1 / 65

ระบบปฏิบัติการ และ หลักการทำงาน

ระบบปฏิบัติการ และ หลักการทำงาน. BCOM1101 ความรู้พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ธุรกิจ. 1. ความหมายของระบบปฏิบัติการ. 2. หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์. Contents. ระบบปฏิบัติการคืออะไร.

salene
Download Presentation

ระบบปฏิบัติการ และ หลักการทำงาน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ระบบปฏิบัติการ และ หลักการทำงาน BCOM1101 ความรู้พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ธุรกิจ

  2. 1 ความหมายของระบบปฏิบัติการ 2 หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ Contents

  3. ระบบปฏิบัติการคืออะไรระบบปฏิบัติการคืออะไร ซอฟต์แวร์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดการและควบคุมโปรแกรมรวมถึงการติดต่อประสานงานกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการบางครั้งเรียกว่า แพลตฟอร์ม (platform)

  4. ระบบปฏิบัติการ (operating systems) • ใช้สำหรับการควบคุมและประสานงานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหมดโดยเฉพาะกับส่วนนำเข้าและส่งออกผลลัพธ์ (I/O Device) บางครั้งเรียกว่า แพล็ตฟอร์ม (platform) • คอมพิวเตอร์จะทำงานได้จำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการติดตั้งอยู่ในเครื่องเสียก่อน

  5. คุณสมบัติในการทำงาน • การทำงานแบบ Multi-Tasking

  6. คุณสมบัติในการทำงาน • การทำงานแบบ Multi-User

  7. ประเภทของระบบปฏิบัติการประเภทของระบบปฏิบัติการ • อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-aloneOS) 2. ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (networkOS) 3. ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (embededOS)

  8. 1.ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-alone OS) • มุ่งเน้นและให้บริการสำหรับผู้ใช้เพียงคนเดียว (เจ้าของเครื่องนั้นๆ) • นิยมใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลและทำงานแบบทั่วไป เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ตามบ้านหรือสำนักงาน • รองรับการทำงานบางอย่าง เช่น พิมพ์รายงาน ดูหนัง ฟังเพลงหรือเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต เป็นต้น • ปัจจุบันสามารถเป็นเครื่องลูกข่ายเพื่อขอรับบริการจากเครื่องแม่ข่ายได้ด้วย

  9. 1.ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-alone OS) • DOS (Disk Operating System) • พัฒนาขึ้นเมื่อประมาณปี 1980 • ใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นหลัก • ป้อนชุดคำสั่งที่เรียกว่า command-line • ครั้งแรกที่ผลิตมีชื่อเรียกว่า PC-DOS ใช้งานบนเครื่อง IBM • ต่อมา Microsoft ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่เรียกว่า MS-DOS

  10. 1.ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-alone OS) • DOS (Disk Operating System)

  11. 1.ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-alone OS) • Windows • ส่วนประสานงานกับผู้ใช้แบบ GUI(Graphical User Interface) • ใช้งานได้ง่าย ผู้ใช้ไม่ต้องจดจำคำสั่งให้ยุ่งยาก • แบ่งงานออกเป็นส่วนๆที่เรียกว่า หน้าต่างงานหรือ Windows

  12. 1.ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-alone OS) • Windows

  13. 1.ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-alone OS) • Mac OS X • ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทแอปเปิ้ลเท่านั้น • เหมาะสมกับการใช้งานประเภทสิ่งพิมพ์เป็นหลัก • มีระบบสนับสนุนแบบ GUI เช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการWindows

  14. 1.ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-alone OS) • Mac OS X

  15. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (network OS) • มุ่งเน้นและให้บริการสำหรับผู้ใช้หลายๆคน (multi-user) • นิยมใช้สำหรับงานให้บริการและประมวลผลข้อมูลสำหรับเครือข่ายโดยเฉพาะ • มักพบเห็นได้กับการนำไปใช้ในองค์กรธุรกิจทั่วไป • เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบปฎิบัติการเหล่านี้จะเรียกว่าเครื่อง server (เครื่องแม่ข่าย)

  16. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • Windows Server • ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับระบบเครือข่าย • โดยเฉพาะ เดิมมีชื่อว่า Windows NT • รองรับกับการใช้งานในระดับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ • เหมาะกับการติดตั้งและใช้งานกับเครื่องประเภทแม่ข่าย (server)

  17. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • Unix • ผู้ใช้กับต้องมีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์พอสมควร • รองรับกับการทำงานของผู้ใช้ได้หลายๆคนพร้อมกัน (multi-user) • มีการพัฒนาระบบที่สนับสนุนให้ใช้งานได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบเครือข่าย

  18. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • Unix

  19. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • Linux • พัฒนามาจากระบบ Unix • ใช้โค้ดที่เขียนประเภทโอเพ่นซอร์ส(open source) • มีการผลิตออกมาหลายชื่อเรียกแตกต่างกันไป • มีทั้งแบบที่ใช้สำหรับงานแบบเดี่ยวตามบ้านและแบบที่ใช้สำหรับงานควบคุมเครือข่ายเช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการแบบ Unix

  20. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • Linux

  21. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • OS/2 Warp Server • พัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็ม ปัจจุบันเลิกพัฒนาแล้ว • ใช้เป็นระบบเพื่อควบคุมเครื่องแม่ข่ายหรือ serverเช่นเดียวกัน

  22. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • OS/2 Warp Server

  23. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • Solaris • ทำงานคล้ายกับระบบปฏิบัติการแบบ Unix (Unix compatible) • ผลิตโดยบริษัทซัน ไมโครซิสเต็มส์

  24. 2.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS) • Solaris

  25. 3.ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (embeded OS) • พบเห็นได้ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก เช่น พีดีเอ หรือ smartphone บางรุ่น • สนับสนุนการทำงานแบบเคลื่อนที่ได้เป็นอย่างดี • บางระบบมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับระบบปฎิบัติการแบบเดี่ยว เช่น ดูหนัง ฟังเพลงหรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้

  26. 3.ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS) • Pocket PC OS (Windows CE เดิม) • ย่อขนาดการทำงานของ Windowsให้มี • ขนาดที่เล็กลง (scaled-down version) • รองรับการทำงานแบบ multi-tasking ได้ • มักติดตั้งบนเครื่อง Pocket PC หรืออาจพบเห็นในมือถือประเภท smart phone บางรุ่น

  27. 3.ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS) • Palm OS • พัฒนาขึ้นมาก่อน Pocket PC OS • ลักษณะงานที่ใช้จะคล้ายๆกัน • ใช้กับเครื่องที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทปาล์มและบางค่ายเท่านั้น เช่น Visor (ของค่าย Handspring) และ CLIE (ของค่าย Sony)

  28. 3.ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS) • Symbian OS • รองรับกับเทคโนโลยีการ • สื่อสารแบบไร้สาย (wireless) โดยเฉพาะ ผลิตโดยบริษัทซิมเบียน • นิยมใช้กับโทรศัพท์มือถือประเภท smart phone • สนับสนุนการทำงานแบบหลายๆงานในเวลาเดียวกัน (multi-tasking)

  29. 3.ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS) • OSX • เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้เครื่อง iphoneและเป็นระบบปฏิบัติการเดียวกับที่ใช้บนเครื่อง Mac • รองรับการทำงานพร้อมกันหลายโปรแกรมหรือ Multitasking

  30. 3.ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS) • Android • เป็นระบบปฏิบัติการบนโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพาที่พัฒนาโดยบริษัท Google • มีโปรแกรมสำหรับการใช้งาน เช่น SMS, ปฏิทิน, เบราเซอร์, สมุดโทรศัพท์ โปรแกรมดูวิดีโอ, แผนที่นำทาง เป็นต้น

  31. โปรแกรมอรรถประโยชน์หรือโปรแกรมยูทิลิตี้ (Utility Program) • ส่วนใหญ่จะมีขนาดของไฟล์ที่เล็กกว่าระบบปฏิบัติการ • มีคุณสมบัติในการใช้งานค่อนข้างหลากหลายหรือใช้งานได้แบบอรรถประโยชน์ • นิยมเรียกสั้นๆว่า ยูทิลิตี้ (utility) • อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ • ยูทิลิตี้สำหรับระบบปฏิบัติการ (OS utility programs) • ยูทิลิตี้อื่นๆ (stand-alone utility programs)

  32. ยูทิลิตี้สำหรับระบบปฏิบัติการ (OS Utility Programs) • ตัวอย่างของยูทิลิตี้ที่ทำงานด้านต่างๆ • ประเภทการจัดการไฟล์ (FileManager) • ประเภทการลบทิ้งโปรแกรม (Uninstaller) • ประเภทการสแกนดิสก์ (DiskScanner) • ประเภทการจัดเรียงพื้นที่เก็บข้อมูล (DiskDefragmenter) • ประเภทรักษาหน้าจอ (ScreenSaver)

  33. ยูทิลิตี้สำหรับระบบปฏิบัติการ (OS Utility Programs) • ประเภทการจัดการไฟล์ (File Manager) • มีหน้าที่หลักในการจัดการเกี่ยวกับไฟล์ต่างๆ • เช่น การคัดลอก การเปลี่ยนชื่อ การลบและการย้ายไฟล์ เป็นต้น • ระบบปฏิบัติการ Windows รุ่นใหม่ๆยังได้เพิ่มคุณสมบัติที่เรียกว่า image viewer เพื่อนำมาปรับใช้กับไฟล์รูปภาพได้

  34. ยูทิลิตี้สำหรับระบบปฏิบัติการ (OS Utility Programs) • ประเภทการลบทิ้งโปรแกรม(Uninstaller) • ลบหรือกำจัดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้ออกไปจากระบบ • ทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลมีเหลือเพิ่มมากขึ้น • ทำงานได้อย่างง่ายดาย

  35. ยูทิลิตี้สำหรับระบบปฏิบัติการ (OS Utility Programs) • ประเภทการสแกนดิสก์ (Disk Scanner) • สแกนหาข้อผิดพลาดต่างๆพร้อมทั้งหาทางแก้ปัญหาในดิสก์ • ประยุกต์ใช้เพื่อสแกนหาไฟล์ที่ไม่ต้องการใช้งาน (unnecessary files) เมื่อใช้คอมพิวเตอร์ไประยะหนึ่งได้

  36. ยูทิลิตี้สำหรับระบบปฏิบัติการ (OS Utility Programs) • ประเภทการจัดเรียงพื้นที่เก็บข้อมูล (Disk Defragmenter) • ช่วยในการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลให้เป็นระเบียบ และเป็นกลุ่มเป็นก้อน • เมื่อต้องการใช้งานไฟล์ข้อมูลในภายหลังจะเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และรวดเร็วกว่าเดิม

  37. ยูทิลิตี้สำหรับระบบปฏิบัติการ (OS Utility Programs) • ประเภทรักษาหน้าจอ (Screen Saver) • ช่วยถนอมอายุการใช้งานของจอคอมพิวเตอร์ให้ยาวนานมากขึ้น • ใช้ภาพเคลื่อนไหวไปมา และเลือกลวดลายหรือภาพได้ด้วยตนเอง • อาจพบเห็นกับการตั้งค่ารหัสผ่านของโปรแกรมรักษาหน้าจอเอาไว้ได้

  38. ยูทิลิตี้อื่นๆ (Stand-Alone Utility Programs) • เป็นยูทิลิตี้ที่ทำงานด้านอื่นโดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับระบบปฎิบัติการ • มักทำงานเฉพาะอย่าง หรือด้านใดด้านหนึ่ง • มีทั้งที่แจกให้ใช้ฟรีและเสียเงิน • มีให้เลือกใช้เยอะและหลากหลายมาก • ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่

  39. ยูทิลิตี้อื่นๆ (Stand-Alone Utility Programs) • โปรแกรมป้องกันไวรัส (Anti Virus Program) • ติดตั้งไว้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับโปรแกรมประสงค์ร้าย • ต้องอัพเดทข้อมูลใหม่อยู่เสมอเพื่อให้รู้จักและหาทางยั้บยั้งไวรัสใหม่ๆที่เกิดขึ้นทุกวัน • ควรติดตั้งไว้ในเครื่องทุกเครื่อง

  40. ยูทิลิตี้อื่นๆ (Stand-Alone Utility Programs) • โปรแกรมไฟร์วอลล์ (PersonalFirewall) • ป้องกันการบุกรุกจากผู้ไม่ประสงค์ดี • สามารถติดตามและตรวจสอบรายการต่างๆของผู้บุกรุกได้ • เหมาะกับเครื่องที่ต้องการรักษา • ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอย่างมาก

  41. ยูทิลิตี้อื่นๆ (Stand-Alone Utility Programs) • โปรแกรมบีบอัดไฟล์ (File Compression Utility) • เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่บีบอัดไฟล์ให้มีขนาดที่เล็กลง • ไฟล์ที่ได้จากการบีบอัดไฟล์บางครั้ง นิยมเรียกว่า ซิปไฟล์ (zip files) • ยูทิลิตี้ที่นิยมใช้และรู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น PKZip, WinZip เป็นต้น

  42. หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ โปรแกรมประยุกต์ที่ผลิตขึ้นมา จะทำให้ติดตั้งหรือใช้งานบนระบบปฏิบัติการตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้กับระบบปฏิบัติการอื่นได้ แต่ยังมีโปรแกรมประยุกต์บางกลุ่มเรียกว่า Cross-platform Application ที่สามารถทำงานได้กับระบบปฏิบัติการหลาย ๆ แพลตฟอร์ม โปรแกรมประยุกต์ (Application) ระบบปฏิบัติการ/แพลตฟอร์ม A ระบบปฏิบัติการ/แพลตฟอร์ม B ระบบปฏิบัติการ/แพลตฟอร์ม C ระบบปฏิบัติการ/แพลตฟอร์ม D

  43. ไบออส (BIOS - Basic Input Output System) • เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคำสั่งที่บรรจุอยู่ในส่วนของหน่วยความจำ ROM • ตัวโปรแกรมคำสั่งที่เก็บไว้จะอยู่ได้อย่างถาวร มีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์มาตรฐานในเครื่อง • ปัจจุบันอุปกรณ์ที่ใช้เก็บโปรแกรมไบออสจะเป็นวงจรหน่วยความจำแบบ FlashROM ที่สามารถแก้ไขโปรแกรมได้ (แต่ไม่บ่อยนัก)

  44. เริ่มต้นการทำงานของคอมพิวเตอร์ (Boot Up)

  45. ประเภทของการบู๊ตเครื่องประเภทของการบู๊ตเครื่อง • การบู๊ตเครื่อง คือ ขั้นตอนที่คอมพิวเตอร์เริ่มทำการโหลด • ระบบปฏิบัติการเข้าไปไว้ในหน่วยความจำ RAMสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกันคือ - โคลด์บู๊ต (Coldboot) - วอร์มบู๊ต (Warmboot)

  46. ประเภทของการบู๊ตเครื่องประเภทของการบู๊ตเครื่อง โคลบู๊ต (Cold boot) การบู๊ตเครื่องที่อาศัยการทำงานของฮาร์ดแวร์ • กดปุ่มเปิดเครื่อง (PowerOn) เพื่อเข้าสู่กระบวนการทำงานโดยทันที • ปุ่มเปิดเครื่องเป็นเหมือนสวิตช์ปิดเปิดการทำงานโดยรวมของคอมพิวเตอร์เหมือนกับสวิตช์ของอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป

  47. ประเภทของการบู๊ตเครื่องประเภทของการบู๊ตเครื่อง วอร์มบู๊ต (Warm boot) • การบู๊ตเครื่องเพื่อให้เกิดกระบวนการบู๊ตใหม่หรือที่เรียกว่า การรีสตาร์ทเครื่อง (restart) สามารถทำได้สามวิธีคือ • กดปุ่ม Resetบนตัวเครื่อง • กดปุ่ม Ctrl+alt+deleteจากแป้นพิมพ์ แล้วเลือกคำสั่ง restart • สั่งรีสตารท์เครื่องได้จากเมนูบนระบบปฏิบัติการ

  48. ส่วนประสานงานกับผู้ใช้ (User Interface) • คือ ส่วนการทำงานของโปรแกรมที่ติดต่อหรือเป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์ให้ทำงานได้ตามที่ต้องการ • แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ • ประเภทคอมมานด์ไลน์ (CommandLine) • ประเภทกราฟิก (GUI - GraphicalUserInterface)

  49. ส่วนประสานงานกับผู้ใช้ (User Interface) ประเภทคอมมานด์ไลน์ (Command Line) • อนุญาตให้ป้อนรูปแบบคำสั่งที่เป็นตัวหนังสือ (text) สั่งการลงไปทีละบรรทัดคำสั่ง • เรียกว่า คอมมานไลด์ (commandline)

  50. ส่วนประสานงานกับผู้ใช้ (User Interface) ประเภทกราฟิก (GUI - Graphical User Interface) • นำเอารูปภาพมาปรับใช้สั่งงานแทนตัวอักษร เช่น ในระบบปฏิบัติการ Windows • ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจดจำรูปแบบคำสั่งเพื่อใช้งานให้ยุ่งยากเหมือนกับแบบ คอมมานด์ไลน์ • เพียงแค่เลือกรายการคำสั่งภาพที่ปรากฏบนจอนั้นผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เมาส์หรือคีย์บอร์ด

More Related