90 likes | 200 Views
ดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์. บทที่ 7 วันที่ 16 สิงหาคม 2014. “ เรา ให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือ ให้ รักซึ่งกัน และกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่าง นั้น ”. ยอห์น 13:34. พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตเช่นไร ?.
E N D
ดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ บทที่ 7 วันที่ 16 สิงหาคม2014
“เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” ยอห์น 13:34
พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตเช่นไร?พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตเช่นไร? “คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และเรื่องที่ว่าพระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียนอย่างไร เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์” (กิจการ 10:38) พระเยซูทรงสำแดงความรัก การห่วงใย การรับใช้ผู้อื่นอยู่เสมอ ตั้งแต่เมื่อพระองค์ทรงเป็นเด็กจนกระทั่งถูกตรึงกางเขน พระองค์ไม่เคยคิดถึงความต้องการในชีวิตของตนเองก่อนเลย ความรักและความเมตตากรุณาที่มั่นคงของพระองค์เป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตของพระองค์: “พระองค์ทรงรักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด” (ยอห์น13:1) หลักการนี้ที่พระองค์ทรงกระทำนั้น คือสิ่งเดียวกันที่พระองค์มีพระประสงค์ที่จะให้ผู้เชื่อในพระองค์กระทำตาม: รักเพื่อนบ้านของตนเอง รักที่จะรับใช้ผู้อื่น รักศัตรูของท่าน
รักเพื่อนบ้านของท่าน “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่พวกท่านต้องการให้พวกเขาปฏิบัติต่อท่าน เพราะนี่คือธรรมบัญญัติและคำสั่งสอนของบรรดาผู้เผยพระวจนะ” (มัทธิว 7:12) พระเยซูคริสต์ได้ทรงสรุปพันธสัญญาเดิมว่า—จงรักเพื่อนบ้านของท่าน— ในหลายๆ ครั้ง และพระองค์ก็มีชีวิตตามที่บันทึกไว้ในพันธสัญญาเดิม • ชาวยิวคิดว่ามีแต่ชาวยิว (หรือเพื่อนของเขาเท่านั้น) ที่คือเพื่อนบ้านของเขา แต่พระเยซูได้ทรงเล่าเรื่อง “สะมาเรียใจดี” เพื่อแก้ไขความคิดของพวกเขา • พระองค์ทรงสอนเราทั้งชายและหญิงให้ใช้ “กฎทองคำ” (มัทธิว7:12) เราจะต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
“ไม่ใช่แค่เพียงคำพูด, ไม่ใช่เพียงแค่เป็นอาชีพ, หรือเป็นเพียงคำอ้างที่จะแสดงถึงความเคร่งครัดต่อพระเจ้า, สิ่งเหล่านี้มิได้คุณค่าต่อพระเจ้า, แต่เป็นการงานแห่งความชอบธรรมที่เปิดเผยต่อพระลักษณะที่เหมือนกับพระคริสต์ ซึ่งคือการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้าและตอบสนองต่อความต้องการของเพื่อนมนุษย์อย่างรวดเร็วและจริงจัง, และช่วยเหลือพวกเขาอย่างไม่หยุดยั้ง, ท่านทั้งหลายเชื่อในหลักการนี้เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าเชื่อหรือเปล่า? การเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้าหมายถึงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้กำลังตกทุกข์ได้ยากและทุกข์ทรมานในโลกนี้, โดยไม่จำกัดว่าเขาจะนับถือศาสนาหรือมีความเชื่อใดก็ตาม และถ้าผู้ใดกระทำสิ่งนี้, คือผู้ที่ภักดีต่อหลักการแห่งความจริงของพระเจ้า และมีชีวิตอยู่ด้วยข่าวประเสริฐนั้น” E.G.W. (The Review and Herald, April 9, 1908)
มีความรักที่จะรับใช้ผู้อื่นมีความรักที่จะรับใช้ผู้อื่น “เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ต้อนรับเรา เราเปลือยกายพวกท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็มาดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านก็มาเยี่ยมเรา’” (มัทธิว 25:35-36) มีความรักที่จะรับใช้ผู้อื่นคือหัวใจหลักของพันธกิจของพระคริสต์ พระองค์แสดงความเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยาก แสดงความรักห่วงใยต่อความต้องการของผู้อื่นคือหัวใจหลักของชีวิตของผู้เชื่อทุกคน “ธรรมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระบิดานั้น คือการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก” (ยากอบ 1:27)
มีความรักต่อศัตรูของท่านมีความรักต่อศัตรูของท่าน “แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน” (มัทธิว 5:44) เราจะแสดงความเอาใจใส่ต่อศัตรูของท่านอย่างไร? • เมื่อเราแสดงความรักต่อศัตรูของเรา นั่นหมายความว่าเราได้อยู่เหนือมาตรฐานอันตกต่ำของโลกแห่งความบาปนี้ ซึ่งนั่นคือหนทางที่เราจะสำแดงให้เห็นว่าเราได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระบิดาบนสวรรค์เช่นไร
มีชีวิตที่เหมือนกับพระเยซูทรงกระทำมีชีวิตที่เหมือนกับพระเยซูทรงกระทำ “ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์” (1ยอห์น 2:6) เราสามารถรักศัตรูของเราเพราะพระเจ้าทรงรักเราก่อน, แม้กระทั่งเราเป็นศัตรูของพระองค์ก็ตาม (โรม5:10) นี่คือความจริงที่เราจะต้องตระหนักและเรียนรู้ถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา, ซึ่งนั่นก็จะแสดงถึงความรักของเราที่จะหลั่งไหลผ่านจากเราไปยังผู้เป็นศัตรูของเรา ในทุกๆ วันของเราไม่ได้ต้องการเพียงแค่การยอมรับการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อเราเท่านั้น แต่เราต้องยอมจำนนต่อพระองค์และเข้าสนิทกับพระองค์ในแต่ละวัน ในชีวิตของพระคริสต์นั้นพระองค์มิได้แสวงหาหนทางเพื่อชีวิตของพระองค์เอง แต่เพื่อกระทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาบนสวรรค์ (ยอห์น5:30), ด้วยเหตุนี้เราเองก็เช่นกันจะต้องกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะถ้าปราศจากพระองค์แล้ว เราก็จะกระทำสิ่งใดไม่ได้เลย
“เมื่อชีวิตของเราผ่านไปเรื่อยๆ จะทำให้เรามีโอกาสมากมายในการได้รับใช้ผู้อื่น รอบๆ ตัวเราประตูแห่งการรับใช้ได้ถูกเปิดออกเพื่อพันธกิจของพระเจ้า เสมอ โดยโอกาสที่จะใช้ของประทานแห่งการพูดเป็นพยานเราสามารถกระทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย คำพูดนั้นจะมีประสิทธิภาพและทรงอำนาจเมื่อเราสำแดงถึงความรักและความเมตตาของพระคริสต์ออกมา เงิน, อิทธิพล, เวลา และเข้มแข็งต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นของประทานที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเราเพื่อเราจะได้สำแดงความสัตย์ซื่อต่อพระผู้สร้าง” E.G.W. (This Day with God, February 29)