1 / 114

The Child with Respiratory dysfunction

The Child with Respiratory dysfunction. อ. นภิสส รา ธี ระเนตร. วัตถุประสงค์. เมื่อ นักศึกษาเรียนเรื่องนี้จบแล้ว จะมีความสามารถดังนี้

thomasjames
Download Presentation

The Child with Respiratory dysfunction

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. The Child with Respiratory dysfunction อ. นภิสสรา ธีระเนตร

  2. วัตถุประสงค์ • เมื่อนักศึกษาเรียนเรื่องนี้จบแล้ว จะมีความสามารถดังนี้ 1. อธิบายความหมาย สาเหตุ พยาธิสรีรภาพ อาการและอาการแสดง การวินิจฉัยโรค การรักษาและการพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง และโรคเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจได้ 2. บอกความแตกต่างทางพยาธิสรีรภาพ อาการและอาการแสดง การวินิจฉัยโรค การรักษาและการพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง และโรคเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจได้ 3. ใช้กระบวนการพยาบาลในการวางแผนการพยาบาลได้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำหนดได้

  3. บทนำ • ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับทางเดินหายใจในเด็ก ทั้งที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ฉุกเฉิน วิกฤต และเรื้อรัง ที่เป็นปัญหาสำคัญและพบบ่อย ได้แก่การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น กลุ่มอาการครูพ การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น ปอดอักเสบ ความผิดปกติเรื้อรังของทางเดินหายใจเช่น หอบ ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวสามารถทำให้เด็กเกิดภาวะวิกฤตและนำไปสู่การเสียชีวิตหรือพิการได้

  4. ปัจจัยที่ทำให้เด็กมีความผิดปกติของทางเดินหายใจได้ง่ายปัจจัยที่ทำให้เด็กมีความผิดปกติของทางเดินหายใจได้ง่าย • ปัจจัยด้านเด็ก - กายวิภาคและสรีรวิทยาทางเดินหายใจของเด็ก - ภาวะทุพโภชนาการ • ปัจจัยอื่นๆ เช่น ทารกกลืนไม่ดี • สิ่งแวดล้อม

  5. การฟังเสียงปอด • เสียงอึ๊ด (rhonchi) เป็นเสียงผิดปกติที่เกิดจากอากาศผ่านหลอดลมที่ผิวขรุขระเนื่องจากหลอดลมบวม หรือมีเสมหะเหนียวติดอยู่ที่หลอดลมเป็นแห่งๆ เสียงจะดังต่อเนื่อง พบในรายที่มีการอักเสบของหลอดลม

  6. 2. เสียงวี๊ด(wheezing) • เกิดจากมีพยาธิสภาพในหลอดลม อาจเป็นการหดเกร็ง บวมหรือคั่งค้างของเสมหะ อากาศหายใจผ่านหลอดที่ตีบแคบได้ยินเสียงชัดในช่วงเวลาที่หายใจออก จะหายใจออกยาวกว่าหายใจเข้า เนื่องจากต้องออกกำลังให้ผ่านหลอดลมที่ตีบแคบเล็กจากการอักเสบ พบในเด็กที่เป็นหืดหรือติดเชื้อในหลอดลม

  7. 3. เสียงกรอบแกรบ (crepitation) • เป็นเสียงที่เกิดเมื่อลมหายใจผ่านน้ำเมือกในหลอดลมฝอยหรือปอดเพื่อดันให้ถุงลมโป่งออก จะได้ยินเสียงกรอบแกรบคล้ายใบไม้แห้งเสียดสีกันตรงตำแหน่งที่มีการอักเสบ จะได้ยินเสียงชัดตอนใกล้จะสุดของเสียงหายใจเข้า

  8. 3.1 เสียงกรอบแกรบแบบละเอียด (fine crepitation) เกิดในทางผ่านลมหายใจขนาดเล็ก ได้แก่ หลอดลมฝอย และถุงลมปอด ได้ยินชัดตอนสุดท้ายของการหายใจเข้า 3.2 เสียงกรอบแกรบขนาดกลาง (medium crepitation) เกิดในทางผ่านหลอดลมขนาดกลางคือ ส่วนปลายของหลอดลมขนาดใหญ่ มักได้ยินตอนสุดท้ายของหายใจเข้า 3.3 เสียงกรอบแกรบหยาบ (coarse crepitation) ได้ยินเสียงในหลอดลมคอและหลอดลมขนาดใหญ่ ได้ยินทั้งขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก

  9. 4. เสียงฮืด(stridor) • เป็นเสียงที่เกิดจากลมหายใจผ่านทางเดินหายใจขนาดใหญ่ที่แคบลง ซึ่งเกิดจากการตีบแคบของกล่องเสียงและหลอดลมขนาดใหญ่ ได้ยินชัดในช่วงหายใจเข้ามากกว่าหายใจออก (inspiratory stridor) สามารถได้ยินโดยไม่ต้องใช้หูฟัง

  10. VDO ฟังเสียงปอด

  11. Nursing Care of the Child with Respiratory Tract Infection • 1. การติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน (Upper respiratory tract infection : URI) 1.1 โรคหวัดหรือจมูกอักเสบ (Common cold, Acute rhinitis, Coryza)เป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก และเด็กมักเป็นหวัดได้บ่อยๆ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบบ่อยคือ Rhinovirus, Adenovirus, Parainfluenza virus และ Respiratory syncytial virus (RSV)

  12. พยาธิสรีรภาพ • เยื่อบุจมูกจะบวมแดง โดยมี cell infiltration และมีการหลุดลอกของเยื่อบุผิวจมูก อาจจะมีคออักเสบหรือกล่องเสียงอักเสบร่วมด้วย ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้นเยื่อบุผิวจมูกจะเจริญงอกขึ้นใหม่ อาการและอาการแสดง • ไข้ นํ้ามูกใส ต่อมาจะมีนํ้ามูกไหลมากขึ้น แน่นคัดจมูก หายใจไม่สะดวก ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เด็กเล็กมักจะมีอาการกระสับกระส่าย ไม่ยอมดูดนมและอาจพบอาการในระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะท้องเสีย สำหรับเด็กโตอาจมีเพียงไข้ตํ่าๆ ไอ จาม คัดจมูก นํ้ามูกใส และคอแห้ง

  13. ภาวะแทรกซ้อน หูชั้นกลางอักเสบ (พบได้บ่อย)**, ไซนัสอักเสบ, ปอดอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรียซํ้า • การวินิจฉัย จากอาการและอาการแสดงและควรแยกจากจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้ ซึ่งจะมีอาการคัน คัดจมูก นํ้ามูกไหลบ่อย ๆ มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว และตอบสนองได้ดีต่อยา Antihistamine และ Steroid

  14. การรักษา 1. รักษาตามอาการ ให้ยาลดไข้ ลดการบวมของเยื่อบุจมูก โดยให้ Antihistamine และ Decongestant การให้ยาหยอดจมูก การล้างจมูก** 2. รักษาเฉพาะ การให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซํ้า เช่น Penicillin

  15. โรคคออักเสบเฉียบพลัน (acute pharyngitis) • เป็นการติดเชื้อบริเวณคอหอย อาจรวมถึงการอักเสบที่ต่อมทอนซิล มักพบในเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป และและพบบ่อยในเด็กอายุ 6-12 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบบ่อยคือ Rhinovirus, Para influenza virus และ RSV ส่วนคออักเสบเฉียบพลันจากเชื้อแบคทีเรีย มักเกิดจาก Group A β-hemolytic streptococci

  16. พยาธิสรีรภาพ • ผู้ป่วยเด็กจะมีการอักเสบของเยื่อบุคอบริเวณ Posterior pharynx ตรวจพบว่ามีสีแดง (hyperemia) และมีการบวมโตของต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ ถ้าเยื่อบุจมูกและคอแห้งมาก

  17. อาการและอาการแสดง • แบคทีเรีย อาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันคือ ไข้สูง เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก บางครั้งเสียงแหบ อาจหนาวสั่น หรือปวดเมื่อยตามตัว กล้ามเนื้อ ปวดท้อง คัดจมูก น้ำมูกไหล พบหนองสีขาวบริเวณทอนซิลและคอหอยด้านหลัง ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตและปวด • ไวรัสอาการจะค่อยเป็นค่อยไป มีไข้ต่ำๆ ไม่เจ็บคอมาก คอแดงแต่ไม่มีหนอง ต่อมน้ำเหลืองไม่โตและหายเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์

  18. การวินิจฉัย อาการและอาการแสดงการตรวจร่างกาย การตรวจนับเม็ดเลือด และการเพาะเชื้อจากคอ • การรักษา 1. รักษาตามอาการ ให้ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวดศีรษะ 2. รักษาเฉพาะ ถ้าคออักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำลายเชื้อโดยให้ยาปฏิชีวนะ เช่นPenicillin,Erythromycin และให้ติดต่อกันนาน 10 วัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันโรคไตอักเสบ โรคไข้รูมาติกเฉียบพลัน**

  19. หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media) • พบได้บ่อยในเด็ก โดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็ก จากการเป็นหวัดอยู่นาน โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง การอักเสบมักจะลุกลามมาทาง Eustachian tube หรืออาจจะมาจากส่วนอื่นของระบบหายใจ เช่น ไซนัส ต่อมอะดีนอยด์ ต่อมทอนซิล • เชื้อที่พบบ่อยคือ เชื้อ Pneumococci ,Hemophilusinfluenzaeรองลงมาได้แก่ เชื้อ β-hemolytic streptococci group A. ส่วนเชื้อไวรัสอาจเกิดจาก RSV.

  20. พยาธิสรีรภาพ • เริ่มจากมีการอักเสบ บวมแดงของเยื่อบุในหูชั้นกลาง และมีนํ้าใสๆ (serous exudate) ต่อมาเปลี่ยนเป็นหนอง ทำ ให้ Eustachian tube อุดตัน และความดันในหูชั้นกลางเพิ่มขึ้น เยื่อแก้วหูจะโป่งออก และแตกทะลุทำให้หนองไหลออกมาตลอดเวลาจนกว่าการอักเสบจะหมดไป

  21. อาการและอาการแสดง • ผู้ป่วยจะมีไข้สูง และปวดหูมาก เด็กโตจะบอกได้ชัดเจน แต่เด็กเล็กจะแสดงโดยร้องไห้กวนกระสับ กระส่ายพักไม่ได้ ชอบเอามือดึงหูบ่อยๆ เมื่อเยื่อแก้วหูแตกทะลุและมีหนองไหลออกมา อาการปวดหู และไข้จะลดลง

  22. ภาวะแทรกซ้อน กระดูกมาสตอยด์อักเสบ (พบได้บ่อย) สูญเสียการได้ยิน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หูชั้นในอักเสบ • การวินิจฉัย ประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน อาการและอาการแสดงการตรวจร่างกาย การเพาะเชื้อจากนํ้าหรือหนองในหู

  23. การรักษา 1. ทำลายเชื้อโดยให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Ampicillin โดยการฉีด หยอดหรือล้างหู 2. บรรเทาอาการปวดหู โดยให้ยาแก้ปวด หรือเจาะเยื่อแก้วหู 3. เจาะเยื่อแก้วหู (Myringotomy) เพื่อระบายหนองที่อยู่ในหูชั้นกลาง 4. ลดไข้โดยให้ยาลดไข้ 5. ลดการบวมในหูชั้นกลาง โดยให้ยา Decongestant และ Antihistamine

  24. โรคต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) • โรคต่อมทอนซิลอักเสบพบได้บ่อยในเด็กอายุตํ่ากว่า 9 ปี เชื้อที่เป็นสาเหตุได้บ่อยที่สุดคือ β hemolytic streptococi group A. • พยาธิสรีรภาพ คออักเสบ แดง ต่อมทอนซิลโต และมีหนอง

  25. อาการและอาการแสดง • ไข้สูง อ่อนเพลีย ซึม อาเจียน เด็กโต จะบ่นว่าเจ็บคอและกลืนลำบาก เด็กเล็ก จะไม่ยอมรับประทานอาหาร ในรายที่มีอาการของต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังจะมีอาการเจ็บคออยู่เสมอ กลืนลำบาก หายใจลำบาก และต่อมนํ้าเหลืองบริเวณคอโต

  26. การวินิจฉัย อาการและอาการแสดงการตรวจหาเชื้อโดยการทำ Throat swab culture • การรักษา 1. ให้พักผ่อนและดื่มนํ้าอย่างเพียงพอ 2. ให้ยาลดไข้ แก้ปวด 3. ให้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย 4. ทำ Tonsillectomy

  27. การผ่าตัดทอนซิล(Tonsillectomy) ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้คือ • ภาวะการเสียเลือดมาก (Hemorrhage) • ภาวะการสูญเสียน้ำ (Dehydration)

  28. การวินิจฉัยการพยาบาลหลังผ่าตัดTonsillectomyการวินิจฉัยการพยาบาลหลังผ่าตัดTonsillectomy เกิดความไม่สุขสบายจากการเจ็บปวดแผลบริเวณที่ทำผ่าตัด : เพื่อช่วยให้สุขสบาย บรรเทาอาการเจ็บปวด

  29. เกิดภาวะพร่องของสารน้ำและสารอาหารในร่างกาย :เพื่อให้รับสารน้ำและอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

  30. การปฏิบัติการพยาบาล • เพื่อช่วยให้สุขสบาย บรรเทาอาการเจ็บปวด • ประเมินความเจ็บปวดและให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ ติดตามดูอาการแทรกซ้อนภายหลังให้ยา • ประคบเย็นบริเวณลำคอด้วย Ice collar หรือ Cold pack Gel เพื่อบรรเทาอาการปวดและช่วยห้ามเลือด** • ในกรณีไม่คลื่นไส้อาเจียนแนะนำให้รับประทานของเย็น เช่นไอศกรีม น้ำเย็น นมเย็น เพื่อช่วยลดอาการบวมในลำคอ และทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว จะบรรเทาอาการปวดได้ แต่ห้ามอาหารที่มีโทนสีแดง ชมพู หรือน้ำตาล เพื่อให้แยกการประเมินภาวะเลือดออกได้**

  31. เสี่ยงต่ออันตรายจากการเสียเลือด : ไม่ให้เกิดอันตรายจากการเสียเลือดมากเกินไป ดูแลในเรื่อง V/S, Consious, N/V

  32. เสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อ :ลดภาวะการติดเชื้อ

  33. ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลผู้ป่วยและการพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลผู้ป่วยและการพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน 1. เสี่ยงต่อทางเดินหายใจอุดกั้นจากการบวมของเยื่อบุจมูก และมีการสร้างเสมหะมากขึ้น 2. เสี่ยงต่อการได้รับสารนํ้าและอาหารไม่เพียงพอ 3. มีความไม่สุขสบายจาก ไข้ หรือเจ็บคอ หรือคัดจมูก 4. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน

  34. คำแนะนำการปฏิบัติตนเมื่อกลับบ้านคำแนะนำการปฏิบัติตนเมื่อกลับบ้าน • เสี่ยงต่ออันตรายจากภาวะแทรกซ้อนหลังกลับบ้าน 1) มีความรู้ในการดูแลตนเองเมื่อกลับไปอยู่บ้าน 2) การรักษาความสะอาดปากและคอ 3) รับประทานอาหาร

  35. หลีกเลี่ยงการใช้เสียงดังเกินไปหลีกเลี่ยงการใช้เสียงดังเกินไป • หลีกเลี่ยงจากคนที่เป็นโรค

  36. ครูพ(croup) • เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบและบวมของกล่องเสียง และหลอดลมคอ โดยเฉพาะตำแหน่งอยู่ใต้กล่องเสียง (subglottic airway) และเป็นสาเหตุของการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบนแบบเฉียบพลัน • มักเป็นในเด็กที่อายุระหว่าง 6 เดือน-3 ปี

  37. พยาธิสรีรภาพ ไวรัสที่เป็นสาเหตุจะลุกลามจากเซลล์เยื่อบุผิวของจนมูกและคอหอยที่กล่องเสียงและหลอดลมคอ ทำให้มีการอักเสบและบวมทั่วๆไป เกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจเฉียบพลัน • อาการและอาการแสดง ผู้ป่วยเด็กมักมีอาการนำของโรคหวัด เช่น น้ำมูก ไอเล็กน้อยและไข้ต่ำ จากนั้นจะเริ่มมีอาการไอเสียงก้อง (อาการเด่นในทารกและเด็กเล็ก) เสียงแหบ (อาการเด่นในเด็กโต) และหายใจมีเสียง stridor ซึ่งมักเกิดในช่วงหายใจเข้า • ในรายที่อาการรุนแรงมากจะมีอาการหอบ หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว ปีกจมูกบาน อกบุ๋ม มีเสียง stridor ทั้งในช่วงหายใจเข้าและหายใจออก กระสับกระส่าย และมีอาการเขียวได้

  38. การวินิจฉัย 1. จากการซักประวัติ รวมทั้งอาการและอาการแสดง 2. การตรวจร่างกาย 3. การถ่ายภาพรังสีที่คอในท่า posterior-anterior พบลักษณะที่เรียนกว่า “classic steeple sign”หรือ “pencil sign”

  39. croup score** คะแนน < 4 = ทางเดินหายใจอุดกั้นเล็กน้อย 4-7 = ทางเดินหายใจถูกอุดกั้นปานกลางถึงมาก คะแนน > 7 = มีการอุดกั้นทางเดินหายใจรุนแรงมาก มักต้องใส่ท่อหลอดลม

  40. การรักษา croup score < 4 ไม่ต้องนอนในรพ. • รักษาตามอาการ ให้ดื่มน้ำมากๆ • อาจให้ยาแก้ไอขับเสมหะหรือยาขยายหลอดลม (ถ้ามีอาการเกร็งตัวของหลอดลมร่วมด้วย) • ให้ ATB ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ

  41. croup score 4-7 ควรต้องรับไว้ในรพ. • ให้O2ที่มีความชื้นสูง และจัดให้อยู่ในที่อากาศเย็น** • ดูแลใกล้ชิด รบกวนผู้ป่วยให้น้อยที่สุด ให้ rest • ให้IVF • ยาขับเสมหะ ขยายหลอดลม ลดไข้ • ให้ ATB ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย • ฉีดⓥ(dexa) +พ่น adrenaline

  42. Oxygen ที่มีความชื้นสูงและเย็น

  43. Croup score > 7 • หรืออาการรุนแรงมากขึ้นควรพิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจ หรือบางรายอาจต้องเจาะคอ

  44. ข้อวินิจฉัยการพยาบาล ขาดประสิทธิภาพในการทำทางเดินหายใจให้โล่ง เนื่องจากมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน • ประเมินลักษณะทางคลินิก • รบกวน ptน้อยที่สุด • ดูแลรับออกซิเจนตามแผนการรักษา วัด O2 sat • ดูแลด้านจิตใจเด็กและครอบครัว

  45. 2.การติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่าง (Lower respiratory tract infection : LRI) • หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchitis) เป็นการอักเสบของหลอดลมใหญ่อย่างเฉียบพลัน มักจะมีการอักเสบของทางหายใจ ส่วนอื่นร่วมด้วยเช่น จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ อาจเกิดตามหลังการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน พบบ่อยในเด็กโตและวัยรุ่น

  46. สาเหตุ • Allergy • Infection: RSV, Parainfluenza,Hemophilus influenza, Streptococcus pneumoniae. • Chemical irritation

  47. พยาธิสรีรภาพ การอักเสบจะเริ่มที่หลอดลมขนาดใหญ่ โดยมีการบวมของเยื่อบุชั้น mucosa ต่อมาเซลที่สร้างmucous มีจำนวนมากขึ้นและขนาดโตขึ้นทำ ให้มีเสมหะมาก และมีลักษณะใส เม็ดเลือดขาวชนิด PMN จะเข้าไปในผนังหลอดลมและท่อหลอดลม รวมกับมีการทำลายและหลุดลอกของเยื่อบุชนิด ciliated ทำให้ลักษณะเสมหะเปลี่ยนเป็นหนอง

  48. อาการและอาการแสดง เริ่มมีอาการหวัดนำ มาก่อน ประมาณ 2-3 วัน แล้วมีอาการไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะต่อมาไอมีเสมหะ ระยะแรกเสมหะจะมีลักษณะใส แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหนอง บางรายอาจเจ็บบริเวณกระดูกหน้าอก และเจ็บหน้าอกด้วยถ้าไอมาก • ภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อแบคทีเรียซํ้า, Emphysema, ปอดแฟบ

  49. การวินิจฉัย จากอาการทางคลินิกการตรวจร่างกาย ฟังเสียงที่หลอดลม จะได้ยินทั้ง Rhonchi /crepitation /Wheezing การย้อมและเพาะเชื้อจากเสมหะ การถ่ายภาพรังสีทรวงอก พบ hyperinflation (ปริมาตรปอดใหญ่ขึ้นสังเกตจาก AP diameter) • การรักษา 1. รักษาตามอาการเช่น ให้สารนํ้าอย่างเพียงพอ ช่วยให้เสมหะระบายได้ดีทำกายภาพบำบัดทรวงอก การให้ฝอยละอองไอนํ้า ให้ยาละลายเสมหะ ให้ยาขยายหลอดลม 2. รักษาเฉพาะ ให้ยาปฏิชีวนะที่จำเพาะต่อเชื้อที่เป็นสาเหตุ

  50. หลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลัน (Acute bronchiolitis) • สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบบ่อยคือ RSV พบในเด็กอายุ 6ด.- 2 ปี • พยาธิสรีรภาพ** การติดเชื้อบริเวณหลอดลมฝอย ทำให้เยื่อบุหลอดลมฝอยอักเสบ บวม มีเสมหะและเซลที่ตายแล้วคั่งค้างอยู่ในหลอดลมฝอย อาจมีการหดเกร็งของหลอดลมร่วมด้วย ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ

More Related