1 / 46

รากที่ n ในระบบจำนวนจริง และจำนวนจริงในรูปกรณฑ์

รากที่ n ในระบบจำนวนจริง และจำนวนจริงในรูปกรณฑ์. บทนิยาม . ถ้า a เป็นจำนวนจริงที่ a ≥ 0 รากที่สองที่เป็นบวกของ a เรียกว่า “ ค่าหลักรากที่สองของ a ” เขียนแทนด้วย . ตัวอย่างที่ 1 จงหาค่า. 1. ค่าหลักของรากที่สองของ 144 คือ .

tybalt
Download Presentation

รากที่ n ในระบบจำนวนจริง และจำนวนจริงในรูปกรณฑ์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. รากที่ n ในระบบจำนวนจริง และจำนวนจริงในรูปกรณฑ์

  2. บทนิยาม ถ้า a เป็นจำนวนจริงที่ a ≥ 0 รากที่สองที่เป็นบวกของ a เรียกว่า “ ค่าหลักรากที่สองของ a ” เขียนแทนด้วย ตัวอย่างที่ 1 จงหาค่า 1. ค่าหลักของรากที่สองของ 144 คือ 2. ค่าหลักของรากที่สองของ 7 คือ 3. ค่าหลักของรากที่สองของ คือ

  3. รากที่ 3 ของจำนวนจริง บทนิยาม : ให้ a และ b เป็นจำนวนจริง b เป็นรากที่ 3 ของ a ก็ต่อเมื่อ b3 = a จากบทนิยามได้ข้อสังเกตว่า 1. a = 0 รากที่ 3 ของ 0 เท่ากับ 0 แน่นอน 2. a > 0 รากที่ 3 ของ a ออกมาเป็นบวกแน่นอน 3. a < 0 รากที่ 3 ของ a ออกมาเป็นลบแน่นอน เนื่องจากค่าราที่ 3 ของ a ออกมา 1 ค่าเสมอ ก็ถือว่าเป็นค่าหลักของรากที่ 3 ของ a ด้วย ใช้สัญลักษณ์เป็น

  4. รากที่ n ของจำนวนจริง บทนิยาม : ให้ a และ b เป็นจำนวนจริง และ n เป็นจำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 b เป็นรากที่ n ของ a ก็ต่อเมื่อ bn = a แยกพิจารณา เมื่อ n เป็นเลขคู่ หรือ คี่ ดังนี้

  5. ตัวอย่างที่ 2 จงหาค่าของ 1. รากที่ 4 ของ 16 คือ -2 และ 2 2. รากที่ 5 ของ -243 คือ -3 3. รากที่ 7 ของ 128 คือ 7 4. รากที่ 7 ของ 128 คือ 7 5. รากที่ 6 ของ 125 คือ และ 6. รากที่ 8 ของ -625 คือ ไม่มี ในระบบจำนวนจริง

  6. ค่าหลักของรากที่ n บทนิยาม : ให้ a เป็นจำนวนจริง และ n เป็นจำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 1. ถ้า a ≥ 0 และ n เป็นจำนวนคู่ ค่าหลักของรากที่ n ของ a ก็คือ รากที่ n ของ a ที่เป็นบวก เขียนแทนด้วย 2. ถ้า a เป็นจำนวนจริงใด ๆ และ n เป็นจำนวนคี่ ค่าหลักของรากที่ n ของ a ก็คือ รากที่ n ของ a เขียนแทนด้วย ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่า 1. ค่าหลักของรากที่ 4 ของ 81 คือ = 3 2. ค่าหลักของรากที่ 5 ของ -32 คือ = -2

  7. ข้อตกลง และสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับค่าหลักของรากที่ n ของ a 1. เราจะเรียกเครื่องหมาย ว่า “ เครื่องหมายกรณฑ์ ” และเรียก n ว่า เป็นอันดับของกรณฑ์ 2. ถ้า a เป็นจำนวนจริงที่หารากที่ n ได้ เราจะอ่าน ว่า กรณฑ์ที่ n ของ a หรือค่าหลักของรากที่ n ของ a 3. ถ้า a เป็นจำนวนจริงที่หารากที่ n ได้ จะได้ว่า

  8. คุณสมบัติของรากที่ n ของจำนวนจริง 1. ถ้า a และ b เป็นจำนวนจริงที่มีรากที่ n แล้ว 2. ถ้า a และ b เป็นจำนวนจริงที่มีรากที่ n และ b ≠ 0 แล้ว 3. ถ้า a เป็นจำนวนจริงใด ๆ และ n เป็นจำนวนเต็มบวกโดยที่ n ≥ 2 แล้ว 3.1 เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มบวกคี่ 3.2 เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มบวกคู่

  9. ตัวอย่างที่ 3 กำหนดให้ a และ b เป็นจำนวนจริงใด ๆ จงหาค่าของ 2 . 1 . 4. ถ้า a เป็นจำนวนจริงที่ทำให้ เป็นจำนวนจริง และ m เป็นจำนวนเต็มที่ m ≥ 2 และทำให้ เป็นจำนวนจริงแล้ว ตัวอย่างที่ 4 กำหนด a เป็นจำนวนจริง จงหาค่าของ 1. 2. 3.

  10. ตัวอย่างที่ 5 จงหาค่าของ 1. 2. 3. 4. 5. ตัวอย่างที่ 6 ถ้า a ≥ 0 และ b ≥ 0 จงจัดให้อยู่ในรูปอย่างง่ายของ 1. 2.

  11. การหาผลบวก ผลต่าง ผลคูณและผลหารของกรณฑ์ การหาผลบวก ผลต่างของกรณฑ์ ต้องเป็นกรณฑ์เดียวกัน และค่าภายในกรณฑ์ก็ต้องเหมือนกันจึงนำเอาสัมประสิทธิ์ หน้ากรณฑ์มาบวกลบกันได้เลย จำ ตัวอย่างที่ 7 จงหาค่าของ 1. 2.

  12. การหาผลคูณ ผลหารของกรณฑ์ 1. ถ้า a และ b เป็นจำนวนจริงที่มีรากที่ n แล้ว จำ ถ้า อันดับของกรณฑ์ไม่เท่ากัน ต้องทำให้เป็นกรณฑ์อันดับเดียวกันก่อน 2. ถ้า a เป็นจำนวนจริง ซึ่ง เป็นจำนวนจริงแล้ว 2.1 เมื่อ m เป็นจำนวนคี่ 2.2 เมื่อ m เป็นจำนวนคู่ และ a ≥ 0

  13. ตัวอย่างที่ 8 จงหาผลคูณของ 2. 1. 3. 4. 5. 6.

  14. เทคนิค การหาผลหารของกรณฑ์ เทคนิคที่ 1 : ส่วนมีกรณฑ์เพียงตัวเดียว เช่น ทำส่วนไม่ติดกรณฑ์ โดยนำ คูณข้างบนและข้างล่างจะได้ ตัวอย่าง 9 จงหาผลหารของ (ทำส่วนไม่ติดกรณฑ์) 1. 2. 3. 4.

  15. จากตัวอย่างที่ 9 ข้อ 4 สรุปได้ว่า การทำส่วนไม่ติดกรณฑ์ ของ ทำส่วนให้ไม่ติดกรณฑ์ต้องคูณด้วย ตัวอย่าง 10 จงทำส่วนไม่ติดกรณฑ์ 1. 2. 3. 4.

  16. เทคนิคที่ 2 : ส่วนมีกรณฑ์อันดับที่ 2 2 พจน์ บวก หรือลบกัน เช่น แก้โดยใช้หลักการที่ว่า และ (น+ล)(น-ล) = น2 – ล2 ซึ่งเรียกคู่ของ (น+ล) กับ (น-ล) ว่าเป็นคู่สังยุค กัน ดังนั้นการทำตัวส่วนไม่ติดกรณ์ นั้นทำได้โดยคูณคู่สังยุคของตัวส่วนท้งข้างบนและข้างล่าง

  17. จงทำส่วนไม่ติดกรณฑ์ ตัวอย่างที่ 11 1. 2. เทคนิคที่ 3 : ส่วนมีกรณฑ์อันดับที่ 3 แก้โดย ใช้หลักผลบวกหรือผลต่าง กำลัง 3 ที่ว่า น3-ล3 = (น-ล)(น2 + นล + ล2) น3+ล3 = (น+ล)(น2 - นล + ล2) โดยนำ (น-ล) หรือ (น+ล) คูณทั้งเศษ และส่วน

  18. ตัวอย่างที่ 12 จงทำตัวส่วนไม่ติดกรณฑ์ 1. 2.

  19. การหารากที่ 2 ของนิพจน์ที่อยู่ในรูป ตัวอย่างที่ 13 วิธีทำ

  20. เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนตรรกยะเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนตรรกยะ บทนิยาม : ถ้า n เป็นจำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 และ a เป็นจำนวนจริงที่มีรากที่ n แล้ว บทนิยาม : ให้ m,n เป็นจำนวนเต็มโดยที่ n > 0 ที่ (m,n) = 1 ถ้า a เป็นจำนวนจริงที่ทำให้หาค่า ได้ จะได้ว่า โดยที่ m ≥ 0 และ a≠ 0

  21. บทนิยาม : ถ้า m,n เป็นจำนวนเต็มบวก ถ้า a เป็นจำนวนจริงที่ หาค่าได้ แล้ว จากบทนิยาม แสดงว่า ตัวอย่างที่ 14 จงหาค่าของ

  22. สมบัติของเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนตรรกยะสมบัติของเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนตรรกยะ ให้ m,n เป็นจำนวนตรรกยะ และ am , an , bn เป็นจำนวนจริงจะได้ 1. aman = am+n 2. 3. 4. 5.

  23. โจทย์หาค่าเลขยกกำลัง แบบที่ 1 การหาค่าเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นเศษส่วน เช่น ให้หา แก้โดยการจัด □ ให้เป็นเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็น n ให้ได้ ถ้าทำได้ จำ ตัวอย่างที่ 15 จงหาค่าของเลขยกกำลังต่อไปนี้ 1. 2.

  24. ตัวอย่างที่ 16 จงหาค่าของ แบบที่ 2 การหาค่าเลขยกกำลังด้วยการดึงตัวร่วม วิธีทำ

  25. แบบที่ 3 การหาค่าเลขยกกำลังด้วยเลขยกกำลังด้วยสูตรกำลังสองสัมบูรณ์ ผลต่างกำลังสอง ผลบวก และผลต่างกำลังสาม ตัวอย่างที่ 17 ถ้า a > 0 และ an – a-n = 3 แล้ว a2n – a-2nมีค่าเท่าใด ตัวอย่างที่ 18 ถ้า a > 0 และ a + a-1 = 5 แล้ว a3 + a-3มีค่าเท่าใด สูตรลัด แล้ว แล้ว

  26. ตัวอย่างที่ 19 กำหนด 2-2x = 25 จงหาค่าของ 23x + 1 แบบที่ 4 การหาค่าของเลขยกกำลังด้วยการใช้ สมบัติของเลขยกกำลังต่าง ๆ กำหนด 32x = 22y=6-2zจงหาค่าของ ตัวอย่างที่ 20

  27. โจทย์แก้สมการเลขยกกำลัง แบบที่ 1 ถ้าตัวแปรอยู่ที่ฐานของเลขยกกำลัง และ a เป็นจำนวนจริง แก้สมการโดยทำให้เลขชี้กำลังของ p(x) เป็น 1 ให้ได้ ด้วยการยกกำลัง ทั้งสองข้าง แล้วก็หาค่าตัวแปร x ต่อไปได้เลย ตัวอย่างที่ 21 จงแก้สมการ

  28. แบบที่ 2 ถ้าตัวแปรอยู่ในเครื่องหมายกรณฑ์ที่สอง เมื่อแก้หาค่าตัวแปร แล้ว ก่อนตอบต้องตรวจคำตอบทุกครั้ง นั่นคือ ต้องทำให้ค่าภายในกรณฑ์ที่สองทุกเทอมมากกว่าหรือเท่ากับศูนย์ ตัวอย่างที่ 22 จงแก้สมการ จงแก้สมการ ตัวอย่างที่ 23

  29. แบบที่ 3 ถ้าตัวแปรอยู่ที่เลขชี้กำลัง a f(x) = a g(x) ,a > o และ a ≠ 1 สรุปได้ว่า f(x) = g(x) ตัวอย่างที่ 24 จงแก้สมการต่อไปนี้ 1. 2.

  30. การหาค่ารากที่ n การหาค่ารากที่สอง 1. โดยวิธีแยกตัวประกอบ จัดกลุ่มเป็นจำวนยกกำลังสอง 225 = 3355 = (35)2 = 152 ดังนั้น รากที่สองของ 225 คือ 15 และ -15 2. โดยวิธีแบ่งช่วง นำเสนอ 2 วิธีย่อย ตามขั้นตอนดังนี้ 2.1 วิธีที่ 1 แบ่ง เป็น 10 ช่วง ขั้นที่ 1 หาจำนวนจริงสองจำนวนเรียงกัน ที่กำลังสองของจำนวนจริงทั้งสองนั้นมีค่าน้อยกว่า และมากกว่าจำนวนที่ต้องการหารากที่สอง เช่นต้องการหาค่าหลักรากที่สองของ 5 จำนวนจริงสองจำนวนจะเป็น 2 และ 3

  31. โดยที่ 22 = 4 และ 32 = 9 แสดงว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 2 กับ 3 หาจำนวนจริงที่มากกว่า 2 แต่น้อยกว่า 3 ที่ยกกำลังสองแล้วมีค่าใกล้เคียง 5 โดยแบ่งเป็น 10 ช่วง ดังนี้ ขั้นที่ 2 (2.1)2 = 4.41, (2.2)2 = 4.84 , พิจารณาจาก 2.1 , 2.2 , 2.3 , …., 2.9 จะได้ว่า (2.3)2 = 5.29 ดังนั้น มีค่าอยู่ระหว่าง 2.2 กับ 2.3 หาจำนวนจริงที่มากกว่า 2.2 แต่น้อยกว่า 2.3 ที่ยกกำลังสองแล้วมีค่าใกล้เคียง 5 โดยแบ่งเป็น 10 ช่วง ดังนี้ ขั้นที่ 3 พิจารณาจาก 2.21 , 2.22 , 2.23 , …., 2.29 จะได้ว่า (2.21)2 = 4.8841, (2.22)2 = 4.9284, (2.23)2 = 4.9729 , (2.24)2 = 5.0176

  32. ดังนั้น มีค่าอยู่ระหว่าง 2.23 กับ 2.24 ขั้นที่ 4 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 3 มาแบ่งออกเป็น 10 ช่วง เช่นเดียวกับขั้นที่ 2 และ 3 ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ค่ารากที่สองของจำนวนที่ ต้องการหารากที่สองตามตำแหน่งทศนิยมที่ต้องการ หาจำนวนจริงที่มากกว่า 2.23 แต่น้อยกว่า 2.24 ที่ยกกำลังสองแล้วมีค่าใกล้เคียง 5 โดยแบ่งเป็น 10 ช่วง ดังนี้ พิจารณาจาก 2.231 , 2.232 , 2.233 , …., 2.239 จะได้ว่า (2.234)2 = 4.990756 (2.235)2 = 4.995225 , (2.236)2 = 4.999696, (2.237)2= 5.004169 ถ้าต้องการตอบเป็นทศนิยมสามตำแหน่ง ดังนั้น มีค่าประมาณ 2.236

  33. 2.2 วิธีที่ 2 แบ่ง เป็น 2 ช่วง ขั้นที่ 1 หาจำนวนจริงสองจำนวนเรียงกัน ที่กำลังสองของจำนวนจริงทั้ง สองนั้นมีค่าน้อยกว่า และมากกว่าจำนวนที่ต้องการหารากที่สอง เช่นต้องการหารากที่สองของ 5 จำนวนจริงสองจำนวนจะเป็น 2 และ 3 โดยที่ 22 = 4 และ 32 = 9 แสดงว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 2 กับ 3 ขั้นที่ 2 นำจำนวนเต็มทั้งสองที่หาได้ในขั้นที่ 1 มาหาค่าเฉลี่ย และเนื่องจาก จะได้ ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2 แต่ไม่ถึง 2.5

  34. ขั้นที่ 3 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 2 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2 แต่ไม่ถึง 2.25 ขั้นที่ 4 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 3 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2.125 แต่ไม่ถึง 2.25

  35. ขั้นที่ 5 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 4 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2.1875 แต่ไม่ถึง 2.25 ขั้นที่ 6 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 5 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2.219 แต่ไม่ถึง 2.25 ขั้นที่ 7 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 6 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2.235 แต่ไม่ถึง 2.25

  36. ขั้นที่ 8 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 7 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2.235 แต่ไม่ถึง 2.243 ขั้นที่ 9 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 8 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2.235 แต่ไม่ถึง 2.239 ขั้นที่ 10 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 8 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ดังนั้น มีค่าประมาณมากกว่า 2.235 แต่ไม่ถึง 2.237

  37. ขั้นที่ 11 นำจำนวนทั้งสองที่หาได้จากขั้นที่ 10 มาหาค่าเฉลี่ย จะได้ และเนื่องจาก ถ้าต้องการค่าของรากที่สองของ 5 ที่มีทศนิยมสามตำแหน่ง ก็ไม่ต้องทำขั้นต่อไป ดังนั้น มีค่าประมาณ2.236 ข้อสังเกต ได้ว่า ถ้าแบ่งเป็น 10 ช่วงจะได้ผล เร็วกว่าแบ่งเป็น 2 ช่วง

  38. 3. โดยวิธีตั้งหาร ดำเนินการดังนี้ ขั้นที่ 1 แบ่งกลุ่มตัวเลขของจำนวนที่ต้องการหารากที่สองโดยส่วนของจำนวนเต็มแบ่งจากขวาไปซ้ายส่วนของทศนิยมแบ่งจากซ้ายไปขวากลุ่มละ 2 ตัว เช่น ต้องการหารากที่สองของ 3 15 . 42 6 ขั้นที่ 2ตั้งหารโดยการหาตัวเลข 2 ตัวที่เท่ากันคูณกันได้เท่ากับหรือน้อยกว่าตัวเลขที่อยู่กลุ่มซ้ายสุด หาเศษเหลือและชักเลขสองหลักในกลุ่มถัดไปลงมา ขั้นที่ 3เอา 2 คูณผลลัพธ์ที่ได้นำมาเป็นตัวต้นของตัวหารครั้งต่อไป โดยหาเลข 0 ถึง 9 มาต่อท้าย ให้ผลคูณของตัวหารทั้งหมดกับตัวต่อท้ายมีค่าเท่ากับหรือน้อยกว่าเศษเหลือและเลขสองหลักที่ชักลงมา

  39. ขั้นที่ 4 ทำเช่นเดียวกันกับขั้นที่ 2 และ 3 ไปเรื่อย ๆ จนได้จำนวนที่เป็นรากที่สองที่มีทศนิยมตามต้องการ . 1 7 6 7 3 15 . 42 6 1 1 ดังนั้นรากที่สองของ 315.426 มีค่าประมาณ 17.8 และ -17.8 27 2 15 1 89 347 26 42 24 29 3546 2 13 60 2 12 76 84

  40. 4. โดยวิธีดูจากตารางตรงช่อง การหาค่ารากที่ n เมื่อ n ≥ 2 ก็สามารถหาได้โดยวิธีที่กล่าวมา ( ยกเว้นวิธีตั้งหารยาว )

  41. ตัวอย่างที่ 8 ในหนังสือหน้า 15 การหาอัตราเงินเฟ้อคำนวณจากราคาสินค้าโดยใช้สูตร ถ้า p = 80,000 บาท q = 500,000 บาท n =12 ปี จากสูตร จะได้

  42. เนื่องจาก (1.165)3 1.581 นั่นคือ ค่าประมาณของ คือ 1.165 และจะได้ว่า สรุปได้ว่า อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งประมาณจากราคาที่ดินซึ่งปัจจุบันมีราคา 500,000 บาท เท่ากับ 0.165 หรือ 16.5 %

  43. ตัวอย่างที่ 9 ในหนังสือหน้า 16 สูตร การหาจำนวนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย A คือ จำนวนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย P คือ เงินต้นที่กู้ยืมจากธนาคาร r คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปี t คือ จำนวนปีที่กู้ โจทย์ ให้ P = 900,000 r = 8.5 % และ t = 2.5

  44. จะได้ ดังนั้น จำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายกับธนาคารเมื่อครบกำหนด 2 ปี 6 เดือน คื 1,103,400 – 900,000 = 203,400 บาท

  45. ตัวอย่างที่ 10 ในหนังสือหน้า 17 ถ้า r คือ ความยาวของรัศมีของทรงกลมมีหน่วยเป็นเซนติเมตร และ V คือ ปริมาตรของทรงกลมมีหน่วยเป็นลูกบาศก์เซนติเมตร สูตร หา รัศมี ของทรงกลม อยากทราบว่า ทรงกลมซึ่งมีปริมาตร 1,000 ลบ.ซม. จะมีรัศมียาวเท่าใด กำหนดให้ V = 1,000 ลบ.ซม. และ ให้

  46. จะได้ หรือ ทำการหาค่าประมาณของ ได้ดังนี้ จาก 63 = 216 และ 73 = 343 แสดงว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 6 และ 7 พิจารณา 6.1 , 6.2 , 6.3 , …., 6.8 , 6.9 เนื่องจาก (6.2)3 = 238.328 และ (6.3)3 = 250.047 ดังนั้น มีค่าระหว่าง 6.2 กับ 6.3 พิจารณา 6.21 , 6.22 , 6.23 , …., 6.28 , 6.29 เนื่องจาก (6.21)3 = 239.483 ดังนั้น รัศมีของทรงกลม มีความยาวประมาณ 6.2 เซนติเมตร

More Related