จัดทำโดย นางสาว ไอลดา เกตจรูญ รหัส 54160282 กลุ่ม 24 คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ

1. จัดทำโดย นางสาว ไอลดา เกตจรูญ รหัส 54160282 กลุ่ม 24 คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ

2. The Cocktails The Cocktailsคือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วยอย่างน้อยหนึ่งชนิด เข้ากับส่วนผสมอื่น ไม่ว่าจะเป็น น้ำผลไม้ ชา กาแฟ น้ำเชื่อม หรือแม้แต่ส่วนผสมอื่นๆ ตามวิธีการผสมในแบบต่างๆ    คำว่า ค็อกเทล  ได้ถูกใช้เรียกชื่อแทนเครื่องดื่มผสมชนิดนี้มาเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1776 ในบาร์แห่งหนึ่ง ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งได้เปิดร้านขายสุรา และภายในร้านของเธอจะตกแต่งบาร์ด้วยหางขนไก่ที่มีสีสันสวยงามเต็มร้านไปหมด อยู่มาวันหนึ่งเธอเกิดความคิดที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใครขึ้นมา เธอได้นำเอาหางขนไก่ ( Cocktail ) ใส่ตกแต่งในเครื่องดื่มที่เธอผสมขึ้นทุกแก้วแทนไม้คนบาร์ทั่วไป และในไม่ช้าร้านของเธอก็เป็นที่รู้จัก และนิยมของนักท่องเที่ยวยามราตรีทั้งหลายในยุคนั้น จนทำให้คนส่วนใหญ่พูดติดปากกันว่า “ค็อกเทล” ( Cocktail ) เมื่อต้องการจะสั่งเครื่องดื่มชนิดนี้ และจากจุดนี้เองนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “ค็อกเทล”

3. รู้จักกับค็อกเทล ค็อกเทล เครื่องดื่มผสมที่มีต้นกำเนิดเป็นปริศนา เกิดขึ้นมาเมื่อไร ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน แต่ถ้าจะย้อนไปในประวัติศาสตร์ของการผสมเครื่องดื่มแล้ว การผสมเครื่องดื่มชนิดนี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 14 ในประเทศฝรั่งเศส โดยในยุคแรกๆ จะใช้เบียร์ หรือเหล้าน้ำผึ้งเป็นส่วนผสมหลัก มาผสมเข้ากับเหล้าที่ใส่เครื่องเทศ (เอล) และเรียกเครื่องดื่มผสมชนิดนี้ว่า “Bragget" (บรากเกรท) ที่นิยมดื่มกันมากในวันอาทิตย์ ก็เลยเรียกกันติดปากว่า "Bragget Sunday” ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ได้เปลี่ยนมาใช้ ไวน์ เหล้า เครื่องเทศ และน้ำผลไม้ต่างๆ มาผสมเข้ากัน โดยจะมีลักษณะคล้ายน้ำพั้นช์ ที่ใส่ไว้ในภาชนะใบใหญ่ เพื่อแจกจ่ายแบ่งกันดื่มกินในงานเลี้ยง งานรื่นเริงต่างๆ มาจนถึงศตวรรษที่ 18 เริ่มนิยมผสมเครื่องดื่มแบบไม่ใส่เครื่องเทศ ที่เรียกกันว่า "Sangarees" (ซองการีส) และเครื่องดื่มที่นำเหล้ามาผสมกับน้ำตาล ที่เรียกว่า "Togdiss" (ท็อดดีส์)

4. เทคนิคการผสมค็อกเทล Shaking คือ เทคนิคเขย่า Stirring คือ เทคนิคการคน Layering คือ เทคนิคเรียงชั้น Building คือ เทคนิคการริน การจับขวด Fine Straining คือ เทคนิคกรองซ้อนกรอง Firing คือ เทคนิคการจุดไฟ-เผาไฟ Muddling คือ เทคนิคบดขยี้เข้าไป Swirling คือ เทคนิคเคลือบสี Pre-Heating คือ เทคนิคอุ่นเครื่องร้อน Pre-Chilling คือ เทคนิคอุ่นเครื่องเย็น Rimming คือ เทคนิคแต่งขอบแก้ว Topping คือ เทคนิคโรยหน้า Orange Slice คือ เทคนิคหั่นส้ม Spring คือ เทคนิคทำสปริง The Atomizer คือ เทคนิคฉีดสเปรย์แต่งกลิ่น Showboat คือ เทคนิคเททิ้งเอากลิ่น

5. วิธีผสมเครื่องดื่มค็อกเทลวิธีผสมเครื่องดื่มค็อกเทล Shake&Strainคือวิธีเขย่ากรอง จะใช้อุปกรณ์ในการผสมคือ กระบอกเช็ค(Shaker) โดยรินส่วนผสมลงในกระบอกเช็ค แล้วตักน้ำแข็งก้อนใส่ตามลงไป เขย่าด้วยความเร็วและแรง เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ให้น้ำแข็งวิ่งขึ้นจากก้นกระบอกเช็คไปสู่ ด้านบนกระบอกเช็คสลับกันไป เมื่อมีฝ้าขาวขุ่นขึ้นที่กระบอก เป็นอันว่าใช้ได้ครับ เปิดฝาบนออก แล้วเทกรองเอาแต่น้ำลงแก้ว Shakeคือวิธีเขย่าเทจะใช้อุปกรณ์ในการผสมคือ กระบอกเช็ค (Shaker) โดยรินส่วนผสมลงในกระบอกเช็คแล้วตักน้ำแข็งก้อน ใส่ตามลงไป แล้วเช็คเขย่าด้วยความเร็วและแรง เป็นจังหวะสม่ำเสมอเมื่อมีฝ้าขาวขุ่นขึ้นที่กระบอก เป็นอันว่าใช้ได้ เปิดฝาบนและฝากรองออก เทเครื่องดื่มทั้งหมดลงแก้ว

6. วิธีผสมเครื่องดื่มค็อกเทลวิธีผสมเครื่องดื่มค็อกเทล Buildหรือ Pourคือวิธีริน ในการริน อุปกรณ์ที่ใช้คือ ที่ริน (Pourer) เป็นจุกรินเหล้าที่ใช้รินเหล้าจากขวดโดยตรง โดยเทรินเหล้า และส่วนผสมอื่นลงในแก้วที่มีน้ำแข็งรออยู่ โดยไม่ต้องคนผสม สามารถยกเสิร์ฟได้เลย อีกทั้งยังสามารถเติมสีสันของเครื่องดื่ม ด้วยการเติมเหล้าหวานที่มีสีลงไปได้ตามสูตร Firer หรือ Flamingคือวิธีจุดไฟ ในการจุดไฟ ส่วนใหญ่จะ ทำด้วยวิธีรินเรียงเป็นชั้น (Layer) ก่อนแล้ว จากนั้นจึงจุดไฟ โดยใช้ไฟแช็ค Burn รอบขอบแก้วก่อน แล้วจึงจ่อไฟลงไป ที่ผิวหน้าของน้ำเหล้าในแก้ว หรืออาจจะใช้ในสูตรอื่นๆที่มี การเผาไฟเพื่อทำกลิ่น

7. วิธีผสมเครื่องดื่มค็อกเทลวิธีผสมเครื่องดื่มค็อกเทล Layerคือวิธีรินเรียงเป็นชั้น ในการรินเรียงเป็นชั้น อุปกรณ์ที่ใช้คือ ที่ริน (Pourer) และช้อนบาร์ (Barspoon) โดยเทรินเหล้าเรียง ตามน้ำหนักเหล้า รินเรียงเป็นชั้นๆ โดยใช้ช้อนลดความแรงของ เหล้าในขณะที่ริน Blendคือการปั่นในการปั่น อุปกรณ์ที่ใช้คือ เครื่องปั่น (Blender) เป็นวิธีที่ผสมส่วนผสมต่างๆ ให้ผสมเข้ากันอย่างละเอียดเนื้อเนียน มีวิธีตวงน้ำแข็งคือ น้ำที่เราผสมเสร็จแล้ว ต้องเป็น 1 ใน 3 ส่วนของน้ำแข็ง และควรจะใช้น้ำเชื่อมที่มีความเหนียวข้นจะได้เครื่องดื่มปั่นที่มีเนื้อเนียนละเอียด แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องปั่นที่ใช้ด้วย

8. วิธีผสมเครื่องดื่มค็อกเทลวิธีผสมเครื่องดื่มค็อกเทล Muddleคือวิธีบดขยี้ ในการบดขยี้ อุปกรณ์ที่ใช้คือ ไม้สำหรับทุบน้ำแข็ง เรียกว่า "Muddler" ใช้สำหรับบดขยี้ ส้ม มะนาวใบสาระแหน่ มักจะผสมด้วยวิธีนี้ในแก้ว Old Fashion หรือ Rock โดยใส่ส่วนผสมที่ต้องการบดขยี้ในแก้ว แล้วใช้ Muddler บดขยี้โดยใช้การบดแบบพลิกข้อหมุนบิดกดขยี้ จะได้กลิ่นที่หอมน่าดื่มของกลิ่นผิวส้ม หรือมะนาว หรือใบสาระแหน่

9. รสนิยมในการดื่มค็อกเทลรสนิยมในการดื่มค็อกเทล • Straight Up : การดื่มแบบเพรียวๆ จะนิยมดื่มโดยใช้เหล้าประเภท Dessert Wine ( Port , Sherry ) , Aperitif , Liqueur และ Spirit แก้วที่ใช้ ได้แก่ แก้ว shot , Sherry , Brandy และ Liqueur เวลาดื่มอาจจะจุดไฟด้วยก็ได้ โดยใช้หลอดดูด แต่ถ้าไม่จุดไฟก็จะยกกระดกดื่มรวดเดียว • On The Rock : การดื่มแบบเอาเหล้าใส่ผสมน้ำแข็ง จะนิยมดื่มโดยใช้เหล้าประเภท Aperitif , Liqueur และ Spirit ใส่ผสมกับน้ำแข็ง 3-4 ก้อนใส่ในแก้ว แก้วที่ใช้ ได้แก่ แก้ว Rock หรือแก้ว Old Fashion เวลาดื่มจะนิยมดื่มตบแก้วกระแทกลงกับพื้น แล้วดื่มรวดเดียวหมด ถ้าเป็นเหล้า Vermouth , Campari , Gin , Rum , Vodka , Tequila และ Dubonnet จะต้องใส่มะนาวฝานลงไป 1 ชิ้นด้วย เพื่อเพิ่มรสชาติ

10. รสนิยมในการดื่มค็อกเทลรสนิยมในการดื่มค็อกเทล • With Soft Drink : การดื่มแบบเอาเหล้าใส่ผสมกับน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่ม Soft Drink จะนิยมดื่มโดยใช้เหล้าประเภท Aperitif , Liqueur และ Spirit ใส่ผสมกับเครื่องดื่มพวกซอฟท์ดริ่ง โค้ก แฟนต้า โซดา โทนิค จิงเจอร์เอล หรือน้ำเปล่า น้ำแร่ ผสมกับเหล้า 1-3 ตัว และน้ำแข็งใส่ลงในแก้ว แก้วที่ใช้ ได้แก่ แก้ว High Ball หรือแก้ว Long Drink โดยตวงใส่เหล้า 1 Jigger แบบมาตรฐาน ผสมกับน้ำแข็ง และเครื่องดื่มซอฟท์ดริ่ง เวลาดื่มจะนิยมดื่มเรื่อยๆ ถ้าเป็นเหล้า Vermouth , Campari , Gin , Rum , Vodka , Tequila และ Dubonnet จะต้องใส่มะนาวฝานลงไป 1 ชิ้นด้วย เพื่อเพิ่มรสชาติ

11. รสนิยมในการดื่มค็อกเทลรสนิยมในการดื่มค็อกเทล • Cocktail : การดื่มแบบผสมเป็นเครื่องดื่มค็อกเทลจะนิยมดื่มโดยใช้เหล้าผสมกับน้ำผลไม้ ตามวิธีการผสมแบบต่างๆของการทำเครื่องดื่มค็อกเทล แก้วที่ใช้แล้วแต่ชนิดของเครื่องดื่มตามที่กำหนดไว้ เช่น Vodka Martini ใส่แก้ว Martini และมีการตกแต่งแก้วด้วยมะกอกดอง เวลาดื่มส่วนใหญ่จะนิยมดื่มแบบค่อยๆ จิบ การดื่มแบบนี้เป็นรูปแบบของการดื่มที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ถือได้ว่าเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง ด้วยรสชาติที่หลากหลาย หลากอารมณ์ทั้งที่ทำให้เราหัวเราะ และร้องไห้ได้ในเวลาเดียวกัน

12. จบการนำเสนอ ขอบคุณคะ