1 / 46

พยานหลักฐานในสำนวน (พยานหลักฐานที่ได้มีการนำสืบ ) ปรับปรุง ธ.ค. 54

พยานหลักฐานในสำนวน (พยานหลักฐานที่ได้มีการนำสืบ ) ปรับปรุง ธ.ค. 54. 2. 2.1 พยานหลักฐานที่ศาลจะรับฟังเพื่อวินิจฉัยคดีต้องเป็นพยานหลักฐานในสำนวน. ป.วิ.พ. มาตรา 84 ที่แก้ไขใหม่ บัญญัติว่า “ การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัย พยานหลักฐานในสำนวนคดี นั้น เว้นแต่

Download Presentation

พยานหลักฐานในสำนวน (พยานหลักฐานที่ได้มีการนำสืบ ) ปรับปรุง ธ.ค. 54

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. พยานหลักฐานในสำนวน (พยานหลักฐานที่ได้มีการนำสืบ )ปรับปรุง ธ.ค.54 2

  2. 2.1 พยานหลักฐานที่ศาลจะรับฟังเพื่อวินิจฉัยคดีต้องเป็นพยานหลักฐานในสำนวน ป.วิ.พ. มาตรา 84 ที่แก้ไขใหม่ บัญญัติว่า “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น เว้นแต่ (1) ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป (2) ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือ (3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล”

  3. ฎ.987/2491 ประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องอุปโภคในภาวะคับขัน เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน แม้ว่าเจ้าหน้าที่ศาลได้นำสำเนาประกาศดังกล่าวรวมไว้ในสำนวน จึงไม่ถือเป็นพยานหลักฐานในสำนวนคดีฎ.5658/2552 จำเลยทั้งสองเพิ่งอ้างหนังสือบริคณฑ์สนธิของบริษัทมาท้ายฎีกา เป็นการนำพยานเอกสารเข้าสู่สำนวนโดยไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 จึงรับฟังไม่ได้

  4. แต่ถ้าศาลใช้ดุลพินิจเรียกสำนวนคดีอื่นมาประกอบการพิจารณา ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 228 ย่อมถือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ ฎ.1443/2509 ศาลชั้นต้นเรียกสำนวนคดีอื่นมาประกอบการพิจารณา เป็นการสืบพยานเพิ่มเติมตามป.วิ.อ. มาตรา 228 ฎ.1621/2506 ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์แถลงหมดพยานแล้ว ศาลมีอำนาจสั่งเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เอง (ฎ.1872/2527 วินิจฉัยทำนองเดียวกัน)

  5. ข้อพิจารณา 1) กรณีที่มีการรวมพิจารณาพิพากษาคดีเข้าด้วยกัน ตาม ป.วิ.พ. และ ป.วิ.อ. ศาลอาจสั่งให้มีการรวมพิจารณาพิพากษาคดีตั้งแต่ 2 สำนวนเข้าด้วยกัน ฎ.133-134/2491 (ประชุมใหญ่) เมื่อศาลสั่งให้การรวมพิจารณาพิพากษาคดี 2 สำนวนเข้าด้วยกันแล้ว การรับฟังพยานหลักฐานต้องพิจารณาพิพากษารวมกัน

  6. แต่ถ้าไม่ได้รวมพิจารณา การฟังพยานหลักฐานต้องแยกจากกัน ฎ.1679/2526 พยานโจทก์ทั้ง 2 สำนวนเป็นชุดเดียวกัน แต่ศาลมิได้สั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน และโจทก์ไม่ได้อ้างสำนวนคดีก่อนเป็นพยานในคดีนี้ จะนำพยานหลักฐานที่นำสืบในคดีก่อนมาใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ ฎ.840/2536 พยานโจทก์เข้าเบิกความในคดีอีกสำนวนหนึ่งก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งรวมพิจารณาพิพากษากับคดีนี้ การเบิกความของพยานดังกล่าว จึงไม่ได้กระทำต่อหน้าจำเลยคดีนี้ ไม่อาจรับฟังในทางเป็นโทษสำหรับจำเลยคดีนี้

  7. 2)กรณีมีการอ้างสำนวนคดีอื่นมาเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้2)กรณีมีการอ้างสำนวนคดีอื่นมาเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ การอ้างสำนวนคดีอื่นมาเป็นพยานหลักฐานย่อมทำได้ แต่ที่สำคัญ คือ ต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานไว้ แต่ปัญหาว่า จะต้องมีการร้องขอให้ศาลเรียกสำนวนคดีอื่นเข้ามาเป็นพยานหลักฐานในสำนวนหรือไม่ มีฎีกาตัดสินไว้ ดังนี้

  8. ฎ.838/2507 เมื่อคู่ความได้แสดงความประสงค์จะอ้างสำนวนคดีเรื่องอื่นไว้ในบัญชีพยาน และเสียค่าอ้างถูกต้องแล้ว แม้จะไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเอาสำนวนคดีดังกล่าวมาผูกรวมกับคดีปัจจุบันก็ตาม แต่เมื่อคดีดังกล่าว ไม่ใช่คดีของศาลอื่น แต่เป็นคดีของศาลเดียวกันนั้นเอง เช่นนี้ศาลเรียกสำนวนนั้นมาประกอบการพิจารณาคดีได้ ฎ.1639/2520 ลำพังเพียงแต่ระบุสำนวนคดีเรื่องอื่นไว้ในบัญชีพยานเท่านั้น ยังไม่ได้มีการร้องขอให้ศาลเรียกสำนวนคดีจากศาลอื่นเข้ามา ยังไม่ถือว่าได้มีการนำสืบสำนวนคดีเรื่องอื่นเข้ามาเป็นพยานหลักฐานในสำนวนคดีนี้ จึงเป็นพยานหลักฐานนอกสำนวนเอามาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ไม่ได้

  9. 3) กรณีที่มีการสืบพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนคำร้อง คำขอต่างๆ ในคดีแพ่ง จะนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาใช้ในคดีหลักได้หรือไม่?? ในคดีแพ่งอาจมีการนำสืบพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนคำร้อง คำขอต่างๆ เช่น คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งในการไต่สวนได้มีการนำสืบพยานหลักฐานไว้แล้ว ปัญหามีว่า จะนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาใช้ในคดีหลักโดยไม่ต้องนำสืบอีกได้ หรือไม่??? มีแนวฎีกา ดังนี้

  10. ฎ.4036–4037/2530 ในชั้นไต่สวนคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา (กฎหมายปัจจุบันไม่ใช้คำว่า “อนาถา” แล้ว) โจทก์และจำเลยต่างระบุสำนวนคดีที่เคยฟ้องร้องกันมาก่อนเป็นพยาน และจำเลยขอให้ศาลนำคดีดังกล่าวมารวมกับคดีนี้เพื่อประกอบการซักค้าน โจทก์เบิกความยอมรับว่าเคยฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทจากจำเลยตามคดีนั้น ทั้งศาลชั้นต้นได้นำสำนวนคดีดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัย ดังนี้ สำนวนคดีนั้นได้เข้าสู่สำนวนคดีนี้ตั้งแต่ชั้นไต่สวนคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแล้ว ศาลจึงชอบที่จะหยิบยกเอาข้อเท็จจริงในสำนวนคดีดังกล่าวมาประกอบ วินิจฉัยคดีนี้ได้ ไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานนอกสำนวน

  11. ฎ.1209/2542 ราคาที่ดินพร้อมอาคารสโมสรและสระว่ายน้ำพิพาทประมาณ 8,710,000 บาท ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะยอมขายให้จำเลยที่ 1 ในราคาเพียง 5,350,000 ภายหลังซื้อขายที่ดินและทรัพย์พิพาทแล้วยังปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้เก็บผลประโยชน์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาให้โจทก์เช่าเป็นเวลา 3 ปีครึ่ง ต่อมาภายหลังจำเลยที่ 1 เข้าเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เองกลับปรากฏว่าจำเลยที่ 1 แบ่งผลประโยชน์ให้แก่โจทก์เดือนละ 12,000 บาท ทุกเดือน ประกอบกับ ก. บุตรของจำเลยที่ 1 เคยเบิกความในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาว่า โจทก์โอนที่ดินและอาคารสโมสรฝากจำเลยที่ 1 ไว้โดยไม่มีการซื้อขายกันจริง แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นการแสดงเจตนาลวง ไม่มีความประสงค์ให้ผูกพันกัน จึงใช้บังคับระหว่างกันไม่ได้ ที่ดินและอาคารพิพาทจึงยังเป็นของโจทก์

  12. สรุปจากหลักของ 2 ฎีกา ดังกล่าวได้ว่า พยานหลักฐานที่ได้มีการนำสืบไว้ในชั้นไต่สวนคำร้องต่างๆ ศาลนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีหลักได้ แต่มีข้อสังเกตตาม ฎ.5755/2531 ซึ่งเป็นการไต่สวนขอให้พิจารณาคดีใหม่

  13. ฎ.5755/2531 ในชั้นไต่สวนคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบแสดงเพียงว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์มิได้เป็นไปโดยจงใจ หรือ มีเหตุอันสมควรเท่านั้น การที่โจทก์นำสืบก้าวล่วงไปถึงฐานะแห่งการเป็นนิติบุคคลและบุคคลผู้เป็นผู้แทนโจทก์กับการมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องดำเนินคดีแทน อันเป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งโจทก์มีภาระการพิสูจน์ในชั้นพิจารณาเช่นนี้ ศาลจะนำพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบในชั้นไต่สวนคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ดังกล่าวมาใช้เป็น พยานหลักฐานในชั้นพิจารณาประเด็นแห่งคดีไม่ได้

  14. อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล วิเคราะห์ฎีกานี้ไว้ว่า “ฎีกาที่ 5755/2531 เป็นการไต่สวนขอพิจารณาคดีใหม่ซึ่งมีประเด็นเพียงว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ ไม่มีประเด็นพัวพันเกี่ยวกับข้อพิพาทในคดีเดิมเลย เพราะฉะนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเอาไว้เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ในคดีเดิมจึงเป็นการนำสืบเกินเลยไปจากประเด็นในชั้นไต่สวนขอพิจารณาคดีใหม่ ไม่ถือเป็นพยานหลักฐานในสำนวน จึงเอามาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีใหญ่ไม่ได้” (มีต่อ)

  15. (ต่อ) “และในกรณีที่ไต่สวนขอพิจารณาคดีใหม่เราถือว่า คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่มีลักษณะเป็นคำฟ้องชนิดหนึ่ง คดีเก่าจบแล้ว ศาลมีคำพิพากษาไปแล้วให้จำเลยแพ้โดยขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อจำเลยมายื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ คำร้องนั้นเป็นคำฟ้องที่เกิดเป็นคดีใหม่ จึงไม่เกี่ยวกับคดีเดิม พยานหลักฐานที่สืบไว้ในการขอพิจารณาคดีใหม่ จึงไม่ใช่พยานหลักฐานในสำนวนคดีเดิมเอามาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีเดิมไม่ได้”

  16. 4) กรณีที่มีไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 162 บัญญัติว่า “ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ให้ศาลไต่สวนมูลฟ้องก่อนประทับรับฟ้อง” มีปัญหาว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องจะนำมาวินิจฉัยข้อเท็จจริงในตอนพิจารณาพิพากษาคดีได้หรือไม่?

  17. ฎ.2644/2535 คำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องที่ว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อแลกเงินสดเป็นพยานเอกสารที่ใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาได้ เมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อแลกเงินสดไปจากโจทก์ จึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงไม่เป็นความผิด ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติภายหลังจากจำเลยออกเช็คพิพาท จำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง ฎ.1455/2537 แม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบในชั้นพิจารณาถึงวันที่โจทก์ได้รู้ความผิดพลาดและรู้ตัวผู้กระทำผิด แต่โจทก์ได้เบิกความเรื่องดังกล่าวไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ศาลนำคำพยานชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาฟังประกอบคำเบิกความของโจทก์ในชั้นพิจารณาได้

  18. ป.วิ.อ. ที่แก้ไขใหม่ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยบัญญัติเพิ่มไว้ใน มาตรา 226/5 “ในชั้นพิจารณาหากมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควร ศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือบันทึกคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่นประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้”ข้อสังเกต การรับฟังพยานหลักฐานประกอบและความหมายของพยานหลักฐานประกอบให้พิจารณาดูตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 ที่แก้ไขใหม่

  19. หลักเกณฑ์การฟังคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง หลักเกณฑ์การฟังคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง 1. เป็นเรื่องที่ศาลมีเหตุจำเป็น/เหตุอันสมควร 2. เป็นดุลพินิจของศาลที่จะรับฟัง 3. น้ำหนักของการรับฟังพยานหลักฐานจะต้องมีพยานหลักฐานอื่นประกอบ 4. เนื่องจากเป็นอำนาจศาลจึงไม่จำเป็นต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานฯ

  20. ป. วิ. อ. มาตรา 226/5 เป็นเรื่องดุลพินิจของศาล ฏ. 7745/2552 คำเบิกความของ ว. และ ส. พยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเป็นพยานเอกสารที่น่าจะพิสูจน์ความผิดหรือบริสุทธิ์ โจทก์ชอบที่จะอ้างพยานหลักฐานได้ ตาม ป. วิ. อ. มาตรา 226 แต่ในการสืบพยานโจทก์ในชั้นพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานทั้งสองปากดังกล่าว เนื่องจากความผิดของโจทก์ที่เพิกเฉยไม่เอาใจใส่ในการส่งหมายเรียกให้พยานหรือนำพยานมาสืบ จึงไม่ใช่กรณีจำเป็นหรือมีตุอันสมควรที่ศาลอาจรับฟังคำเบิกความของ ว. และ ส. ในชั้นไต่สวนประกอบพยานหลักฐานอื่นในชั้นพิจารณาของศาลได้

  21. การรับฟังคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่น การรับฟังคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่น ใช้หลักเกณฑ์เกียวกันกับกรณีคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ข้อสังเกต หากเป็นกรณีที่คู่ความอ้างบันทึกคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว่ในศาลอื่น ต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานฯ แต่ถ้าเป็นการใช้อำนาจของศาลตามมาตรา 226/5 ไม่ต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานฯ

  22. 2.2 สิ่งที่ไม่ใช่พยานหลักฐาน

  23. ข้อเท็จจริงหลายประเภทไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงบางประเภทมีสถานะที่ดีกว่าพยานหลักฐาน เช่น คำรับของคู่ความ (Admission) หรือ ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป (Judicial Notice) ข้อกฎหมายไม่ถือว่าเป็นข้อเท็จจริง แต่ข้อกฎหมายมีอย่างไรต้องฟังยุติตามนั้น ผลที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือ ข้อกฎหมายเป็นสิ่งที่ศาลต้องรู้ไม่ใช่หน้าที่ของคู่ความที่จะต้องนำสืบ

  24. ข้อเท็จจริงบางอย่างไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐาน แต่รับฟังเพื่อวัตถุประสงค์บางประการได้ เช่น รายงานการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติ ศาลรับฟังประกอบดุลพินิจในการลงโทษได้ (ดู ฎ. 2944/2544) แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลจะใช้เป็นพยานหลักฐานวินิจฉัยความผิดในคดีไม่ได้ (ดู ฏ.584/2549)

  25. ประเภทของสิ่งที่ไม่ใช่พยานหลักฐานประเภทของสิ่งที่ไม่ใช่พยานหลักฐาน

  26. 1) กฎหมาย - ถ้าเป็นปัญหาข้อกฎหมายต้องไม่ใช้พยานหลักฐาน - คู่ความไม่ต้องนำสืบพยานหลักฐานไปพิสูจน์ปัญหาข้อกฎหมาย - ศาลต้องใช้ความรู้ในทางกฎหมายของศาลวินิจฉัยเอง ปัญหาข้อกฎหมายประกอบด้วยปัญหา 3 ลักษณะด้วยกัน 1) ข้อพิพาทที่โต้แย้งกันว่ามีกฎหมายบทใดบทหนึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุคดีนั้นหรือไม่ 2) ข้อพิพาทที่โต้แย้งกันว่าความหมายของบทกฎหมายนั้นมีอย่างไร เรียกในทางปฏิบัติว่า ปัญหาการตีความกฎหมาย หรือ ปัญหาการแปลความกฎหมาย 3) ปัญหาเกี่ยวกับผลของการนำบทกฎหมายไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงในคดี เรียกปัญหาข้อกฎหมายลักษณะนี้ว่า ประเด็นหารือบท

  27. ปัญหาข้อกฎหมายทั้งสามลักษณะนี้ โดยหลักกฎหมายลักษณะพยานหลักฐานถือว่าจะนำพยานหลักฐานไปพิสูจน์ไม่ได้ แต่ในทางปฏิบัติ คู่ความอาจแสดงความเห็นทางกฎหมายในคำแถลงการณ์ในฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา และคำแก้ฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา ได้

  28. ความหมายของกฎหมาย หมายถึง บทบัญญัติที่มีผลใช้บังคับอยู่ในประเทศไทย ซึ่งได้แก่ - กฎหมายรัฐธรรมนูญ - พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ประมวลกฎหมาย - พระราชกฤษฎีกา - กฎกระทรวง - กฎหมายขององค์กรส่วนท้องถิ่น เช่น ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เทศบัญญัติ ฎ.1074/2525 ข้อบัญญัติส่วนท้องถิ่นเป็นกฎหมายใช้บังคับแก่คนทั่วไป มิใช่บังคับเฉพาะแต่คนในท้องถิ่นเท่านั้น จึงเป็นกฎหมายที่ศาลต้องทราบเอง โดยโจทก์มิต้องนำสืบความในข้อบัญญัติดังกล่าว

  29. สิ่งที่เป็นปัญหาไม่ชัดเจน คือ กฎหมายลำดับรองที่มีฐานะต่ำกว่ากฎกระทรวง มีกฎหมายแม่บท เช่น พระราชบัญญัติจำนวนไม่น้อยที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารออกกฎหมายลำดับรองในรูปของ ประกาศ ระเบียบ กฎ ข้อกำหนด ข้อบังคับ เช่น - กฎมหาเถรสมาคม (ฎ.295/2516) - ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่อง เขตควบคุมการแปรรูปไม้ (ฎ.313/2518)

  30. -ระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จตาม พ.ร.บ.ประมง (ฎ.1072/2518) - ประกาศกระทรวงเกษตรเรื่องการกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ (ฎ.2023/2520) - ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง อัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน (ฎ.2043/2540)

  31. ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาไทยวินิจฉัยว่า การมีอยู่ของกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะต่ำกว่ากฎกระทรวงนั้นเป็น “ปัญหาข้อเท็จจริง” คู่ความต้องนำสืบในลักษณะของพยานหลักฐาน มีการวิพากษ์วิจารณ์แนวฎีกาดังกล่าวว่า ศาลไทยใช้ระบบกล่าวหามากเกินสมควร เพราะถึงแม้จะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ก็น่าจะจัดอยู่ในประเภทข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป หรือ ซึ่งไม่อาจโต้แย้ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (1) หรือ (2) ได้

  32. ที่เป็นปัญหาตามมาก็คือ ฎ.4072/2545 ฎ.4072/2545 จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงิน ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ฯ มาตรา 30(2) ไม่ตกอยู่ในบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 ข้อกฎหมายดังกล่าวศาลรู้ได้เองโดยโจทก์ไม่ต้องสืบพยานประกอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84

  33. ต่อมามี ฎ. 460/2550 ยืนยันว่ากฎหมายลำดับรองในรูปของประกาศของฝ่ายบริหารเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่คู่ความต้องนำสืบ ฎ. 460/2550 แม้โจทก์จะเป็นธนาคารพาณิชย์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกค้าในอัตราสูงสุด ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และ พ.ร.บ. ธนาคารพาณิชย์ฯ มาตรา 14 ก็ตาม ประกาศดังกล่าวหาใช่ข้อกฎหมายอันถือเป็นเรื่องที่ศาลจะรับรู้เองได้ แต่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่คู่ความมีหน้าที่นำสืบ และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเอกสารเกี่ยวกับเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกจากจำเลยเป็นเอกสารที่ต้องห้ามรับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 ซึ่งโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุด ถือได้ว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินไปจากอัตราปกติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้ ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224

  34. ข้อสังเกต ก. กฎหมายต่างประเทศเป็นปัญหาข้อเท็จจริง บางครั้งมีกรณีที่ต้องปรับใช้กฎหมายต่างประเทศ เช่น กรณีวินิจฉัยคดีตาม พ.ร.บ.ขัดกันฯ (ฎ.530/2508) ดังนั้น ถ้าจะต้องใช้กฎหมายต่างประเทศตัดสินข้อพิพาทในคดี ปัญหาว่า กฎหมายต่างประเทศนั้นมีว่าอย่างไร และที่มีไว้นั้นหมายความว่าอย่างไรเอามาใช้กับคดีนี้แล้วจะเป็นผลอย่างไร ทั้งสามปัญหานี้โดยสภาพเป็นปัญหาข้อเท็จจริง

  35. ข. กฎหมายระหว่างประเทศเป็นปัญหาข้อเท็จจริง กฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ สนธิสัญญา อนุสัญญา ธรรมเนียมปฏิบัติที่มีผลบังคับเช่นกฎหมายระหว่างประเทศ ในทางปฏิบัติของไทยให้ถือว่าปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทุกลักษณะ ปัญหาว่ากฎหมายระหว่างประเทศมีอยู่หรือไม่ อย่างไร ศาลไทยไม่อาจรู้ได้เอง เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้างจะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบทำนองเดียวกับกฎหมายต่างประเทศ (ดู ฎ. 739/2508)

  36. หมายเหตุ มีแนวคิดในทางสากลที่ให้ถือว่ากฎหมายระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายที่ศาลแต่ละประเทศจะต้องยอมรับ ศาลบางประเทศถือว่ากฎหมายระหว่างประเทศเป็นกฎหมายที่ศาลรับรู้เอง

  37. 2) คำคู่ความ คำร้อง คำแถลง ไม่ใช่พยานหลักฐาน คำคู่ความ ได้แก่ คำฟ้อง คำให้การ คำร้องทั้งหลายที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ (ป.วิ.พ.มาตรา 1(5)) ไม่ใช่พยานหลักฐาน ศาลจะนำข้อเท็จจริงจากคำคู่ความไปใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ คำร้อง คำแถลงต่างๆ ที่คู่ความยื่นเข้ามาระหว่างพิจารณาไม่ใช่พยานหลักฐาน ในคดีนั้น เพราะตามสภาพไม่ใช่พยานหลักฐานที่ได้มีการนำสืบเข้าในคดี

  38. สรุป คำคู่ความ คำร้อง คำแถลง ซึ่งเป็นการรับข้อเท็จจริงที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้าง มีสถานะดีกว่าพยานหลักฐาน เพราะ ข้อเท็จจริงต้องยุติตามคำรับนั้น ไม่อาจนำสืบพยานหลักฐานเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นใด มีฎีกาสนับสนุนจำนวนมาก เช่น

  39. ฎ.1225/2508 เมื่อศาลสอบถามและโจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกัน ข้อเท็จจริงที่แถลงรับนั้นฟังเป็นยุติ ไม่จำต้องสืบพยานกันต่อไป ฎ.4320/2540 เมื่อจำเลยยอมรับว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิสืบพยาน แต่เมื่อจำเลยรับข้อเท็จจริงแล้ว ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้ได้

  40. ฎ.3504/2542 เมื่อข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ตามคำรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์จริง โจทก์จึงไม่จำต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่จำเลยรับแล้ว การที่ศาลล่างนำพยานหลักฐานมาฟังข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งคำรับจึงไม่ชอบ หมายเหตุ เรื่องคำรับนี้มีปัญหาที่จะต้องพิจารณาอีกมาก ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียดเมื่อถึงคำอธิบายเรื่อง “คำรับ”

  41. 3) คำแปลเอกสารภาษาต่างประเทศมิใช่พยานหลักฐาน เมื่อมีการนำเสนอพยานเอกสารภาษาต่างประเทศเป็นพยานหลักฐาน กฎหมายบังคับให้ต้องแปลเป็นภาษาไทยสิ่งที่เป็นพยานหลักฐาน คือ เอกสารภาษาต่างประเทศ คำแปลเป็นภาษาไทยไม่ใช่พยานหลักฐาน (ดู ฎ.3698/2545) เมื่อคำแปลไม่ใช่พยานหลักฐานจึงไม่จำต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยาน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 88 และไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารตาม มาตรา 90

  42. 4) รายงานของพนักงานคุมประพฤติ มิใช่พยานหลักฐาน ตาม พ.ร.บ.วิธีการดำเนินคุมประพฤติฯ พ.ศ. 2522 ศาลมีอำนาจสั่งให้พนักงานคุมประพฤติไปสืบเสาะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวจำเลย เพื่อใช้ประกอบดุลพินิจของศาลในการลงโทษจำเลย ข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลจะใช้เป็นพยานหลักฐานวินิจฉัยความผิดในคดีไม่ได้

  43. ฎ.2944/2544 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจจำเลย ก็เพื่อต้องการทราบข้อเท็จจริงประกอบดุลพินิจว่าสมควรกำหนดโทษแก่จำเลยสถานใด เพียงใด และเพื่อกำหนดวิธีการหรือเงื่อนไขอันสมควรที่จะปฏิบัติต่อจำเลยต่อไปเท่านั้น มิใช่มีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบพยานว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ทั้งศาลก็ไม่มีอำนาจสั่งให้พนักงานคุมประพฤติปฏิบัติ เช่นนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติว่าการกระทำของจำเลยที่พา น.ผู้เยาว์ไปเสียจากอำนาจปกครองของมารดาก็เพื่อประสงค์จะพา น.ไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา จึงไม่ใช่การพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร อันจะเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 319 วรรคแรก

  44. ข้อเท็จจริงดังกล่าวแม้จะเป็นความจริงก็เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบในชั้นพิจารณาให้ปรากฏต่อศาลแม้ว่า มาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ. วิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญาฯ จะให้อำนาจศาลในการรับฟังรายงานของพนักงานคุมประพฤติโดยไม่ต้องมีพยานประกอบก็ตาม แต่ก็เป็นการรับฟังเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องโทษและวิธีการที่จะดำเนินการแก่จำเลยเท่านั้น จะนำข้อเท็จจริงจากรายงานของพนักงานคุมประพฤติมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้

  45. ตาม ป.วิ.อ. ศาลมีหน้าที่ต้องพิจารณาว่าจะลงโทษจำเลยได้หรือไม่ แม้ในคดีที่จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยานตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 ก็ตาม แต่หากยังไม่แน่ใจว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่แล้ว ศาลจะสืบพยานต่อไปก็ได้ มิใช่ต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยเสียทีเดียว และมาตรา 228 ยังให้ศาลมีอำนาจโดยพลการที่จะสืบพยานได้ด้วย เมื่อปรากฏจากรายงานของพนักงานคุมประพฤติว่าการกระทำของจำเลยขัดแย้งกับคำฟ้องของโจทก์และคำให้การรับสารภาพของจำเลย จึงสมควรสืบพยานเพิ่มเติมต่อไป

  46. ฎ.7950/2549 บทบัญญัติ ป.วิ.อ. มาตรา 176 มิได้หมายความว่าเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพแล้วจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามมาตรา 185 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิจารณารายงานการสืบเสาะและพินิจแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่แน่ชัดว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 หรือประเภท 3 จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมในประเด็นที่ว่าของกลางเป็นยาเสพติดประเภทใดย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่จะกระทำได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208(1)

More Related