1 / 30

ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น

ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น. บทนิยาม. จำนวนเต็ม n ที่ไม่เท่ากับศูนย์จะหารจำนวนเต็ม m ลงตัวก็ต่อเมื่อ มี จำนวนเต็ม c ซึ่ง m = nc. ใช้ n | m แทน n หาร m ลงตัว. เช่น 4 | 8. ใช้ n | m แทน n หาร m ไม่ลงตัว. เช่น 4 | 9. ตัวอย่าง.

rhea
Download Presentation

ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น บทนิยาม จำนวนเต็ม n ที่ไม่เท่ากับศูนย์จะหารจำนวนเต็ม m ลงตัวก็ต่อเมื่อ มี จำนวนเต็ม c ซึ่ง m = nc ใช้ n | m แทน n หาร m ลงตัว เช่น 4 | 8 ใช้ n | m แทน n หาร m ไม่ลงตัว เช่น 4 | 9

  2. ตัวอย่าง 2 | 8ทั้งนี้เพราะมีจำนวนเต็ม 4 ซึ่ง 8 = (2)(4) -3 | 15ทั้งนี้เพราะมีจำนวนเต็ม -5 ซึ่ง 15 = (-3)(-5) 5 | 18ทั้งนี้เพราะไม่มีจำนวนเต็ม c ซึ่ง 18 = (5)(c)

  3. ทฤษฎีบทที่ 1 กำหนด a เป็นจำนวนเต็ม และ a 0 แล้ว (1) a | 0 (2) 1 | a (3) a | a พิสูจน์ ผลหาร ตัวตั้ง ตัวหาร (1) เนื่องจากมี 0 ซึ่งทำให้ 0 = (a)(0) ดังนั้น a | 0 a = (1)(a) ดังนั้น 1 | a (2) เนื่องจากมี a ซึ่งทำให้ (3) เนื่องจากมี 1 ซึ่งทำให้ a = (a)(1) ดังนั้น a | a

  4. ทฤษฎีบทที่ 2 ถ้า a | b และ b | c แล้ว a | c พิสูจน์ เพราะว่า a | bโดยบทนิยาม จะมีจำนวนเต็ม dซึ่ง b = ad…………(1) เพราะว่า b | cโดยบทนิยาม จะมีจำนวนเต็ม eซึ่ง c = be ………….(2) จากสมการ (1) และ (2) จะได้ว่า c = (ad)e = a(de) ……(3) เนื่องจาก d , eเป็นจำนวนเต็ม ดังนั้น deเป็นจำนวนเต็ม ดังนั้น จาก (3) และ โดยบทนิยาม จะได้ว่า a | c

  5. ทฤษฎีบทที่ 3 ถ้า a และ b เป็นจำนวนเต็มบวกซึ่ง a | bจะได้ พิสูจน์ (ต้องแสดงให้ได้ว่า ) เพราะว่า a | b โดยบทนิยาม จะมีจำนวนเต็ม c ซึ่งb = ac b - a = ac - a = a (c -1) ( เนื่องจาก a , b , c เป็นจำนวนเต็มบวก ) ดังนั้น จะได้ ดังนั้น

  6. ทฤษฎีบทที่ 4 ถ้า a , b และ c เป็นจำนวนเต็มซึ่ง a | b และ a | c จะได้ a | (bx + cy) โดยที่ x และ y เป็นจำนวนเต็มใดๆ พิสูจน์ เพราะว่าa | b ดังนั้น จะมีจำนวนเต็ม m ซึ่ง b = am เพราะว่า a | c ดังนั้น จะมีจำนวนเต็ม n ซึ่ง c = an ดังนั้น bx = (am)x = a(mx) cy = (an)y = a(ny) เพราะฉะนั้น bx + cy = a(mx) + a(ny) bx + cy = a(mx + ny) และ (mx + ny)เป็นจำนวนเต็ม จะได้ a | (bx + cy)

  7. ตัวอย่าง จงแสดงว่า ถ้า n เป็นจำนวนคี่ แล้ว 4 หาร n2- 1 ลงตัว พิสูจน์ เนื่องจาก n เป็นจำนวนคี่ จะได้ n = 2k - 1 เมื่อ k เป็นจำนวนเต็ม (2k - 1)2 - 1 ดังนั้น n2 - 1 = = 4k2 - 4k + 1 - 1 = 4 (k2 - k) , k2 - k เป็นจำนวนเต็ม ดังนั้น 4 | n2 - 1

  8. ตัวอย่าง ถ้า d เป็นจำนวนเต็มบวกซึ่ง d | (15k + 27) และd | (5k + 2) จงหาค่า d วิธีทำ d | [(15k +27) - 3(5k + 2)] ( จากทบ. ที่ 4) จะได้ว่า d | 15k + 27 - 15k -10 d | 17 17 ดังนั้น d = 1 หรือ ตรวจสอบ ถ้า k = 3 จะได้ 17 | 102 และ 17 | 17 ซึ่งเป็นจริง

  9. ตัวอย่าง ถ้า a | (2p - 3q) และ a | (4p - 5q) จงแสดงว่า a | q วิธีทำ เนื่องจาก a | (2p -3q) 2p - 3q = a x จะได้ว่า , x เป็นจำนวนเต็ม …. (1) …. (2) 4p - 5q = a y และ , y เป็นจำนวนเต็ม ….(3) 4p - 6q = 2ax นำ 2 คูณสมการ (1) จะได้ q = ay - 2ax (2) - (3) จะได้ = a (y - 2x) , y - 2x เป็นจำนวนเต็ม ดังนั้น a | q จำนวนเต็ม จำไว้ จะแสดงว่า a | qต้องทำให้ได้ว่า q = a ( )

  10. จำนวนเฉพาะ (prime numbers) จำนวนเต็ม p 0 จะเป็นจำนวนเฉพาะก็ต่อเมื่อ p 1 , -1และจำนวนเต็ม x หาร p ลงตัว จะได้ x {1, -1, p , -p} เรียกจำนวนเต็ม x ที่ไม่ใช่จำนวนเฉพาะและไม่ใช่ 0 , 1 , -1 ว่า จำนวนประกอบ

  11. ทฤษฎีบทที่ 5 (หลักการมีตัวประกอบชุดเดียว) จำนวนเต็ม n ที่มากกว่า 1 สามารถแยกตัวประกอบเฉพาะดังต่อไปนี้ ได้รูปแบบเดียว ซึ่ง ทุกตัวเป็นจำนวนเฉพาะ เช่น 4725 เขียนในรูปผลคูณของจำนวนเฉพาะบวกได้

  12. ทฤษฎีบท ถ้า n เป็นจำนวนเต็มโดยที่ n > 1 และ n เป็นจำนวนประกอบ แล้วจะมีจำนวนเฉพาะ p ซึ่ง และ p | n หรืออาจกล่าวได้ว่า ถ้า n เป็นจำนวนเต็ม โดยที่ n > 1 และ จำนวนเฉพาะบวก ทุกจำนวนที่น้อยกว่า หรือเท่ากับ หาร n ไม่ลงตัวแล้ว n เป็นจำนวนเฉพาะ

  13. ตัวอย่าง จงตรวจสอบว่า 221 เป็นจำนวนเฉพาะหรือจำนวนประกอบ วิธีทำ 14 15 ดังนั้น จำนวนเฉพาะที่ น้อยกว่าหรือเท่ากับ คือ 2 , 3 , 5 , 7 , 11 , 13 และเมื่อนำจำนวนเฉพาะเหล่านี้ไปหาร 221 พบว่า 13 | 221 และ 221 = 13 (17) ดังนั้น 221 เป็นจำนวนประกอบ

  14. ตัวอย่าง จงตรวจสอบว่า 211 เป็นจำนวนเฉพาะหรือจำนวนประกอบ วิธีทำ 14 15 ดังนั้น จำนวนเฉพาะที่ น้อยกว่าหรือเท่ากับ คือ 2 , 3 , 5 , 7 , 11 , 13 และเมื่อนำจำนวนเฉพาะเหล่านี้ไปหาร 211 พบว่า ไม่มี จำนวนเฉพาะใดหาร 211 ลงตัว ดังนั้น 211 เป็นจำนวนเฉพาะ

  15. ทฤษฎีบทที่ 6 ขั้นวิธีการหาร (Division algorith) ให้ m และ n เป็นจำนวนเต็ม n 0 จะมีจำนวนเต็ม q และ rชุดเดียวซึ่ง m = nq + r โดย เรียก q ว่าผลหาร และเรียก r ว่าเศษ ผลหาร เศษ เช่น 5 หาร -28 จะได้ - 28 = 5(-6) + 2 45 = (-2)(-22) + 1 -2 หาร 45 จะได้ เศษ ผลหาร

  16. บทนิยาม จำนวนเต็ม a จะเป็นจำนวนคู่ ก็ต่อเมื่อสามารถเขียน a = 2m เมื่อ m เป็นจำนวนเต็ม 6 เป็นจำนวนคู่ เพราะ 6 = 2(3) จำนวนเต็ม a จะเป็นจำนวนคี่ ก็ต่อเมื่อสามารถเขียน a = 2m + 1 เมื่อ m เป็นจำนวนเต็ม 9 เป็นจำนวนคี่ เพราะ 9 = 2(4) + 1

  17. บทนิยาม กำหนดจำนวนเต็ม a , b ซึ่ง a2 + b2จำนวนเต็มบวก dจะเป็นตัวหารร่วมมาก (ห.ร.ม.) ของ a , b ก็ต่อเมื่อ 1. d | a และ d | b 2. ถ้า c เป็นจำนวนเต็มซึ่ง c | a และ c | b จะได้ว่า c | d ห.ร.ม. ที่เป็นบวกของ a , b ใช้สัญลักษณ์ แทนด้วย ( a , b) จาก d = (a,b) เราสามารถเขียน d ในรูปเชิงเส้นของa และ b ได้ดังนี้ d = ax + by เมื่อ x , y เป็นจำนวนเต็ม

  18. ตัวอย่าง จงหา ห.ร.ม. ของ -24 และ 56 โดยใช้ขั้นตอนยูคลิด วิธีทำ จะหา (-24 , 56) โดยใช้ขั้นตอนยูคลิดได้ดังนี้ 24(2) + 56 = 8 0 8(3) + 24 = จำนวนที่หารลงตัว หรือเศษเป็น 0 8 แสดงว่า (-24 , 56) = สามารถเขียน ห.ร.ม. ในรูปผลรวมเชิงเส้นได้ดังนี้ 8 = 56(1) - 24(2) = 56(1) + (-24)(2)

  19. ตัวอย่าง จงหา (56,72) วิธีทำ หา ห.ร.ม. โดยเขียนในรูปตาราง 3 72 56 1 48 56 2 8 16 16 0 2 ดังนั้น ( 56 , 72) =

  20. ตัวอย่าง 1. จงหา (56 ,72) 2. จงหา จำนวน m และ n ซึ่ง (56 ,72) = 56m + 72n 1. หา ห.ร.ม. โดยขั้นตอนยูคลิด จะได้ วิธีทำ 2. โดยการย้อนกลับ 72 = 56(1) + 16 8 = 56 - 16(3) : จาก (2) ….(1) = 56 - [ 72 - 56(1) ](3) : จาก (1) 56 = 16(3) + 8 ….(2) = 56 - 72(3) + 56(3) 16 = 8(2) + 0 = 56(4) - 72(3) ดังนั้น ( 56 , 72 ) = 8 = 56(4) + 72(-3) 3 แสดงว่า m = 4 , n =

  21. ทฤษฎีบทที่ 7กำหนดจำนวนเต็ม m , n และจำนวนเฉพาะ p ถ้า p | mn จะได้ p | m หรือ p | n เช่น 7 | 28 7 | 4(7) จะได้ว่า 7 | 7 7 | 14 หรือ 7 | 2(14) จะได้ว่า จำนวนเฉพาะ เช่น 3 | 24 3 | 12(2) จะได้ว่า 3 | 12

  22. ทฤษฎีบทที่ 8 ถ้า d = ( m , n ) และ m = Md , n = Nd จะได้ 1 = ( M , N ) พิสูจน์ จาก d = (m ., n) จะได้ d = mx + ny , จะได้ d = Mdx + Ndy ดังนั้น 1 = Mx + Ny 1 = (M , N) 2 = ( 6 , 8 ) และ 6 = 3(2) , 8 = 4(2) จะได้ 1 = (3 , 4) เช่น

  23. บทนิยาม ให้ m , n เป็นจำนวนเต็มที่ไม่เป็นศูนย์ c เป็นตัวคูณร่วมน้อย (ค.ร.น.) ของ m และ n ก็ต่อเมื่อ 1. m | c และ n | c2. ถ้า a เป็นจำนวนเต็มซึ่ง m | a และ n | a แล้ว c | a ค.ร.น. ที่เป็นจำนวนบวกของ m และ n ใช้สัญลักษณ์ [m , n] ตัวอย่าง การหา ค.ร.น. ของ 6 และ 8 30 , 36 , 42 , 48 , 54 , . . . 12 , พหุคูณของ 6 ได้แก่ 6 , 18 , 24, พหุคูณของ 8 ได้แก่ 8 , 16 , 32 , 40 , 48 , 56 , 64 , ... 24 , ดังนั้นตัวคูณร่วมน้อยของ 6 และ 8 คือ 24 หรือ [ 6 , 8 ] = 24

  24. ตัวอย่าง จงหา ค.ร.น. ของ 6 และ 8 นำ 2 หาร 6 และ 8 วิธีทำ 2 6 8 ไม่มีจำนวนใดหารลงตัวทั้ง 2 หยุดแค่นี้ 3 4 ดังนั้น ค. ร. น. คือ หรือ ห.ร.ม. คือ 2

  25. ตัวอย่างจงหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของ 12 และ 20 วิธีทำ 12 20 2 6 2 10 3 5 ดังนั้น ห.ร.ม. คือ ค.ร.น. คือ

  26. ทฤษฎีบทที่ 9 ถ้า d และ c เป็น ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ที่เป็นบวกของ จำนวนเต็ม m และ nตามลำดับ จะได้ว่า dc = mn เช่น 4 = (12 , 20 ) และ 60= (12 , 20) จะได้ 4 (60) = 12 (20) ตัวอย่าง ให้ a เป็นจำนวนเต็มโดยที่ (a , 6 ) = 2 และ [a , 6] = 24 จงหาค่า a วิธีทำ โดยทฤษฎีบทที่ 9 จะได้ a (6) = 2 (24) a = 8

  27. สมภาค (Congruent , คอนกรูเอ็นซ์) บทนิยาม กำหนด a , b , m เป็นจำนวนเต็มและ m > 0 จะได้ว่า a สมภาคกับ b มอดุโล m เขียนแทนด้วย ก็ต่อเมื่อ 2 | 5 3 (mod 2) (5 - 3) เช่น เนื่องจาก 2 | (3 -5 ) 3 5 (mod 2) เนื่องจาก 6 | (27 - 4) 27 4 (mod 6) เนื่องจาก

  28. ตัวอย่าง พิจารณาว่าต่อไปนี้ถูกหรือผิด 1. 12 2 (mod 5) ถูก เพราะว่า 5 | (12 - 2) 6 | (27 - 4) เพราะว่า 2. 27 4 (mod 6) ผิด 5 | (-3 - (-23)) เพราะว่า ถูก 3. - 3 - 23 (mod 5) 79 - 9 (mod 11) 11 | (79 - (-9) ) 4. ผิด เพราะว่า เพราะว่า 8 | (25 - 4) ถูก 5. 25 4 (mod 8)

  29. ทฤษฎีบท ให้ a , b , c , m เป็นจำนวนเต็ม โดยที่ m > 0 a a (mod m) 1. คุณสมบัติการสะท้อนบน I a b (mod m) ถ้า 2. คุณสมบัติการสมมาตรบน I แล้ว b a (mod m) 3. คุณสมบัติการถ่ายทอดบน I a b (mod m) b c (mod m) ถ้า และ a c (mod m) แล้ว

  30. ข้อสังเกต จาก a b (mod m) m | (a - b) m | (a - b) จาก a - b = n m , n เป็นจำนวนเต็ม จะได้ว่า เศษ ดังนั้น a = n m + b แสดงว่า a หารด้วย m แล้ว เหลือเศษ b 30 2 (mod 7) เช่น มีความหมายได้เป็น 1. 7 หาร ( 30 - 2) ลงตัว 2. 7 หาร 30 แล้วเหลือเศษ 2 ( a b (mod m) ใช้ได้กรณีที่ b เป็นจำนวนเต็มบวกและ b < m )

More Related