1 / 19

E-Testing System

E-Testing System. แนวคิดที่มา ปัญหา.

trynt
Download Presentation

E-Testing System

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. E-Testing System

  2. แนวคิดที่มาปัญหา การทำแบบทดสอบทั่วไปมีการนำกระดาษแบบฝนวงกลม มาใช้งาน และมีการบันทึกเข้าเครื่องอ่านเพื่อทำการออกคะแนน การฝนข้อสอบบางทีอาจบางเกินไปทำให้เครื่องอ่านข้อสอบไม่สามารถอ่านได้ เราจึงนำระบบการทำข้อสอบแบบออนไลน์มาใช้งานในมหาวิทยาลัย ทำให้ง่ายต่อการทำข้อสอบและเราสามารถนำข้อสอบที่มหาวิทยาลัยออกมาทำการวิเคราะห์ความยากง่ายของข้อสอบได้โดยการเก็บในรูปแบบสถิติ เพื่อนำข้อสอบมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้มีความยากง่าย และนำมาออกข้อสอบในปีถัดไป

  3. ความเป็นมาและปัญหา • การเก็บข้อมูลแบบเก่ายังคงมีปัญหาด้านการอ่านข้อมูลบนแถบคาร์บอนในกระดาษคำตอบที่นักศึกษาทำการฝน การวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวจึงได้มีออกระบบการออกข้อสอบออนไลน์มาจัดการปัญหาในด้านนี้ทำให้การทำข้อสอบในห้องสอบของนักศึกษามีความเที่ยงตรงและแม่นยำ มีการสลับข้อสอบเพื่อป้องกันการลอกข้อสอบ เพื่อให้ได้นักศึกษาที่จบออกไปมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นเกณฑ์วัดในตัวบุคลากรที่สอน ทำให้ได้บุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ในการสอน การทำข้อสอบแต่ละครั้งระบบจะมีการจัดทำสถิติหาความยากง่ายของข้อสอบโดยหาจากเกณฑ์การทำข้อสอบของนักศึกษาในแต่ละครั้ง

  4. วิธีดำเนินการวิจัย • ทำการสร้างโปรแกรมในการสอบ และทดสอบกับนักศึกษาโดยการออกแบบโปรแกรมให้มีการออกข้อสอบแบบสลับข้อ และนำข้อสอบแต่ละข้อมาทำการรวบรวมว่ามีนักศึกษาจำนวนกี่คนที่ทำข้อสอบในแต่ข้อได้ และนำมาทำการคำนวณตามสูตรในการวิเคราะห์ความยากง่ายของข้อสอบโดยการวิเคราะห์ตามงานวิจัยที่นิยมของ Whitney and D. L Sabers

  5. แนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้องแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง • จากการค้นคว้าข้อมูลพบว่าวิธีการวิเคราะห์ ระดับความยากง่ายในการออกข้อสอบนั้น นิยมใช้งานวิจัยของ Whitney and D. L Sabers ในการชี้วัดระดับ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงมุ่งสนใจในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ Whitney and D. L Sabers เป็นหลัก โดยจะมีวิธีการคิดดังนี้ • ทำการแบ่งกลุ่มนักศึกษาที่เข้าสอบออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเก่ง (กลุ่มสูง) และกลุ่มอ่อน (กลุ่มต่ำ) โดยใช้ เทคนิค25% ของจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบ

  6. สูตรหาดัชนีความยาก และค่าอำนาจการจำแนก ความหมายอักษรย่อของดัชนี

  7. รูปแบบโปรแกรมการทำข้อสอบแบบออนไลน์รูปแบบโปรแกรมการทำข้อสอบแบบออนไลน์ • นักศึกษาทำการกรอกรหัสนักศึกษาเพื่อเขาสู่ระบบ E-Testing ทำการทำข้อสอบโดยมีการจัดลำดับข้อสอบแบบสลับเพื่อเป็นมาตรฐานในการชี้วัด

  8. กระบวนการ และขั้นตอนการดำเนินการ (ต่อ) • ข้อสอบทุกข้อจะถูกเก็บลงฐานข้อมูลโดยมีรหัสนักศึกษาเป็นคีย์ในการจัดเก็บ • ทำการออกเกรดตามเกณฑ์ที่นักศึกษาแต่ละคนทำได้ • นำเกณฑ์ของข้อสอบแต่ละข้อมาจัดทำสถิติว่านักศึกษาตอบโจทย์ได้กี่ข้อ • นำมาผ่านสูตรทดสอบความยากง่ายของ Whitney and D. L Sabers • นำข้อสอบมาทำการออกใหม่โดยเพิ่มความยากง่ายเข้าไป

  9. กระบวนการ และขั้นตอนการดำเนินการ

  10. มีการทำข้อสอบแบบเป็นโครงข่ายที่ห่างไกล มีการนำบัตรนักศึกษามาเสียบในการทำข้อสอบเพื่อระบุตัวนักศึกษา โครงข่ายการทำข้อสอบแบบ Social Network

  11. โครงสร้างพื้นฐานระบบ

  12. ประวัติความเป็นมาเว็บประวัติความเป็นมาเว็บ เว็บ 1.0 เป็นเว็บ Content สำหรับอ่านอย่างเดียว เว็บ 2.0 เป็นเว็บแบบสามารถโต้ตอบกับ user ได้

  13. สถาปัตยกรรม web 2.0

  14. Web 2.0 คืออะไร • Web 2.0 เป็นคำเรียกย่อๆ ของกระแสเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบการใช้งานอินเตอร์เน็ตแบบเดิมๆ ใน ยุคที่ 1 ซึ่งหมายถึงการที่ฝ่ายผู้ผลิตคอนเทนต์ (เว็บไซต์) กับ ฝ่ายคนที่เข้ามาค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ แยกขาดออกจากกันแต่เมื่อเราเข้าสู่การใช้งาน อินเตอร์เน็ตยุคที่ 2 หรือ Web 2.0 นั่นหมายความว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทุกคน ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม ต่างเข้ามาร่วมกันทำหน้าที่แบ่งปัน-แลกเปลี่ยน-เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารถึงกันและกันถ้าจะอธิบายความหมายของ Web 2.0 ให้มองเห็นภาพ ก็คือ กระแสความนิยมของ บล็อกส่วนบุคคล ที่เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างเครือข่ายโยงใยกันไปทั่วโลกในหมู่คนที่สนใจในเรื่องใกล้ๆ กัน จนกลายเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดยักษ์ หรือเว็บไซต์มาแรงอย่าง wikipedia.org สารานุกรมออนไลน์ที่เปิดเสรีให้คนทั่วโลกเข้าไปช่วยกันปรับปรุงข้อมูล

  15. Web 2.0 คืออะไร (ต่อ) • นอกจากนั้นเว็บไซต์ประเภทแชร์และจัดหมวดหมู่รูปภาพอย่าง flickr.com รวมถึงเทคโนโลยีกระจายเสียงออนไลน์พ็อดคาสต์ ก็เป็นหนึ่งในปรากฎการณ์Web 2.0 เช่นกันที่ประชุม www2006 เชื่อว่าสิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นในยุค Web 2.0 คือ ความรุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์อิเล็กทรอนิกส์ (e-science) ซึ่งหมายความว่า งานวิจัยในอนาคตจะสำเร็จลุล่วง ได้ผลลัพธ์ดีและเร็วกว่าในปัจจุบัน เพราะนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกสามารถเข้ามาทำงานวิจัยร่วมกันผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลสาธารณะที่เผยแพร่อยู่ในอินเตอร์เน็ต

  16. ผลจากการวิจัย • จากการวิจัยพบว่าการใช้สูตรของ Whitney and D. L Sabers พบว่าเกิดเป็นกลุ่มของคะแนนสองแบบคือ • กลุ่มเก่ง และกลุ่มอ่อน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่มมากเกินไปเราจึงได้วิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวโดยการวิจัยแบบกลุ่มเพื่อลดช่องว่างที่ห่างกันเกินไปโดยจัดให้มีการหาค่าชี้วัดแบบกลางขึ้นมาโดยการกำหนดตัวแปรเพิ่มมาคำนวณดังนี้ • ตัวแปร Smแทนผลรวมของคะแนนกลุ่มกลาง • Xmedแทนคะแนนระดับกลางที่นักศึกษาได้ • ในการใช้งานตัวแปรเสริม 2 ตัวนี้ เราสามารถทำการหาความยากง่ายเพื่อทำการออกข้อสอบที่เป็นมาตรฐานระดับกลางเพื่อทำให้ไม่เกิดช่องว่างระหว่างคนเก่งและคนไม่เก่ง

  17. แนวโน้มในอนาคต • จัดให้มีการทำ Wiki แนวข้อสอบโดยให้เหล่าคณาจารย์ในแต่ละภาคของประเทศได้เข้ามาทำการร่วมวิเคราะห์ข้อสอบโดยให้เป็นมาตรฐานกลางในการสอบและเป็นมาตรฐานในสอนของเหล่าคณาจารย์เพื่อผลิตนักเรียน นักศึกษาที่มีคุณภาพต่อไป • จัดทำระบบ Web service (web2.0) ที่ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพของข้อสอบอัตนัย โดยหน่วยงานอื่นสามารถเรียกใช้งานได้

  18. วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง • การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย เชาวรัตน์ เตมียกุล สาขาวิจัยและพัฒนาหลักสูตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ • การวิเคราะห์ข้อสอบ เมธา โยธาฤทธิ์ • การพัฒนาโปรแกรมการวิเคราะห์ข้อสอบอัตนัย สุรัตนา สังข์หนุน ชนศักดิ์ บ่ายเที่ยง และสุพร รัตนพันธ์

  19. …Group 1…

More Related