1 / 19

ลุ่มน้ำปิง ที่ตั้ง ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ลุ่มน้ำ ภูมิอากาศ ปริมาณน้ำท่า-น้ำฝน

สำนักโครงการขนาดใหญ่ กรมชลประทาน. ลุ่มน้ำปิง ที่ตั้ง ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ลุ่มน้ำ ภูมิอากาศ ปริมาณน้ำท่า-น้ำฝน - ตารางเปรียบเทียบในกลุ่มลุ่มน้ำ ทรัพยากรดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน พื้นที่ทำการเกษตร. พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทาน การประเมินความต้องการน้ำ ปัญหาของลุ่มน้ำ

shay-cannon
Download Presentation

ลุ่มน้ำปิง ที่ตั้ง ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ลุ่มน้ำ ภูมิอากาศ ปริมาณน้ำท่า-น้ำฝน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. สำนักโครงการขนาดใหญ่ กรมชลประทาน ลุ่มน้ำปิง • ที่ตั้ง • ลักษณะภูมิประเทศ • พื้นที่ลุ่มน้ำ • ภูมิอากาศ • ปริมาณน้ำท่า-น้ำฝน - ตารางเปรียบเทียบในกลุ่มลุ่มน้ำ • ทรัพยากรดิน • การใช้ประโยชน์ที่ดิน • พื้นที่ทำการเกษตร. • พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทาน • การประเมินความต้องการน้ำ • ปัญหาของลุ่มน้ำ • ด้านภัยแล้ง • แนวทางแก้ไข ส่วนอำนวยการและติดตามประเมินผล

  2. 6. ลุ่มน้ำปิง ที่ตั้ง ลุ่มน้ำปิง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด คือเชียงใหม่ ลำพูน ตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์ ลักษณะของลุ่มน้ำนี้เรียวยาว วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยมีทิศเหนือและทิศตะวันตกติดกับลุ่มน้ำสาละวินและลุ่มน้ำกก ทิศใต้ติดกับลุ่มน้ำสะแกกรังและลุ่มน้ำแม่กลอง และทิศตะวันออกติดกับลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำวัง รูปที่ 6-1 แสดงที่ตั้งลุ่มน้ำปิง

  3. ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศของลุ่มน้ำปิงเป็นเทือกเขาสลับ ซับซ้อน ต้นกำเนิดของต้นน้ำปิง เกิดจากทิวเขาผีปันน้ำในเขตอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ แล้วไหลผ่านหุบเขาลงมาสู่ที่ราบลุ่ม ผ่านจังหวัดลำพูน แล้วไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วไหลลงทิศใต้ผ่านอำเภอฮอด ก่อนจะลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล ส่วนแม่น้ำปิงตอนล่างใต้เขื่อนภูมิพล จะไหลผ่านที่ราบมาบรรจบแม่น้ำวัง และไหลผ่านจังหวัดกำแพงเพชร ก่อนไปบรรจบแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน รวมเป็นแม่น้ำจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์ รูปที่ 6-2 สภาพภูมิประเทศในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำปิง

  4. พื้นที่ลุ่มน้ำ ลุ่มน้ำปิง มีพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 33,896 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 20 ลุ่มน้ำย่อย ตามตารางที่ 6-1 และรูปที่ 6-3 แสดงลุ่มน้ำย่อย ตารางที่ 6-1 ขนาดของพื้นที่ลุ่มน้ำย่อย 6.02 6.04 6.03 6.06 6.08 6.12 6.05 6.07 6.10 6.11 6.09 รูปที่ 6-3 แสดงลุ่มน้ำย่อยพื้นที่ลุ่มน้ำปิง

  5. พื้นที่ลุ่มน้ำ ลุ่มน้ำปิง มีพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 33,896 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 20 ลุ่มน้ำย่อย ตามตารางที่ 6-1 และรูปที่ 6-3 แสดงลุ่มน้ำย่อย ตารางที่ 6-1 ขนาดของพื้นที่ลุ่มน้ำย่อ (ต่อ) 6.13 6.14 6.15 6.17 6.19 6.16 6.18 6.20 6.21 รูปที่ 6-3 แสดงลุ่มน้ำย่อยพื้นที่ลุ่มน้ำปิง

  6. ภูมิอากาศ ข้อมูลภูมิอากาศที่สำคัญของลุ่มน้ำนี้ ได้แสดงไว้แล้วตามตารางที่ 6-2 ซึ่งแต่ละรายการจะเป็นค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และค่าเฉลี่ยเป็นรายปี ตารางที่ 6-2 แสดงข้อมูลภูมิอากาศที่สำคัญ

  7. ปริมาณน้ำฝน ลุ่มน้ำปิงมีปริมาณน้ำฝน ตั้งแต่ 900 มิลลิเมตร จนถึง 1,900 มิลลิเมตร โดยมีปริมาณน้ำฝนทั้งปีเฉลี่ยประมาณ 1,124.6 มิลลิเมตร ลักษณะการผันแปรของปริมาณน้ำฝนรายเดือนเฉลี่ยได้แสดงไว้ตาม ตารางที่ 6-3 และมีลักษณะการกระจายของ ปริมาณน้ำฝน ตามรูปที่ 6-4 ตารางที่ 6-3 ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่าเฉลี่ยรายเดือน รูปที่ 6-5 ปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยรายเดือนในแต่ละลุ่มน้ำย่อย รูปที่ 6-4 ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายเดือนในแต่ละลุ่มน้ำย่อย ปริมาณน้ำท่า ลุ่มน้ำปิงมีพื้นที่รับน้ำทั้งหมด 33,896 ตารางกิโลเมตร และมีปริมาณน้ำท่าตามธรรมชาติทั้งปีเฉลี่ย 8,725.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามตารางที่ 6-3 หรือมีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยต่อหน่วยพื้นที่รับน้ำฝน 8.16 ลิตร/วินาที/ตารางกิโลเมตร ตามรูปที่6-5 แสดงปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยรายเดือนในแต่ละลุ่มน้ำย่อย

  8. ตารางเปรียบเทียบ ปริมาณน้ำฝน - ปริมาณน้ำท่า

  9. ทรัพยากรดิน พื้นที่ลุ่มน้ำปิงสามารถจำแนกชนิดดินตามความเหมาะสมของการปลูกพืชออกได้เป็น 4 ประเภท ซึ่งมีลักษณะการกระจายของกลุ่มดิน ตามรูปที่ 6-6 และแต่ละประเภทจำนวนพื้นที่ตามตารางที่ 6-4 ตารางที่ 6-4 รูปที่ 6-6 การแบ่งกลุ่มดินจำแนกตามความเหมาะสมใช้ปลูกพืช

  10. การใช้ประโยชน์จากที่ดินด้านการเกษตร 1) พื้นที่ทำการเกษตร....................... 23.66 % พืชไร่....................................... 50.81 % ไม้ผล–ไม้ยืนต้น.......................... 6.71 % ปลูกข้าว................................... 42.01 % อื่นๆ.......................................... 0.47 % รูปที่ 6-7 การทำเกษตร 2) ป่าไม้................................................ 71.46 % เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า.......................11.42 % อุทยานแห่งชาติ................................14.91 % พื้นที่ป่าอนุรักษ์.................................73.66 % รูปที่ 6-8 พื้นที่ป่าไม้และเพื่อการอนุรักษ์ 3) ที่อยู่อาศัย........................................... 2.58 % 4) แหล่งน้ำ............................................. 1.21 % 5) อื่นๆ.................................................... 1.09 % รูปที่ 6-9 การใช้ประโยชน์จากที่ดิน

  11. พื้นที่การเกษตรทั้งหมดมีประมาณ 8,021.48 ตารางกิโลเมตรและมีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกเพียง 3,368.29 ตารางกิโลเมตรหรือคิดเป็นร้อยละ 41.99 พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าว 2,516.92 ตารางกิโลเมตร (74.72%) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชผัก 20.28 ตารางกิโลเมตร ( 0.60.%) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชไร่ 696.40 ตารางกิโลเมตร (20.68.%) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกไม้ผล-ไม้ยืนต้น 134.68 ตารางกิโลเมตร ( 4.00%) รูปที่ 6-10 การใช้ประโยชน์ที่ดินหลักด้านการเกษตร พื้นที่ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกส่วนใหญ่ จะอยู่บริเวณตอนบนและตอนล่างของพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยเฉพาะบริเวณที่ราบสองฝั่งลำน้ำ ซึ่งรวมกันแล้วประมาณ 9.94% ของพื้นที่ทั้งลุ่มน้ำ ในการทำการเกษตรพบว่า การใช้พื้นที่ปลูกพืชส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกพืชไร่ และไม้ผล-ไม้ยืนต้น บนพื้นที่ที่ไม่มีความเหมาะสม ส่วนข้าวและพืชผักได้ปลูกบนพื้นที่ที่มีความเหมาะสมอยู่แล้ว

  12. พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทานพื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทาน พื้นที่ที่มีศักยภาพสำหรับพัฒนาระบบชลประทานในลุ่มน้ำปิง ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณที่ราบสองสองฝั่งของแม่น้ำปิงทั้งตอนบนและตอนล่าง ประมาณ 2,016.90 ตารางกิโลเมตร และคิดเป็นร้อยละ 59.88 ของพื้นที่การเกษตรที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก หรือร้อยละ 25.14 ของพื้นที่การเกษตร ตารางที่ 6-5ตารางเปรียบเทียบพื้นที่การเกษตรกับพื้นที่ที่มีศักยภาพสำหรับการพัฒนาระบบชลประทาน

  13. การประเมินความต้องการน้ำ การประเมินความต้องการน้ำ จากการศึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้คาดคะเนอัตราการเจริญเติบโตของประชากร ทั้งที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง และนอกเขตเมือง รวมทั้งความต้องการน้ำ สำหรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ช่วงปี 2544 -2564 สรุปได้ตามรูปที่ 6-11 ชลประทาน ปริมาณน้ำ (ล้าน ลบ.ม.) รักษาระบบนิเวศ อุตสาหกรรม อุปโภค - บริโภค รูปที่ 6-11 สรุปแนวโน้มปริมาณความต้องการน้ำแต่ละประเภท

  14. ปัญหาของลุ่มน้ำ ด้านอุทกภัย สภาพการเกิดอุทกภัยในลุ่มน้ำนี้ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ∶- 1) อุทกภัยที่เกิดในบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนและลุ่มน้ำสาขาต่าง ๆ จะเกิดจากการที่มีฝนตกหนักในบริเวณต้นน้ำ ทำให้น้ำป่าไหลหลากลงมามากจนลำน้ำสายหลักไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน เนื่องจากสภาพพื้นที่ป่าไม้ต้นน้ำตอนบนถูกทำลาย รวมทั้งขาดแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบน เพื่อช่วยชะลอน้ำหลาก พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมเป็นประจำ ได้แก่ อำเภอสะเมิง อำเภอสันป่าตอง อำเภอหางดง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่แตง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน อำเภอเมือง จังหวัดตาก อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 2) อุทกภัยที่เกิดในพื้นที่ราบลุ่ม เกิดบริเวณที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มและแม่น้ำสายหลักตื้นเขิน มีความสามารถในการระบายน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมลักษณะนี้เป็นประจำ ด้แก่ อำเภอไชยปราการ อำเภอสันทราย อำเภอสารภี อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอบ้านโฮ่ง อำเภอแม่ทา อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน อำเภอคลองขลุง อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร

  15. ปัญหาภัยแล้งในลุ่มน้ำนี้ เกิดจากภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนาน ทำให้พื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน เกิดความแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำอุปโภค- บริโภคและทำการเกษตร รวมทั้งการใช้น้ำในกิจกรรมอื่นๆด้วย ตามข้อมูล กชช.2ค. ปี 2542 ในลุ่มน้ำนี้มีหมู่บ้านทั้งหมดจำนวน 2,793 หมู่บ้าน พบว่ามีหมู่บ้านขาดแคลนน้ำทั้งหมด 1,910 หมู่บ้าน (ร้อยละ68.93) โดยแยกเป็นหมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำเพื่อทำการเกษตร จำนวน 1,187 หมู่บ้าน (ร้อยละ42.50) และหมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำทั้งเพื่อการอุปโภค-บริโภคและการเกษตรจำนวน 723 หมู่บ้าน (ร้อยละ25.89) หมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ 1,056 หมู่บ้าน หรือคิดเป็นร้อยละ 55.29 ของหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งทั้งหมด หมู่บ้านที่มีน้ำอุปโภค-บริโภค แต่ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร หมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร รูปที่ 6-11 แสดงลักษณะการกระจายตัวของหมู่บ้านที่ประสบปัญหาภัยแล้ง

  16. แนวทางการแก้ไข ปัญหาการเกิดอุทกภัย และภัยแล้งในลุ่มน้ำปิง มีลักษณะคล้ายกับพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นๆ คือการผันแปรของปริมาณน้ำฝน ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง ในทางกลับกันเมื่อมีฝนตกหนักก็ทำให้เกิดน้ำไหลหลากท่วมพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่การเกษตร การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงมีแนวทางแก้ไขในภาพรวมโดยสรุปดังนี้ การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ตอนบนของลำน้ำสาขาที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำกึ๊ด น้ำแม่ขาน และน้ำแม่แจ่ม เพื่อเก็บกัก และชะลอปริมาณน้ำหลากในช่วงที่ฝนตกหนัก และปล่อยน้ำที่เก็บกักลงทางด้านท้ายน้ำในช่วงฤดูแล้งเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้พื้นที่สองฝั่งลำน้ำ

More Related