240 likes | 894 Views
วิวัฒนาการ. วิวัฒนาการของมนุษย์. บรรพบุรุษ ของมนุษย์คือลิงจริงหรือ?.
E N D
วิวัฒนาการ วิวัฒนาการของมนุษย์...
บรรพบุรุษของมนุษย์คือลิงจริงหรือ?บรรพบุรุษของมนุษย์คือลิงจริงหรือ? มนุษย์มีสายวิวัฒนาการมาจากสัตว์กลุ่มไพรเมต (primate) ซึ่งถือเป็นกลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีพัฒนาการสูงที่สุด สืบเชื้อสายมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีรก อาศัยและห้อยโหนอยู่บนต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะสำคัญคือ สมองเจริญดีและมีขนาดใหญ่ มีขากรรไกรสั้นทำให้หน้าแบน ระบบสายตาใช้งานได้ดีโดยมองไปข้างหน้า ระบบการดมกลิ่นไม่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น มีเล็บแบนทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้า มีพฤติกรรมทางสังคมที่ซับซ้อน สัตว์ในกลุ่มไพรเมต ได้แก่ กระแต ลิงลม ลิง ชะนี อุรังอุตัง กอริลล่า ชิมแพนซีและมนุษย์
สัตว์ในกลุ่มไพรเมตมีวิวัฒนาการแยกออกเป็นสองสาย ได้แก่ โพรซิเมียน (prosimian) ดังแสดงด้วยเส้นสีฟ้า ซึ่งเป็นสัตว์กลุ่มไพรเมตกลุ่มแรกๆที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ ได้แก่ นางอายหรือลิงลม และลิงทาร์ซิเออร์ (tarsier monkey) ไพรเมตอีกสายหนึ่งคือ แอนโทรพอยด์ (anthropoid) ดังแสดงด้วยเส้นสีเทา ได้แก่ ลิงมีหาง ลิงไม่มีหางและมนุษย์
ลิงมีหาง สามารถแยกเป็นลิงโลกใหม่และลิงโลกเก่าซึ่งแตกต่างกันในการใช้หางเพื่อห้อยโหน ลิงโลกใหม่เป็น กลุ่มที่ใช้หางในการห้อยโหนได้ เช่น ลิงสไปเดอร์ (spider monkey) ลิงทาร์มาริน (tarmarins) เป็นต้น ส่วนลิงโลกเก่านั้นไม่สามารถใช้หางในการห้อยโหนได้ เช่น ลิงกัง ลิงแสม ลิงบาบูน เป็นต้น
ลิงไม่มีหางหรือเอพ (ape) มีสายวิวัฒนาการมาจากลิงโลกเก่า แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ชะนี อุรังอุตัง กอริลล่า และชิมแพนซี จากการศึกษาสารพันธุกรรมทำให้เราทราบว่า เอพแอฟริกา ได้แก่ กอริลล่าและชิมแพนซีนั้นมีความใกล้ชิดทางสายวิวัฒนาการกับมนุษย์มากกว่าเอพเอเชีย ซึ่งได้แก่ ชะนีและอุรังอุตัง ซึ่งมีจำนวนโครโมโซม 48 อัน ในขณะที่มนุษย์มี 46 อัน โดยเฉพาะชิมแพนซีนั้น มีหมู่เลือด ABO เช่นเดียวกับมนุษย์ และจากหลักฐานทางชีววิทยาระดับโมเลกุลพบว่าดีเอ็นเอของมนุษย์มีความคล้ายกันกับชิมแพนซีถึง 98.4% นอกจากนี้หลักฐานดังกล่าวยังทำให้สันนิษฐานได้ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ วิวัฒนาการแยกจากลิงไม่มีหางเมื่อประมาณ 7.5-4 ล้านปีที่ผ่านมา
จากการศึกษาและเปรียบเทียบจีโนมของสิ่งมีชีวิต ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณหาระยะเวลาโดยประมาณที่สัตว์ในกลุ่มไพรเมตมีวิวัฒนาการแยกออกจากกัน ดังแสดงในภาพ
ในช่วงปลายสมัยไมโอซีนมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลให้สภาพ ในช่วงปลายสมัยไมโอซีนมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลให้สภาพ แวดล้อมในธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป เช่น ป่าไม้ลดลงจนบางแห่งกลายเป็นทุ่งหญ้า ทำให้ที่อยู่อาศัยและปริมาณอาหารเปลี่ยนแปลงไป เกิดการแก่งแย่งกันของสิ่งมีชีวิต ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสายวิวัฒนาการของเอพไปสู่บรรพบุรุษของมนุษย์ที่สามารถยืนตัวตรงได้ มีการลดขนาดเขี้ยวและขยายขนาดฟันกราม
บรรพบุรุษของมนุษย์เริ่มปรากฏครั้งแรกในสมัยไมโอซีน ในราวประมาณ 4.3 ล้านปีก่อน บรรพบุรุษที่มีความคล้ายมนุษย์มากที่สุดคือ ออสทราโลพิเทคัส (Australopithecus) ในปี พ.ศ.2518 นักบรรพชีวินได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่มีความสมบูรณ์ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ในเอทิโอเปีย และได้ตั้งชื่อตามบริเวณที่พบคือ Afar Triangle ว่า Australopithecus afarensisคาดว่า A. afarensisมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 2.9-3.9 ล้านปีก่อน จากหลักฐานของลักษณะรอยเท้าที่ปรากฏในเถ้าภูเขาไฟ จากกระดูกกะโหลกศีรษะและกระดูกเชิงกรานทำให้สันนิษฐานได้ว่า A. afarensisมีแขนยาวจึงน่าสามารถดำรงชีวิตบางส่วนอยู่บนต้นไม้และสามารถเดินสองขาบนพื้นดินได้ดีแต่ก็ยังไม่เหมือนมนุษย์ มีความจุสมองประมาณ 400-500 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีฟันเขี้ยวที่ลดรูปลง ปัจจุบันเชื่อว่า A. afarensisเป็นบรรพบุรุษของออสทราโลพิเทคัสสปีชีส์อื่นๆ และมนุษย์จีนัสโฮโมด้วย
ภาพสันนิษฐานลักษณะของ A. afarensis จากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์รอยเท้าที่ปรากฏในเถ้าภูเขาไฟ
ซากดึกดำบรรพ์ของ A. afarensisพบที่เอธิโอเปีย หรือที่นักบรรพชีวินเรียกว่า ลูซี สูงประมาณ 1 เมตร
ซากดึกดำบรรพ์กระดูกกะโหลกศีรษะของ Australopithecus
วิวัฒนาการของมนุษย์จีนัสโฮโมวิวัฒนาการของมนุษย์จีนัสโฮโม มนุษย์จีนัสโฮโมมีวิวัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมา ซากดึกดำบรรพ์ของจีนัสโฮโมที่พบว่ามีอายุมากที่สุดคือ Homo habilisในชั้นหินอายุ 1.8 ล้านปีทางตอนใต้ของแอฟริกา มีความจุสมองประมาณ 750 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีความสูงประมาณ 1.5 เมตร มีกระดูกนิ้วมือที่คล้ายมนุษย์ปัจจุบันมากจึงน่าจะช่วยให้สามารถหยิบจับหรือใช้เครื่องมือได้ดี ซึ่งจากหลักฐานที่พบในบริเวณเดียวกับซากดึกดำบรรพ์โครงร่างกระดูก เช่น เครื่องมือหินและร่องรอยการอยู่อาศัย ทำให้สันนิษฐานได้ว่า H. habilisอาจเป็นพวกแรกที่รู้จักการประดิษฐ์ขวาน สิ่ว มีดจากหินเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตก็เป็นได้
H. habilisเป็นมนุษย์พวกแรกที่รู้จักใช้เครื่องมืออย่างง่ายที่ทำมาจากหิน
ซากดึกดำบรรพ์กระดูกกะโหลกศีรษะของ H. habilis
Homo erectus เป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพมาจากแอฟริกาไปยังเอเชียและยุโรป พบซากดึกดำบรรพ์โครงกระดูกมากในแถบเอเชียรวมทั้งหมู่เกาะอินโดนีเชีย ซากดึกดำบรรพ์ที่พบในหมู่เกาะชวา และรู้จักกันในวงกว้างจะเรียกว่า มนุษย์ชวา (Java man) และที่พบในปักกิ่ง ซึ่งเป็น สปีชีส์เดียวกัน เรียกว่า มนุษย์ปักกิ่ง (Beijing man หรือ Peking man) H. erectus มีอายุประมาณ 1.8 ล้านปีถึง 500,000 ปีที่ผ่านมา มีความจุสมองประมาณ 1,100 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีความสูงประมาณ 1.6-1.8 เมตร ผู้ชายมีขนาดใหญ่กว่าผู้หญิง เดินตัวตรงเหมือนมนุษย์มากขึ้น สามารถประดิษฐ์และใช้เครื่องมือที่เฉพาะงาน และเริ่มรู้จักใช้ไฟ คาดว่ามนุษย์กลุ่มนี้น่าจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีสังคม วัฒนธรรมและภาษาเกิดขึ้น
H. erectus เป็นมนุษย์พวกแรกที่รู้จักใช้ไฟ
ซากดึกดำบรรพ์กระดูกกะโหลกศีรษะของ H. erectus
H. habilisและ H. erectus มีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน แต่มนุษย์ปัจจุบันนั้นมีวิวัฒนาการมาจาก H. erectus • H. erectus ในแอฟริกาถือเป็นบรรพบุรุษของ Homo sapiens หรือมนุษย์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามพบว่ามีมนุษย์ลักษณะกึ่งกลางระหว่าง H. erectus และ H. sapiens เกิดขึ้นเมื่อ 200,000-300,000 ปีที่แล้วด้วยซึ่งก็คือ มนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal man) มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลนั้นมีสมองขนาดใหญ่เท่ากับหรือมากกว่ามนุษย์ปัจจุบัน โครงร่างมีลักษณะเตี้ยล่ำแข็งแรง จมูกแบน รูจมูกกว้าง หน้าผากลาดแคบ มีสันคิ้วหนา คางแคบหดไปด้านหลัง มีการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ใช้ไฟและมีเครื่องนุ่งห่ม มีร่องรอยของอารยธรรมในกลุ่ม เช่น การบูชาเทพเจ้าและมีพิธีฝังศพ เป็นต้น นักมานุษยวิทยาได้จัดให้มุษย์นีแอนเดอร์ทัลอยู่ในสปีชีส์เดียวกันกับมนุษย์ปัจจุบัน (Homo sapiens sapiens) แต่แยกกันในระดับซับสปีชีส์ เป็น Homo sapiens neanderthalensisเชื่อว่าทั้ง H. s. sapiens และ H. s. neanderthalensisมีชีวิตอยู่ร่วมกันมาหลายพันปีและยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามนุษย์ทั้งสองกลุ่มมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีบรรพบุรุษร่วมกัน และเมื่อ H. s. sapiens สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากกว่า ในที่สุด H. s. neanderthalensisก็สูญพันธุ์ไป
จากหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ที่ขุดพบอย่างมากแถบบริเวณตะวันตกของทวีปยุโรป ทำให้สันนิษฐานได้ว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ทัลกระจายตัวอยู่มากในบริเวณนี้ ในปัจจุบันจากการศึกษาทางชีววิทยาระดับโมเลกุล การสกัด DNA จากกระดูกมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลชี้ให้เห็นว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ทัลบางส่วนอาจมีผมสีแดงและมีผิวซีด (ข้อมูลจาก http://www.sciencedaily.com/releases/2007/10/071025143311.htm)
ภาพวาดลักษณะของกะโหลกศีรษะของมนุษย์ปัจจุบัน (ซ้าย) เปรียบเทียบกับมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (ขวา)
กำเนิดของมนุษย์ปัจจุบันนั้นมาจากไหน? กำเนิดของมนุษย์ปัจจุบันนั้นมาจากไหน? • สมมติฐานแรก เชื่อว่ามนุษย์ปัจจุบันที่อยู่ในต่างทวีปนั้นมีวิวัฒนาการมาจาก H. erectus ที่แพร่กระจายจากแอฟริกาไปอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น ยุโรป เอเชียและออสเตรเลีย เมื่อประมาณเกือบสองล้านปีที่ผ่านมา จากนั้นจึงวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ปัจจุบันที่อาศัยอยู่ตามแต่ละที่ทั่วโลก และการที่มนุษย์เชื้อชาติต่างๆไม่เกิดความแตกต่างกันในระดับสปีชีส์จนเกิดสปีชีส์ใหม่เพราะมนุษย์ในแต่ละที่ยังคงมีการผสมผสานทางเผ่าพันธุ์มาโดยตลอด • สมมติฐานที่สอง เชื่อว่ามนุษย์ปัจจุบันที่อยู่ในต่างทวีปนั้นมีวิวัฒนาการมาจาก H. erectus ในแอฟริกา จากนั้น H. erectus ได้แพร่กระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆทั่วโลกแต่ในที่สุดก็สูญพันธุ์ไปจนหมด เหลือเพียงกลุ่ม H. erectus ในแอฟริกากลุ่มเดียวเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อ 100,000 ปีที่ผ่านมานี้เอง H. erectus ในแอฟริกา กลุ่มที่มีสายวิวัฒนาการต่อเนื่องมานี้จึงแพร่กระจายออกไปยังสถานที่ต่างๆโดยไม่มีการผสมผสานทางเผ่าพันธุ์กับมนุษย์โบราณที่อพยพมาก่อนหน้านั้น
ในปัจจุบัน จากผลการศึกษาความหลากหลายของ mitochondria DNA ในตัวอย่างคนพื้นเมืองจากภูมิภาคต่างๆ ทำให้พบข้อมูลเกี่ยวกับกำเนิดของมนุษย์ปัจจุบันโดยผลการศึกษาสนับสนุนแนวสมมติฐานที่ว่ามนุษย์ปัจจุบันนั้นถือกำเนิดขึ้นมาจากแอฟริกา และมีการแพร่กระจายออกสู่สถานที่ต่างๆเมื่อราวแสนปีที่ผ่านมานี่เอง
สมมติฐานที่หนึ่ง สมมติฐานที่สอง สมมติฐานของกำเนิดมนุษย์ในปัจจุบัน
โดย นางสาวปภัสรา เสียงเจริญ เลขที่ 12 ก. นางสาวดุษฎี แสงทอง เลขที่ 13 ก. นางสาวนุสรา พิสิฐสุข เลขที่ 20 ก. นางสาวอภิรดี เดชพิทักษ์ เลขที่ 21 ก. นางสาวพรพิมล นฤภัย เลขที่ 11ข. ชั้นมัธมศึกษาปีที่ 6/3