1 / 172

หน่วยการเรียนรู้ที่ 11

หน่วยการเรียนรู้ที่ 11. เคมีอินทรีย์. ครูจิราพร การรักษ์. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon compound). สารประกอบของคาร์บอน

teneil
Download Presentation

หน่วยการเรียนรู้ที่ 11

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 เคมีอินทรีย์ ครูจิราพร การรักษ์

  2. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon compound) สารประกอบของคาร์บอน • ในสมัยก่อนนักเคมี พบว่าสารที่สกัดได้จากสิ่งมีชีวิต แตกต่างจากสารที่สกัดได้จากสินแร่หรือแร่ เช่น ความสามารถในการติดไฟ จุดหลอมเหลว การละลาย และ ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ เป็นต้น ดังนั้นจึงได้แบ่งสารประกอบที่รู้จักทั้งหมดออกเป็น 2 ประเภท คือ สารอนินทรีย์ (Inorganic compound) เป็นสารประกอบที่ได้จากสินแร่ และ สารอินทรีย์ (Organic compound) เป็นสารที่มาจากสิ่งมีชีวิต และเชื่อว่าสารอินทรีย์ไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ในห้องปฏิบัติการจะต้องได้จากสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

  3. จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1828 เฟรดริช โวเลอร์ Feledrich Wohler) นักเคมีชาวเยอรมันสามารถเตรียมยูเรียได้จากสาร อนินทรีย์ ยูเรียเป็นสารอินทรีย์ที่ได้จากการย่อยสลายโปรตีน ถูกขับออกร่างกาย ปนมากับน้ำปัสสาวะของคนและสัตว์ เตรียมได้จากการเผาแอมโมเนียมไซยาเนต(Ammonium cyanate) ซึ่งเป็น สารอนินทรีย์

  4. NH4CNO H2NCONH2 Ammonium cyanate Urea ตั้งแต่นั้นมาความเข้าใจเรื่องสารอินทรีย์จะต้องมาจากสิ่งมีชีวิตเท่านั้น จึงเปลี่ยนไป และ นักเคมีได้สังเคราะห์สารอินทรีย์ต่างๆ ขึ้นใน ห้องปฏิบัติการจำนวนมาก สารอินทรีย์เป็นสารที่ได้จากสิ่งมีชีวิต หรือสังเคราะห์ขึ้นก็ได้ และพบว่าสารอินทรีย์ทุกชนิดมีธาตุคาร์บอน เป็นองค์ประกอบดังนั้นในปัจจุบัน

  5. เคมีอินทรีย์ สารประกอบอินทรีย์ :สารประกอบที่มีธาตุ C เป็น องค์ประกอบ ทั้งที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตและจากการสังเคราะห์ ขึ้น ยกเว้นสารต่อไปนี้ • ออกไซด์ของคาร์บอน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ • เกลือคาร์บอเนตและไฮโดรเจนคาร์บอเนต เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต • เกลือคาร์ไบด์ เช่น แคลเซียมคาร์ไบด์

  6. เคมีอินทรีย์ • เกลือไซยาไนด์ เช่น โพแทสเซียมไซยาไนด์ • เกลือไซยาเนต เช่น แอมโมเนียมไซยาเนต • สารประกอบของ C บางชนิด เช่น คาร์บอนไดซัลไฟด์ คาร์บอนิลคลอไรด์ • สารที่ประกอบด้วยธาตุ C เพียงชนิดเดียว เช่น เพชร แกรไฟต์ ฟุลเลอรีน สารดังกล่าวเป็นสารอนินทรีย์

  7. เคมีอินทรีย์ เคมีอินทรีย์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับชนิด สมบัติ การ สังเคราะห์และปฏิกิริยาของสารประกอบอินทรีย์

  8. สรุปแนวคิด • สปก.อินทรีย์เป็นสารที่มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบมีทั้งที่เกิดในธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น สาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับชนิด สมบัติและปฏิกิริยาของ สปก.อินทรีย์ เรียกว่า เคมีอินทรีย์

  9. เคมีอินทรีย์ พันธะของคาร์บอน : C อยู่หมู่ 4 มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่า กับ 4 สามารถใช้อิเล็กตรอนร่วมกับอะตอมอื่น ๆ อีก 4 อิเล็กตรอน เกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์ได้ 4 พันธะ และ มีเวเลนต์อิเล็กตรอนครบ 8 ตามกฎออกเตต **การใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน (Sharing electron)**

  10. ตาราง 11.1 ตัวอย่างสารประกอบอินทรีย์บางชนิด สูตรโมเลกุลและโครงสร้างลิวอิส ชื่อสาร สูตรโมเลกุล โครงสร้างลิวอิส อีเทน C2H6 อีทีน(เอทิลีน)C2H4 อีไทน์ C2H2 (อะเซทิลีน)

  11. เคมีอินทรีย์ สารประกอบอินทรีย์ส่วนใหญ่เป็นสารโคเวเลนต์ที่มีธาตุ C และ H เป็นองค์ประกอบหลัก โดยพันธะระหว่าง C กับ C มีทั้งพันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสาม นอกจากนี้ C ยังสามารถสร้างพันธะโคเวเลนต์กับธาตุอื่น ๆ เช่น N O S และแฮโลเจน (X)

  12. เคมีอินทรีย์ การเขียนสูตรโครงสร้างของสาร • สูตรโครงสร้างแบบย่อ : สูตรเคมีที่เขียนแล้วสามารถบอกได้ว่าเป็นสารอินทรีย์ประเภทใด เขียนแสดงหมู่ฟังก์ชันชัดเจนรวมส่วนไม่สำคัญเข้าด้วยกันให้ดูง่าย การเขียนสูตรโครงสร้างแบบย่อ เขียนหมู่ฟังก์ชันก่อนตามด้วยคาร์บอนอะตอมแล้วรวมไฮโดรเจนอะตอมให้ติดกับ

  13. เคมีอินทรีย์ คาร์บอนอะตอม ถ้าได้กลุ่มอะตอมของธาตุเหมือนกันและอยู่ติดกัน หรือติดกับคาร์บอนอะตอมเดียวกันก็ให้รวมเข้าด้วยกัน เช่น 2-เมทิลบิวเทน (C5H12) (CH3)2CHCH2CH3 โครงสร้างแบบย่อ โครงสร้างลิวอิส

  14. เคมีอินทรีย์ • สูตรโครงสร้างแบบ เส้นและมุม(Bond-lineหรือ เส้นพันธะ) : สูตรเคมีที่เขียนโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์เป็นแบบเส้นและมุม โดยใช้เส้นตรงแทนพันธะระหว่างคาร์บอน ถ้ามีจำนวนคาร์บอนต่อกันมากกว่า 2 อะตอม ให้ใช้เส้นต่อกันแบบซิกแซกแทนสายโซ่ของคาร์บอน ที่ปลายเส้นตรงและแต่ละมุมของสายโซ่ แทนอะตอมของคาร์บอนต่ออยู่กับไฮโดรเจนในจำนวนที่ทำให้คาร์บอนมีเวเลนซ์ e- ครบ 8 ถ้าในโมเลกุล

  15. เคมีอินทรีย์ มีหมู่อะตอมแยกออกมาจากสายโซ่ของคาร์บอน ให้ ลากเส้นต่อออกมาจากสายโซ่และให้จุดตัดของเส้นแทน อะตอมของคาร์บอน เช่น เขียนเป็น

  16. เคมีอินทรีย์ ส่วนโมเลกุลที่มีโครงสร้างแบบวง ให้เขียนแสดงพันธะ ตามรูปเหลี่ยมนั้น เช่น เขียนเป็น เขียนเป็น

  17. เคมีอินทรีย์ โครงสร้างหลักของโซ่คาร์บอนมี 3 ประเภท คือ • โครงสร้างของโซ่คาร์บอนเป็นสาย (โซ่ตรง) เป็นโซ่หลักของอะตอมคาร์บอนต่อกันเป็นสายยาว เช่น C4H10 เขียนโครงสร้างได้ดังนี้ CH3-CH2-CH2-CH3

  18. เคมีอินทรีย์ • โครงสร้างของโซ่คาร์บอนเป็นกิ่ง (โซ่กิ่ง) เป็นโซ่หลักของอะตอมคาร์บอนต่อกันแตกกิ่งก้านสาขา เช่น C5H12 สารที่มีโครงสร้างแบบโซ่ตรงหรือโซ่กิ่งเรียกว่า โซ่เปิด CH3-CH-CH2-CH3 CH3

  19. เคมีอินทรีย์ • โครงสร้างของโซ่คาร์บอนขดเป็นวงปิด (โซ่ปิด) เป็นโครงสร้างของโซ่หลักอะตอมคาร์บอนขดเป็นวงปิดจะเป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม เช่น C5H10

  20. ไอโซเมอริซึม (Isomerism) คือ ปรากฏการณ์ที่สารมีสูตรโมเลกุล เหมือนกัน แต่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน และเรียกแต่ละโครงสร้างว่า ไอโซเมอร์ สารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก จะมีจำนวนไอโซเมอร์ น้อยกว่าสารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อมีจำนวนอะตอม ของคาร์บอนเพิ่มขึ้น ก็จะมีจำนวนไอโซเมอร์เพิ่มขึ้น เช่น • C4H10มีจำนวน 2 ไอโซเมอร์ • C5H12มีจำนวน 3 ไอโซเมอร์ • C6H14มีจำนวน 5 ไอโซเมอร์ • C7H14มีจำนวน 9 ไอโซเมอร์

  21. เช่น butane กับ 2-methylpropane ซึ่งมีสูตรโมเลกุล เหมือนกัน คือ C4H10แต่สูตรโครงสร้างต่างกัน คือ CH3-CH2-CH2-CH3 CH3-CH-CH3 (butane) CH3 (2 - methylpropane )

  22. ตาราง สมบัติบางประการของสารที่มีสูตรโมเลกุล C4H10

  23. หลักการเขียนไอโซเมอร์หลักการเขียนไอโซเมอร์ สารอินทรีย์ที่มีคาร์บอนอะตอมประมาณ 3 - 4 อะตอมขึ้นไปสามารถเกิด ไอโซเมอร์ที่มีโครงสร้าง แบบต่าง ๆ กัน และถ้าคาร์บอนอะตอมมากขึ้น ก็จะมี จำนวนไอโซเมอร์เพิ่มขึ้น แต่จะมีจำนวนเท่าไร ไม่มีสูตรที่จะใช้ในการ คำนวณ ที่แน่นอน และจะทราบจำนวนไอโซเมอร์ของสารอินทรีย์ได้ ต้องเขียน และพิจารณาเอง การเขียนไอโซเมอร์ต้องเริ่มจากไอโซเมอร์ที่มีคาร์บอนต่อกัน เป็นสายยาวที่สุดก่อน แล้วจึงลดจำนวนคาร์บอนอะตอมทีละอะตอมลงใน สายยาวของคาร์บอนที่ต่อกัน โดยนำมาต่อเป็นสาขาที่ตำแหน่ง ต่าง ๆ ขณะเดียวกันต้องระวังพิจารณาว่ารูปร่างโครงสร้างที่เขียนซ้ำหรือไม่ การเขียนก็ ให้เขียนเฉพาะ คาร์บอนอะตอมก่อนแล้วจึงเติมไฮโดรเจนที่หลัง แล้วเช็คดูว่า สูตรตรงกับที่โจทย์ให้หรือไม่

  24. รูปแบบการรายงานผลการทดลองรูปแบบการรายงานผลการทดลอง • ชื่อการทดลอง :การจัดเรียงอะตอมของคาร์บอนในสารประกอบอินทรีย์ • วันที่ทำการทดลอง : …………………………….. • สมาชิกกลุ่ม.............................................................. • จุดประสงค์ • ต่อแบบจำลองแสดงโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์แบบต่างๆตามจำนวนอะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจนที่กำหนดได้ • เขียนโครงสร้างลิวอิสของแต่ละไอโซเมอร์ได้ • อธิบายการเกิดไอโซเมอร์และผลของการเกิดไอโซเมอร์ได้

  25. สมมติฐาน: ................................................................... • กำหนดตัวแปร • ตัวแปรต้น............................................. • ตัวแปรตาม........................................... • ตัวแปรควบคุม................................

  26. อุปกรณ์ • แบบจำลองลูกกลมพลาสติกสีดำแทนอะตอมของคาร์บอน 5 ลูก • แบบจำลองลูกกลมพลาสติกสีขาวแทนอะตอมของไฮโดรเจน 12 ลูก

  27. วิธีการทดลอง 1. ใช้แบบจำลองอะตอมที่เป็นลูกพลาสติกกลม โดยให้สีดำแทนอะตอมของคาร์บอน สีขาวแทนอะตอมของไฮโดรเจน และใช้ก้านไม้หรือก้านพลาสติกแทนพันธะ 2. นำลูกกลมสีดำจำนวน 5 ลูกมาต่อกันด้วยก้านพลาสติกให้เป็นสายยาว แล้วต่อลูกกลมสีขาวเข้ากับอะตอมของคาร์บอนให้ครบทุกพันธะบันทึกผลโดยเขียนเป็นโครงสร้างลิวอิส 3. เปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลจากข้อ 2 ให้เป็นแบบโซ่กิ่ง โดยใช้ ลูกกลมและก้านพลาสติกเท่าเดิมบันทึกผลโดยเขียนเป็น โครงสร้างลิวอิส

  28. คำถามท้ายการทดลอง • เมื่อต่อคาร์บอน 5 อะตอมด้วยพันธะเดี่ยวทั้งหมดจะได้กี่ไอโซเมอร์ แต่ละไอโซเมอร์มีโครงสร้างอย่างไร • ถ้าต่อแบบจำลองโดยใช้คาร์บอน 5 อะตอม แต่เปลี่ยนพันธะเดี่ยวเป็นพันธะคู่ 1 พันธะ จะได้กี่ไอโซเมอร์ แต่ละไอโซเมอร์มีโครงสร้างอย่างไร

  29. บันทึกผลการทดลอง

  30. อภิปรายผลการทดลอง • สรุปผลการทดลอง

  31. แบบฝึกหัด 11.1 1. จงเขียนสูตรโครงสร้างแบบย่อกับแบบใช้เส้นและมุม ของสารประกอบอินทรีย์ต่อไปนี้ ก. ข.

  32. ค. ง.

  33. จ. ฉ.

  34. ช. ซ.

  35. 2. จงเขียนโครงสร้างลิวอิสกับโครงสร้างแบบใช้เส้นและมุมของสารประกอบอินทรีย์ต่อไปนี้ ก. CH3(CH2)4CH3ข. CH3CH=C(CH3)2 ค. CH3COCl ง. (CH3)2O จ. CH3CHCl2ฉ. CH3CONH2 ช. (CH3)2CHCH2C(CH3)3ซ. CH3COOCH3

  36. 3. จงเขียนสูตรโครงสร้างแบบย่อและโครงสร้างลิวอิสของสารประกอบอินทรีย์ต่อไปนี้ ก. ข.

  37. ค. ง.

  38. 4. สารประกอบอินทรีย์ในข้อใดต่อไปนี้เป็นไอโซเมอร์กัน ถ้าไม่ได้เป็นไอโซเมอร์กันให้ระบุด้วยว่าเป็นสารชนิดเดียวกันหรือไม่ ก. (CH3CH2)2CHCH3 กับ CH3CH2C(CH3)3 ข. CH3COOCH3กับ CH3CHCH2CH3 CH ค. CH3OCH3กับ CH3CH2OH

  39. ง. CH3(CH2)3CHO กับ (CH3CH2)2CO จ. (CH3)2CCl2กับ (CH3)2CHCH2Cl 5. จงเขียนไอโซเมอร์โครงสร้างที่เป็นไปได้ทั้งหมดของสารประกอบอินทรีย์ที่มีคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบเท่านั้น โดยมีคาร์บอน 6 อะตอม เมื่อกำหนดโครงสร้างและพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนดังนี้ ก. โซ่เปิดที่มีพันธะเดี่ยวทั้งหมด ข. แบบวงที่มีพันธะเดี่ยวทั้งหมด ค. โซ่เปิดที่มีพันธะคู่ 1 พันธะ

  40. การทดลอง 11.2 สมบัติบางประการของเอทานอลและกรดแอซีติก

  41. จุดประสงค์การทดลอง…………………….จุดประสงค์การทดลอง……………………. • วันที่ทำการทดลอง • สมาชิกกลุ่ม…………………….. • อุปกรณ์และสารเคมี • หลอดทดลองขนาดใหญ่ • หลอดทดลองขนาดเล็ก • คีมคีบ - หลอดหยด • ปิเปต - กระบอกตวง

  42. จุกยางที่ต่อกับท่อนำก๊าซจุกยางที่ต่อกับท่อนำก๊าซ • โลหะโซเดียม • เอทานอล • กรดแอซีติก • สารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต • สารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ • น้ำกลั่น

  43. วิธีทำการทดลอง ใส่เอทานอล 10 หยดในหลอดทดลองขนาดเล็ก เติมน้ำ 10 หยด เขย่าและสังเกตการละลาย ทดสอบด้วยกระดาษลิตมัส/กระดาษ pH ตัดโลหะโซเดียมเท่าเม็ดถั่วเขียว ซับน้ำมันให้แห้ง

  44. ใส่ลงในหลอดทดลองขนาดเล็กที่มีเอทานอลอยู่ 0.5 cm3 สังเกตการเปลี่ยนแปลง เติมสารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต 0.5 mol/dm3 2 cm3 ในหลอดทดลองขนาดใหญ่ที่มีเอทานอล 2 cm3 ปิดด้วย จุกที่มีหลอดนำก๊าซต่อลงในหลอดทดลองที่มี สารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ 2 cm3 สังเกตการเปลี่ยนแปลง ทำการทดลองซ้ำแต่เปลี่ยนเอทานอลเป็นกรดแอซีติก

  45. ข้อควรจำก่อนการทดลอง • การทำปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับน้ำต้องทำด้วยความระมัดระวัง • ถ้าโซเดียมทำปฏิกิริยาไม่หมด ห้ามทิ้งลงในอ่างน้ำ ให้กำจัดโดยใส่เอทานอล เมื่อโซเดียมทำปฏิกิริยาหมดแล้วจึงกำจัดทิ้ง • ควรเตรียมหลอดนำแก๊สและหลอดทดลองที่บรรจุสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์อิ่มตัวไว้ให้พร้อมก่อนทำการทดลองกับสารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต

  46. บันทึกผลการทดลอง • อภิปรายผลการทดลอง • สรุปผลการทดลอง • ข้อผิดพลาดจากการทดลอง

  47. หมู่ฟังก์ชัน หมู่ฟังก์ชัน คือ หมู่อะตอมที่แสดงสมบัติเฉพาะใน โมเลกุลของสารประกอบอินทรีย์ จำแนกได้ดังนี้

  48. ตารางแสดงหมู่ฟังก์ชันตารางแสดงหมู่ฟังก์ชัน ประเภทของ สารประกอบ สูตรทั่วไปของ สารประกอบ หมู่ฟังก์ชัน ชื่อหมู่ฟังก์ชัน - C=C -OH -O- R-H R-CH=CH-R R-OH R-O-R - พันธะคู่ พันธะสาม ไฮดรอกซิล ออกซี คาร์บอกซิล แอลเคน แอลคีน แอลไคน์ แอลกอฮอล์ อีเทอร์ กรดอินทรีย์

  49. ตารางแสดงหมู่ฟังก์ชันตารางแสดงหมู่ฟังก์ชัน ประเภทของ สารประกอบ สูตรทั่วไปของ สารประกอบ หมู่ฟังก์ชัน ชื่อหมู่ฟังก์ชัน แอลดีไฮด์ คีโตน เอสเทอร์ เอมีน เอไมด์ คาร์บอกซาลดีไฮด์ คาร์บอนิล แอลคอกซีคาร์บอนิล อะมิโน เอไมด์ -NH2

  50. สารประกอบไฮโดรคาร์บอนสารประกอบไฮโดรคาร์บอน สารประกอบไฮโดรคาร์บอน คือ สารประกอบอินทรีย์ที่มี เฉพาะธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก พบได้ตามธรรมชาติ เช่น ยางไม้ ถ่านหิน ปิโตรเลียม และ สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้

More Related