในระยะยาวของเศรษฐกิจมีอยู่ 4 ปัจจัยคือ การสะสมทุน การลงทุน แรงงานและผลิตภาพในการผลิต • ดังนั้น เป้าหมายของการบริหารเศรษฐกิจคือ การที่จะทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน

  19. ประเภทเสถียรภาพเศรษฐกิจประเภทเสถียรภาพเศรษฐกิจ • เสถียรภาพภายใน (Internal stability) • เสถียรภาพภายนอก (External stability)

  20. เสถียรภาพราคาและการวัดเสถียรภาพราคาเสถียรภาพราคาและการวัดเสถียรภาพราคา

  21. ความหมายของเสถียรภาพราคาความหมายของเสถียรภาพราคา • เสถียรภาพด้านราคา หมายถึง การพยายามไม่ให้ระดับราคาโดยทั่วไปมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในอัตราที่สูง • ตัวชี้วัดเสถียรภาพระดับราคา คือ อัตราเงินเฟ้อ (Inflation rate) • เงินเฟ้อ (Inflation) คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง

  22. สาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อ(Inflation)สาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อ(Inflation)

  23. เงินเฟ้อ (Inflation) คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง • เงินเฟ้อจึงแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ 1. เงินเฟ้อที่เกิดทางด้านอุปสงค์ (demand-pull inflation) และ2. เงินเฟ้อที่เกิดทางด้านต้นทุน (cost-push inflation)

  24. 1. เงินเฟ้อที่เกิดทางด้านอุปสงค์ (demand-pull inflation) เงินเฟ้อที่เกิดทางด้านอุปสงค์ หมายถึง เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเนื่องจากอุปสงค์รวมเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่ประชาชนมีความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น (ลดการออมทรัพย์) หรือเอกชนแข่งกันลงทุนเพิ่มขึ้น หรือเกิดจากมาตรการทางการคลัง เช่น รัฐใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ลดภาษีที่เรียกเก็บจากประชาชน เป็นต้น หรือเกิดจากการใช้มาตรการทางการเงินโดยการเพิ่มปริมาณเงิน เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเกิดผลทำให้เส้นอุปสงค์รวมเลื่อนระดับไปทางขวามือของเส้นเดิม

  25. P LAS SAS0 E2 P2 A E1 P1 AD1 AD0 (MS ) 0 y yf y2 y1

  26. สมมติให้มีการขยายตัวทางการเงินซึ่งอาจเกิดจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบขยายตัว ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น เส้น LM เลื่อนไปทางขวามือ(ไม่ได้แสดงรูป) จึงทำให้เส้นอุปสงค์รวมเลื่อนระดับไปทางขวามือ จากเส้น AD1 เป็นเส้น AD2 ทำให้เกิดอุปสงค์รวมส่วนเกินเท่ากับ yfy1 จึงเกิดแรงดึงให้ระดับราคาสูงขึ้น การสูงขึ้นของระดับราคาจะทำให้อุปทานของเงินที่แท้จริงและอุปสงค์รวมลดลงบ้าง และเกิดการขยายตัวของอุปทานรวม เนื่องจากอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินยังไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น และระดับราคาที่แรงงานคาดคะเนก็ยังคงเดิม การสูงขึ้นของระดับราคา จึงมีผลทำให้อุปสงค์รวมลดลงบ้าง ในขณะที่อุปทานรวมเพิ่มขึ้น ในที่สุดทำให้อุปสงค์รวมส่วนเกินหมดไป โดยจุดดุลยภาพใหม่อยู่ที่จุด E2 ระดับราคาดุลยภาพสูงขึ้นเป็น OP2 และระดับรายได้ประชาชาติที่แท้จริงสูงขึ้นเป็น Oy2 ซึ่งสูงกว่าระดับผลผลิตที่ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่คือ Oyf

  27. ดังนั้นจุด E2 จึงเป็นจุดดุลยภาพชั่วคราวในระยะสั้น ในระยะยาวจุด E2 จะต้องเคลื่อนไปอยู่ที่จุดบนเส้นอุปทานรวมระยะยาวและระดับรายได้ประชาชาติที่แท้จริงจะเท่ากับ Oyf ซึ่งเป็นระดับผลผลิตที่ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่ ดังเหตุผลที่จะอธิบายต่อไป ถ้าปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจขยายตัวต่อไปอีก ระดับราคาจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การวิเคราะห์เงินเฟ้อที่เกิดจากทางด้านอุปสงค์นี้ยังสอดคล้องกับแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์สำนักการเงินที่ว่า ในระยะยาว ปริมาณเงินเป็นตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพลต่อระดับราคา แต่ไม่มีอิทธิพลต่อระดับรายได้ประชาชาติที่แท้จริง นั่นคือ เงินเฟ้อเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินนั่นเอง

  28. 2. เงินเฟ้อที่เกิดจากทางด้านต้นทุน (cost-push inflation) เงินเฟ้อที่เกิดจากทางด้านต้นทุน หมายถึง เงินเฟ้อที่เกิดจากการเลื่อนของเส้นอุปทานรวมระยะสั้นไปทางซ้ายมือของเส้นเดิม สาเหตุที่ทำให้เส้นอุปทานรวมระยะสั้นเลื่อนไปทางซ้ายมืออาจจะเกิดจากการที่แรงงานคาดคะเนระดับราคาสูงขึ้น จึงทำให้แรงงานเรียกร้องอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินสูงขึ้น หรืออาจจะเกิดจากปัจจัยอื่นที่ทำให้เส้นอุปทานรวมลดลงอย่างทันที (supply shock) ทำให้เส้นอุปทานรวมระยะสั้นเลื่อนระดับไปทางซ้ายมือของเส้นเดิม - ค่าจ้างเพิ่มสูงขึ้น - ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น - กำไรของหน่วยธุรกิจเพิ่มขึ้น - ต้นทุนการผลิตอื่นๆเพิ่มขึ้น

  29. SAS2 P LAS SAS1 E2 P2 P1 E1 AD1 0 y y0 y1 yf

  30. สมมติให้แรงงานเรียกร้องอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้นสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางกายภาพของแรงงานหน่วยสุดท้าย ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ระดับการจ้างงานและอุปทานรวมลดลง ทำให้เส้นอุปทานรวม SAS1 เลื่อนระดับไปทางซ้ายมือเป็นเส้น SAS2 และทำให้เกิดอุปสงค์รวมส่วนเกินเท่ากับ y1yf ซึ่งจะผลักดันให้ระดับราคาสูงขึ้น การสูงขึ้นของระดับราคาจะทำให้อุปทานของเงินที่แท้จริงและอุปทานรวมลดลงบ้าง ในขณะที่กระตุ้นให้ผู้ผลิตมีความต้องการจ้างงานเพิ่มขึ้น อุปทานรวมจึงขยายตัวเพิ่มขึ้น ในที่สุดทำให้อุปสงค์รวมส่วนเกินหมดไป โดยจุดดุลยภาพใหม่อยู่ที่จุด E2 ซึ่งต่ำกว่าระดับผลผลิตที่ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่ นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงของระดับราคาและผลผลิตเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งเป็นการต่อต้านวัฏจักร (counter-cyclical)

  31. จะเห็นได้ว่า เงินเฟ้อที่เกิดทางด้านต้นทุนนี้ก่อให้เกิดผล 2 ประการ คือ ระดับราคาสูงขึ้น แสดงว่าเกิดเงินเฟ้อ (inflation) แต่ในขณะเดียวกัน ระดับผลผลิตก็ลดต่ำลง แสดงว่า เศรษฐกิจชะงักงัน (stagnation) ดังนั้น บางที่เรียกรวมกันว่า ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันควบคู่กับภาวะเงินเฟ้อ (stagflation) จุดดุลยภาพ E2 ในรูป เป็นจุดดุลยภาพชั่วคราวในระยะสั้น ทั้งนี้เพราะเมื่อระบบเศรษฐกิจมีการว่างงานเกิดขึ้น ก็จะมีผลทำให้แรงงานที่ต้องการมีงานทำยินดีรับอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินต่ำลงบ้าง ผู้ผลิตจึงมีความต้องการจ้างงานเพิ่มขึ้น อุปทานรวมจึงขยายตัวเพิ่มขึ้น จุดดุลยภาพ E2 จึงเคลื่อนกลับมาอยู่ที่จุดดุลยภาพ E1 ตามเดิม และภาวะเงินเฟ้อยุติลง

  32. ดังนั้น เงินเฟ้อที่เกิดจากการที่ต้นทุนสูงขึ้นอันเนื่องมาจากแรงงานเรียกร้องอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินสูงขึ้นนั้น (หรืออุปทานรวมลดลงอย่างกะทันหัน) จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และในที่สุดก็จะยุติลงได้ สหภาพแรงงานมักจะโต้แย้งว่า เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจมิได้มีสาเหตุมาจากการที่แรงงานเรียกร้องอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินสูงขึ้น แต่เกิดจากสาเหตุอื่นมากกว่า (เช่น อุปสงค์เพิ่มขึ้น) ทำให้ระดับราคาสูงก่อน แรงงานจึงต้องเรียกร้องอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินสูงขึ้น เพื่อชดเชยกับการเพิ่มสูงขึ้นของระดับราคา แต่ถ้าแรงงานเรียกร้องอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวองเงินสูงขึ้นก่อน โดยที่ระดับราคายังมิได้สูงขึ้น ก็จะมีผลทำให้เกิดเงินเฟ้อเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะระบบเศรษฐกิจจะมีการว่างงานเกิดขึ้นด้วย ทำให้แรงงานไม่สามารถเรียกร้องอัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินสูงขึ้นต่อไปได้ ในที่สุดภาวะเงินเฟ้อที่มีสาเหตุจากค่าจ้างที่เป็นตัวเงินสูงขึ้น (wage-push inflation) ก็จะต้องยุติลง

  33. ผลกระทบของตัวแปรทางเศรษฐกิจต่ออัตราเงินเฟ้อผลกระทบของตัวแปรทางเศรษฐกิจต่ออัตราเงินเฟ้อ • ประเมินผลกระทบราคาน้ำมันที่สูงขึ้นว่า การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบทุกๆ 10% จะทำให้การขยายตัวเศรษฐกิจลดลง 0.2% เงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.1% เงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.4% และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อจีดีพีเพิ่มขึ้น 0.6%

  34. การกระจายรายได้และความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจการกระจายรายได้และความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ

  35. ความหมายและการวัดการกระจายรายได้ความหมายและการวัดการกระจายรายได้ • การกระจายรายได้ (Income distribution)เป็นการความเท่าเทียมกันในรายได้ของคนในสังคม • ถ้าทุกคนในสังคมมีรายได้เท่ากันหมด เรียกว่ามีการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมกันแบบสมบรูณ์ (perfect equality) • ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีคนเพียงคนเดียวที่มีรายได้ คนอื่นๆ ในสังคมไม่มีรายได้เลย เรียกว่ามีการกระจายรายได้อย่างไม่เท่าเทียมกันแบบสมบรูณ์ (perfect inequality) • ความเท่าเทียมกันหรือไม่เท่าเทียมกันของรายได้วัดได้อย่างไร?

  36. การวัดความยากจนและการกระจายรายได้การวัดความยากจนและการกระจายรายได้ • การกระจายรายได้ การเพิ่มขึ้นของรายได้โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มต่างๆ(Relative Income) ซึ่งมีเกณฑ์การชี้วัดที่ใช้กันได้แก่ • Gini -Coefficient และIncome Share (Quintile หรือDecile)ซึ่งใช้วัดความไม่ทัดเทียมกันในส่วนแบ่งรายได้ของกลุ่มคนที่แบ่งตามระดับรายได้ • Variance of Income Log และShorrocks' Index ซึ่งแบ่งกลุ่มคนตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ(อาชีพ) ที่ตั้งครัวเรือน(เมือง/ชนบท) และลักษณะเฉพาะเช่นอายุเพศการศึกษาเพื่อหาความไม่เท่าเทียมกันในคนแต่ละกลุ่มดังกล่าว • รายได้ประชาชาติต่อหัว

  37. Gini-Coefficient และIncome Share (Quintile หรือDecile)Gini-Coefficient และIncome Share (Quintile หรือDecile) • สัมประสิทธิ์จินีหรือสัมประสิทธิ์การกระจายรายได้ซึ่งใช้วัดความไม่ทัดเทียมกันในส่วนแบ่งรายได้ของกลุ่มคนที่แบ่งตามระดับรายได้ • Gini Coefficientเป็นตัวชี้วัดความไม่เท่าเทียมที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดเป็นตัวที่ใช้อธิบายในกลุ่มLorenz Curve   • ค่าจินีถูกกำหนดจากพื้นที่ระหว่างเส้นLorenz Curve กับเส้นการกระจายรายได้สมบูรณ์หารด้วยพื้นที่ใต้เส้นทะแยงมุมทั้งหมด • สัมประสิทธิ์จินีจะมีค่าตั้งแต่0 ถึง1  • โดยหากมีค่าเข้าใกล้ศูนย์จะยิ่งดีคือทุกคนมีรายได้เท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์เมื่อค่า= 0 • มีค่าเข้าใกล้1 มากเท่าไรยิ่งแสดงความไม่ทัดเทียมกันในรายได้มากขึ้น

  38. เกณฑ์การชี้วัดการกระจายรายได้ที่ได้รับความนิยมรองลงมาคือVariance of Income Log และShorrocks' Index เกณฑ์การชี้วัดการกระจายรายได้ที่ได้รับความนิยมรองลงมาคือVariance of Income Log และShorrocks' Index  • ซึ่งแบ่งกลุ่มคนตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ(อาชีพ) ที่ตั้งครัวเรือน(เมือง/ชนบท) และลักษณะเฉพาะเช่นอายุเพศการศึกษาเพื่อหาความไม่เท่าเทียมกันในคนแต่ละกลุ่มดังกล่าว • แต่การกระจายรายได้ที่ดีที่สุดคือการเพิ่มAbsolute real Income ของทุกกลุ่มโดยต้องการให้กลุ่มที่มีรายได้น้อยมีอัตราการเพิ่มรายได้สูงสุดแต่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากและไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก • ดังนั้นเป้าหมายอย่างต่ำคือการพยายามทำให้Absolute real Income ของทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นและให้จำนวนประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนลดลง

  39. วิธีการคำนวณการกระจายรายได้วิธีการคำนวณการกระจายรายได้

  40. inequality Line of perfect Lorenz curve Line of perfect equality Lorenz curve Note:รายได้ติดลบไม่ได้ เพราะ Lorenz curve อยู่ต่ำกว่าเส้น perfect inequality ไม่ได้

  41. Gini coefficient = Area A Area (A+B) Lorenz curve andGiniIndex A B

More Related