1 / 54

การเลือกใช้คอมพิวเตอร์ ให้เหมาะสมกับงาน

การเลือกใช้คอมพิวเตอร์ ให้เหมาะสมกับงาน. จัดทำโดย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 นางสาว ณัฐ ชา เทียมทองใบ เลขที่ 33 นางสาว ธันย พร ตระหนักวิเศษกุล เลขที่ 37 นางสาว ปัทมพร ศรีโปดก เลขที่ 40 นางสาว อมราวดี เกิดสว่าง เนตร เลขที่ 41

raya-chaney
Download Presentation

การเลือกใช้คอมพิวเตอร์ ให้เหมาะสมกับงาน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การเลือกใช้คอมพิวเตอร์การเลือกใช้คอมพิวเตอร์ ให้เหมาะสมกับงาน

  2. จัดทำโดย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 นางสาว ณัฐชา เทียมทองใบ เลขที่ 33 นางสาว ธันยพร ตระหนักวิเศษกุล เลขที่ 37 นางสาว ปัทมพร ศรีโปดก เลขที่ 40 นางสาว อมราวดี เกิดสว่างเนตร เลขที่ 41 นางสาว วริษฐา วังกานนท์ เลขที่ 42

  3. การเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงานการเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน

  4. เลือกซื้อคอมพิวเตอร์อย่างไรให้เหมาะสมก่อนอื่นเราควรคำนึงวัตถุประสงค์หลักหรือความต้องการในการใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ ของตนเองก่อน ไม่ว่าจะเป็นสำหรับการทำงานหรือเพื่อความบันเทิงเนื่องจากงานต่างๆจะมีส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกชื้ออุปกรณ์ให้ตรงตามความต้องการและที่สำคัญคืองบประมาณของเราด้วย ซึ่งในปัจจุบันนี้ผู้ใช้ทั่วไปนิยมกำหนดรายละเอียดและเลือกซื้ออุปกรณ์ต่างๆด้วยตนเองเพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตรงตามความต้องการมากที่สุดอีกทั้งยังเป็นการควบคุมงบประมาณในกระเป๋าได้อีกทางหนึ่งด้วย

  5. การเลือกคอมพิวเตอร์มาใช้งานนั้นมีการจำแนกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. งานทางด้านเอกสาร รายงาน หรืองานสำนักงาน คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความต้องการใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะงานทั่วๆไปเช่นการพิมพ์งาน การดูหนังฟังเพลงและการใช้อินเตอร์เน็ตซึ่งโปรแกรมที่ใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรม Microsoft Office จึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากนัก

  6. 2. งานทางด้านกราฟิก ออกแบบสิ่งพิมพ์ และสื่อมัลติมีเดีย คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานในระดับมืออาชีพ เช่นวิศวกร สถาปนิกออกแบบอาคาร Graphic Designer หรือต้องการตัดต่อภาพยนตร์ ซึ่งผู้ซื้อที่มีความต้องการในระดับนี้มักจะมีงบประมาณในการเลือกซื้อที่มากเพียงพอในการเลือกซื้ออุปกรณ์รวมถึงอุปกรณ์เฉพาะด้านตามที่ต้องการจึงทำให้ราคานั้นอาจอยู่ในระดับค่อนข้างสูงและแน่นอนงบประมาณหรือค่าใช้จ่ายก็ต้องสูงตามด้วย

  7. 3. เล่นเกมคอมพิวเตอร์และบันเทิงเป็นหลัก คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ในการฟังเพลง ดูภาพยนตร์ในระดับคุณภาพเสียงแบบดิจิตอลหรือเล่นเกมส์แบบ 3D หรือเสียงสามมิติโดยเฉพาะซึ่งจะนิยมเลือกส่วนประกอบที่มีประสิทธิภาพในระดับปานกลางแต่เน้นอุปกรณ์เฉพาะด้านใช้CPUความเร็วปานกลางก็น่าจะพอ แล้วเลือก VGA Card หรือการ์ดจอที่ระดับความเร็วสูงสักหน่อยและเลือกลำโพงในระดับที่ดีพอควร งบประมาณหรือราคาจะอยู่ระดับปานกลาง

  8. การรับประกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์การรับประกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

  9. ระยะเวลาในการรับประกันสินค้าขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอุปกรณ์แต่ละชิ้น ซึ่งตามปกติแล้วคอมพิวเตอร์แบบประกอบเองมักมีการรับประกัน 1 ปี แต่ถ้าเป็นเครื่องยี่ห้อ (Brand Name) ซึ่งมีราคาแพงกว่าอาจมีการรับประกันถึง 3 ปี ถ้าหากเรามีงบประมาณไม่เพียงพอ การเลือกซื้อแบบประกอบเองก็เป็นทางเลือกที่ดี ทั้งนี้ ถ้ามีความเข้าใจในรายละเอียดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้วจะพบว่าชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในชิ้นมีการรับประกันมากกว่านั้นอีก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเรามากโดยมีรายละเอียดในการประกันชิ้นส่วนอุปกรณ์ดังนี้ คือ

  10. -ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)ผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง คือ Seagate และ Quantum ซึ่งนำเข้าโดยบริษัทอินแกรมและดีคอมพิวเตอร์ ซึ่งฮาร์ดดิสก์ของทั้งสองบริษัทดังกล่าวเป็นที่นิยมใช้กันมากในบ้านเรา เนื่องจากมีราคาถูกและแข็งแรงทนทานประกอบกับการรับประกันนานถึง 3 ปี ถ้าเสียหายใน 1 เดือนแรก บริษัทจะเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ใหม่ให้ทันที การรับประกันโดยทั่วไปไม่ครอบคลุมถึงฮาร์ดดิสก์ไหม้ เพราะเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว หรือเสียบเพราะทำหล่นหรือกระแทกอย่างแรง

  11. -เมนบอร์ด (Main board)ส่วนใหญ่จะมีการรับประกันขั้นต่ำ 1 ปี แต่ถ้าเป็นเมนบอร์ดที่มีชื่อเสียงจะมีการรับประกันถึง 3 ปี ซึ่งมีราคาสูงกว่าเล็กน้อยแต่ก็คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับเวลาในการรับประกัน ซึ่งจะรับประกันในกรณีที่เสียจากการใช้งานตามปกติเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายที่เกิดจากความผิดพลาดของเราเองเช่น ไหม้ เนื่องจากเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว เสียบการ์ดลงไปอย่างแรงทำให้เมนบอร์ดหักหรือลายวงจรขาด เป็นต้น โดยทั่วไปถ้าเมนบอร์ดเสียภายในเวลา 1 เดือนร้านจะเปลี่ยนให้ใหม่ (Clamed) ถ้าเสียหายหลังจากนั้นทางร้านจะส่งซ่อมโรงงาน และให้เรามารับกลับเมื่อซ่อมเสร็จแล้ว

  12. -ซีพียู (CPU)ซึ่งซีพียูที่มีชื่อเสียง คือ ค่ายของ Intel นำเข้าโดยบริษัทอินแกรมและดีคอมพิวเตอร์ส่วนซีพียูของค่าย AMD นำเข้าโดยบริษัท Power Highland และค่ายของ VIA ซึ่งซีพียูของทั้งสามบริษัทนี้มีการรับประกันสินค้า 3 ปี ส่วนซีพียูที่นำเข้าโดยผู้ค้ารายย่อยอื่นๆ มีการรับประกันเพียง 1 ปี ดังนั้นก่อนซื้อควรพิจารณาดูให้ดี แต่ตามปกติแล้วซีพียูมักจะเสียหายยากกว่าอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ นอกจากเราจะทำการโอเวอร์คล็อกมาเกินไปจนทำให้เกิดความร้อนสูง หรือในกรณีที่เราเสียบขาซีพียูลงใน Slot หรือ Socket ผิดด้าน จะทำให้ซีพียูไหม้ ซึ่งไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกันเช่นเดียวกับเมนบอร์ด โดยทั่วไปถ้าซีพียูเสียหายภายใน 1 เดือน ทางร้านจะเปลี่ยนให้ใหม่ แต่ถ้าเสียหายหลังจากนั้นทางร้านจะส่งคืนโรงงานรอการเคลมประกันต่อไป

  13. -หน่วยความจำหรือแรม (RAM)จะแบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ เกรดดีจะมีการรับประกันตลอดอายุการใช้งาน (Livetime Warranty)ประเภทนี้จะมีราคาแพงกว่าแรมชนิดอื่น ซึ่งมักจะเป็นแรมเกรดทั่วไปที่รับประกันเพียง 1 ปี แต่แรมชนิดทั่วไปนี้จะมีราคาถูกกว่าแรมเกรดดีมาก -ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk)ส่วนใหญ่มีการรับประกัน 1 ปี บางยี่ห้อซึ่งมีราคาถูกมากจะรับประกันเพียง 1 เดือนเท่านั้น ดังนั้นก่อนจะซื้อควรสอบถามทางผู้ขายให้แน่ใจเสียก่อน -ซีดีรอม (CD-ROM)รับประกัน 1 ปี แต่ถ้าหากเสียหาย หรือมีปัญหาก็ให้รีบส่งทางร้านภายใน 15 วัน ทางร้านจะเปลี่ยนสินค้าใหม่ ถ้าหลังจากนั้นคงต้องส่งเคลมประกันที่โรงงานและมารับกลับเองเมื่อซ่อมเสร็จ

  14. -การ์ดจอ และการ์ดเสียง (Video & Sound Card) รับประกัน 1 ปี ส่วนใหญ่อุปกรณ์ประเภทนี้มักไม่เสียง่าย แต่จะมีปัญหาในเรื่องของการเสียบการ์ดไม่แน่น ทำให้ไม่มีภาพปรากฏบนหน้าจอเท่านั้น -แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply)รับประกัน 1 ปี ซึ่งแหล่งจ่ายไฟบางครั้งมีผลต่อการทำงานของเครื่องเช่นกัน สินค้าประเภทอื่นมักมีใบรับประกันสินค้า แต่สินค้าประเภทคอมพิวเตอร์มักใช้สติ๊กเกอร์รับประกัน (Warranty Sticker) เพื่อยืนยันว่าสินค้านี้มาจากร้านของตนจริง โดยมีการกำหนดวันที่จำหน่าย และระยะเวลาในการรับประกันไว้

  15. 1.) สติ๊กเกอร์ที่กำหนดเวลาเริ่มต้นการรับประกัน ซึ่งเป็นแบบที่นิยมกันมากกว่าเพราะง่ายต่อการบันทึกวันเริ่มต้นรับประกันไป เนื่องจากอุปกรณ์แต่ละชิ้นมีระยะเวลาในการรับประกันไม่เท่ากันเช่น ซื้อสินค้าไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2002 เป็นต้น 2.) สติ๊กเกอร์กำหนดเวลาสิ้นสุดการรับประกัน รับเป็นรูปแบบสติ๊กเกอร์ที่อำนวยความสะดวกสำหรับผู้ซื้อ เนื่องจากจะทราบเวลาสิ้นสุดการรับประกันสินค้าได้ อย่างชัดเจนจากการเขียนลงบนสติ๊กเกอร์นั้นแต่ทางร้านไม่นิยมใช้แบบนี้ เนื่องจากต้องระบุวันที่สิ้นสุดการรับประกันลงไป ซึ่งมีโอกาสที่จะเขียนผิดพลาดได้ง่าย วันสิ้นสุดการรับประกันในสินค้ามักมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า EXPIRE อยู่ด้วยเสมอ สติ๊กเกอร์แบบนี้ที่บริเวณด้านล่างมักจะมีคำว่า Warranty Void If Remove หมายความว่า รับประกันจะสิ้นสุดลง เมื่อมีการแกะหรือฉีกสติ๊กเกอร์ออกจากตัวสินค้านั้น ดังนั้นเมื่อซื้อสินค้าควรจะตรวจดูสติ๊กเกอร์รับประกันด้วยว่า ยังอยู่หรือติดไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือไม่ โดยทั่วไปสติ๊กเกอร์รับประกันจะมี 2 รูปแบบ คือ

  16. การเลือกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์การเลือกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

  17. การเลือกหน่วยประมวลผลกลางการเลือกหน่วยประมวลผลกลาง 1.ความเร็วของ ซีพียู         ความเร็วของซีพียู   ซึ่งใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวกำหนดนะครับ  โดยมีหน่วยเป็น “เฮิรตซ์ (Hz)”  ก็คือการที่ซีพียูทำงาน 1 ครั้งต่อ 1 วินาทีนั้นเอง  แต่ในปัจจุบันซีพียูนั้นมีความเร็วมากอยู่ในระดับ “กิกะเฮิรตซ์ (GHz)” แล้ว  เช่น 1 กิกะเฮิรตซ์  คือซีพียูทำงานได้ถึง 1 พันล้านครั้ง  ต่อวินาที  ยิ่งมีค่าสัญญาณนาฬิกามากเท่าไหร่ก็สามารถทำงานได้รวดเร็วเท่านั้น เช่น AMD Phenom 9650 2.3GHz 

  18. 2.หน่วยความจำแคช(Cache) หน่วยความจำแคชก็เป็นหน่วยความจำหนึ่งที่ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ  เพราะแคชมีหน้าที่ในการจัดเก็บคำสั่งและข้อมูลที่ได้ใช้บ่อยๆ  เพื่อส่งไปยังซีพียู  ซึ่งแคชเองทำงานร่วมกับแรมเพื่อเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง 2 อุปกรณ์  ให้เชื่อมต่อกันเพราะฉะนั้นแล้วยิ่งมีแคชมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเร็วเท่านั้นด้วย

  19. ในปัจจุบันเองได้มีการเพิ่มเทคโนโลยี Pre-Fetch ในบางรุ่นจะมี ที่มีแคชถึงระดับ L3 ทำหน้าที่ในการคอยอ่านข้อมูลจากแรมมายังแควตลอกเวลา  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น  โดยความเร็วทั้ง 3 ระดับดังนี้ แคชระดับที่ 1 (L1)เป็นแคชขนาดเล็ก  เป็นแคชที่มีขนาดเล็กที่สุด  อยู่แค่ 32-128 KB เท่านั้น  และอยู่ใกล้ชิดกับซีพียูมากที่สุด   แคชระดับที่ 2 (L2)จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเพราะจะทำการเก็บข้อมูลจากแรมเป็นหลัก แคชระดับที่ 3 (L3)อยู่คั่นกลางระหว่างแรมกับแคช L2 โดยจะมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งมีประมาณ 2-8 MB และจะอยู่ใกล้กับบัสเพื่อสามารถที่จะถ่ายโดยข้อมูลไปยังส่วนต่างๆได้ง่ายขึ้น

  20. 3. บัส(BUS)ถือได้ว่ามีความสำคัญเหมือนกัน เพราะ บัสคือ นำไฟฟ้าที่เป็นทาง เดินของข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบัสในคอมพิวเตอร์คือบัสข้อมูล (Data bus) ซึ่งมีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hz)  จะมีค่า FSB อย่างเช่น FSB 1066 เป็นต้น 4. ซีพียู จากค่ายต่างๆ สำหรับซีพียูนี้ก็มี 2 ค่าย ใหญ่ที่ผลิตออกมาให้เราได้ใช้กัน คือ Intel และ AMD Intelเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด แล้วยังเป็นผู้ผลิต ซีพียูรายแรกอีกด้วย  สำหนับซีพียู  ที่ Intel ผลิตนั้นก็มี หลาย รุ่นออกมาให้เลือก และต่างมีเทคโนโลยีที่ต่างกัน

  21. AMDเป็นผู้ผลิตที่นอกเหนือจาก Intel ที่เข้ามา แย่งตลาดกัน โดยจะมีราคาที่ถูกกว่าเมือเปรียบเทียบกับ ประสิทธิภาพ  5. งบประมาณ ในสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของใครบางคน  คืองบประมาณนั้นล่ะครับ  บางคนอาจจะเป็นอันดับแรกเลยก็ว่าได้ครับ  ในปัจจุบันราคาต่ำมากจนแทบบอกได้ว่า  ไม่ถึงพันก็มีแต่ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพที่จะได้รับด้วย  เดี๋ยวนี้ซีพียูราคาถูกๆ  ก็สามารถทำงานได้หลายอย่างแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกซื้อราคาแพงๆ  มาใช้นะครับ

  22. การเลือกเมนบอร์ด เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้นคุณภาพในการ ใช้งานขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อด้วย  โดยจะมีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1. ซ็อกเก็ตซ็อกเก็ตมีตำแหน่งที่ติดตั้ง  ซีพียู  ซึ่งจะเลือกซ็อกเก็ตแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กันที่เราเลือกซื้อซีพียูด้วย  ไม่ว่าจะเป็นซ็อกเก็ตไหนเราก็ต้องที่จะเลือกซีพียูนั้นก่อนครับ  ถึงที่จะเลือกในขั้นต่อไปได้  ซึ้งได้ทำการเปรียบเทียวกับการเลือกซื้อ ซีพียู ก่อนหน้านี้แล้ว

  23. 2. ซิปเซ็ต ซิปเซ็ตมีความสำคัญอย่างยิ่ง  เพราะเป็นสิ่งที่รองรับเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงรองรับอุปกรณ์ต่างๆด้วย  ควนที่จะคำนึงถึงตรงนี้ก่อนครับ  ว่าเข้ากับอุปกรณ์อะไรบ้าง  โดยจะมีซิปเซตอยู่ 2 แบบก็คือ • North Bridgเป็นซิปเซตที่ควบคุมการทำงานที่ควบคุมอุปกรณ์หลักใหญ่ๆ  เลยได้แก่ ซีพียู แรมและ สล็อตของการ์อจอด้วย • - South Bridgเป็นซิปเซต  ที่ควบคุมอุปกรณ์ที่นอกเหนือจาก North Bridge ที่ควบคุมอยู่  จะเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ  และสล็อตต่างๆด้วย • 3.สล็อกต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญมากในการเลือกซื้อเช่นกัน  เพราะว่าจะเลือกแบบมี ที่ใส่แรม หรือสล็อกPCI มาแค่ไหนขึ้นอยู่กับความต้องการว่าจะมีอุปกรณ์ใดมาเสริมอีกหรือไม่

  24. 4. หน่วยความจำรอมไบออส  ไบออส BIOS (Basic Input Output System) หรืออาจเรียกว่าซีมอส (CMOS) เป็นชิพหน่วยความจำชนิด หนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และโปรแกรมขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ โดยในอดีต ส่วนของชิพรอมไบออสจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ชิพไบออส และชิพซีมอส ซึ่งชิพซีไปออสจะทำหน้าที่ เก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนชิพซีมอสจะทำหน้าที่ เก็บโปรแกรมขนาดเล็ก ที่ใช้ในการบูตระบบ และสามารถเปลี่ยนข้อมูลบางส่วนภายในชิพได้ ชิพไบออสใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของรอม ส่วนชิพซีมอสจะใช้เทคโนโลยีของแรม

  25. 5.ยี่ห้อ ในปัจจุบันมียี่ห้อต่างๆมากมายที่ ผลิตเมนบอร์ดขึ้นมาใช้งานเป็นจำนวนมากหลายยี่ห้อ  เราควรที่จะคำนึงถึงประสิทธิภาพเป็นสำคัญ  เพราะบางยี่ห้ออาจจะราคาถูกแต่ไม่ได้คุณภาพเลย  รวมไม่ถึงความเสถียนของเมนบอร์ดด้วย  อาจจะไปยังเว็บบอร์ดต่างๆ  หรือเว็บที่เค้ารีวิว ให้เรารู้ถึงประสิทธิภาพ  รวมไปถึงการสอบถามไปยังคนที่ได้ลองใช้แล้วเป็นอย่าง  สมควรซื้อหรือไม่  และการทำงานว่าเป็นอย่างไร  และก็การรับประกันจากตัวแทนจำหน่ายด้วย  ส่วนมากในปัจจุบันจะรับประกันถึง 3 ปี เพราะในบางครั้งทางร้านเองก็อาจจะไม่สามารให้ข้อมูลได้ตรงกับข้อมูลจริงถ้ายังไงเราควรที่จะหาข้อมูลจากเว็บไซต์ผู้ผลิตโดยตรงจะถูกต้องกว่า

  26. การเลือกหน่วยความจำแรมการเลือกหน่วยความจำแรม สำหรับแรมก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเช่นกันเพราะฉะนั้นแล้วเราควรเลือกให้ถูกวิธีด้วย  สำหรับขึ้นตอนการเลือกซื้อแรม  มีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1. ประเภทของแรม  แน่นอนครับสำหรับประเภทของแรมนั้น  ก็จะถูกจำกัดด้วยเมนบอร์ดที่เราจะเลือกซื้อเช่นกัน  โดยเมนบอร์ดก็จะต้องถูกบังคับจากซิปเซต  สำหรับคนที่จะซื้อในขนาดนี้จะมีอยู่ 2 ประเภทที่ผมจะแนะนำนะครับ ซึ่งทั้ง 2 มีความเร็วที่แต่ต่างกัน 

  27. 1.1 DDR 2มีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในขนาดนี้ถือเป็นแรมตลาดเลยที่เดียว  เพราะในปัจจุบันนี้เมนบอร์ดเองก็สามารถรองรับการทำงานของแรมชนิดนี้ได้หมดแล้ว  แล้วราคาในขณะนี้ก็มีราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับชนิดอื่นๆ  และในเรื่องของความเร็วก็สามารถใช้ได้เร็วมากเลยที่เดียว  มีความเร็วตั้งแต่ 400-1,066 MIzใช้แรงดันไฟฟ้า 1.8 V

  28. 1.2  DDR3เป็นแรมประเภทมี่พึ่งมาใหม่ล่าสุดเลย  ซึ่งมีความเร็วสูงสุด  ถึง 1,600-2,000 MHz เลยทีเดียวครับ  แล้วใช้แรงดันไฟฟ้าแค่เพียง 1.5 V เท่านั้น  ถือได้ว่ามีความเร็วสูงกว่าทุกประเภทแต่ปัจจุบันนี้ได้มี DDR4 มาแล้วเอาไว้คราวหน้าตอนที่มีคนใช้เยอะๆ  จะมาเล่าให้ฟังนะครับ ส่วนราคาตอนนี้ยังสูงอยู่  แต่ถ้าใครต้องการซื้อหรือมีตังพอไม่ขัด ครับ  เพราะว่ากำลังจะเป็นที่นิยมกันแล้ว  แต่ต้องดูด้วยว่าเมนบอร์ดของเรานั้นรองรับหรือไม่  เพราะว่ายังมีเมนบอร์ดที่ยังไม่รองรับอีกเยอะครับ  ที่สำคัญ DDR3กับ DDR2 ใช้สล็อตเดียวกันไม่ได้เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ผิด

  29. 2.หน่วยความจำ แรมนั้นมีหน่วยความจำหลัก  ที่จำเป็นต้องการความจำสูงเพื่อประสิทธิภาพของการทำงานเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย  โดยหน่วยความจำของแรมนั้น มีหน่วยเป็น GHz  ยิ่งมีความจำมากก็ทำให้เครื่องเราเร็วขึ้นไปด้วย ราคมของแรมที่มีความจุสูงๆ เดี่ยวนี้ราคาไม่แพงมากนัก  แต่ก็ควรที่จะดูว่าขนาดไหนเหมาะกับเรา  เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองมากกว่าปกติ

  30. 3. ความเร็ว ความเร็วหรือว่า บัสของแรมนั้นก็มีความสำคัญเพาะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การถ่ายโดนข้อมูลได้เราขึ้น ซึ่งก็ได้กล่าวไปแล้ว่าประเภทของแรมนั้นก็มีความเร็วที่แตกต่างกัน  แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดเราอีกนั้นล่ะว่าจะรองรับได้มากแค่ไหน  หรือถ้าใครซื้อแรมชนิดไหนก็ได้ที่มีความเร็วสูงไปที่เมนบอร์ดจะรองรับก็สามารถจะใส่ได้เมื่อซื้อแรมที่เป็นประเภทเดียวกันเท่านั้นแต่ความเร็วของแรมก็เท่ากับ  เมนบอร์ดรองรับ  และใครที่ซื้อแรมมา 2 ตัวแต่ มีความเร็วเท่ากัน  มันก็จะใช้แรมที่มีความเร็วต่ำกว่านั้นเอง

  31. 4. ก็การเลือกยี่ห้อ การเลือกยี่ห้อนั้นแล้วแต่ศรัทธาครับ  ไม่ว่ากันแต่จะมีการรับประกันที่แต่ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ  อย่างเช่นการเครมที่ไหม้ได้ไม่ได้  รวมทั้งราคาของแรมด้วยประสิทธิภาพจะแตกต่างกันหรือไม่นั้นส่วนตัวผมเอง  ใช่มาหลายยี่ห้อแล้วไม่ต่างกันเลย  เพราะฉะนั้นอยากได้ยี่ห้อไหนรับประกันดีเป็นพอครับ  อันนี้ไม่เกี่ยวกับหน้าตาคนขายนะครับ

  32. การเลือกฮาร์ดดิสก์ สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก จะข้อแนะนำการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1. ประเภทของ ฮาร์ดดิสก์ มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน  คือ  - แบบ IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ ที่จะบอกว่ารุ่นเก่าแล้วก็ว่าได้  เพราะว่ามีรุ่นใหม่ที่เร็วกว่าประหยัดทั้งพื้นที่ประทั้งพลังงานได้ดีกว่า  และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะราคาแพงกว่า SATA ด้วยซ้ำ - แบบ SATA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามนตอนนี้และได้มีความนิยมเป็นอย่างมาก  เพราะว่าในเมนบอร์ดรุ่นใหม่นั้นก็ลองรับได้หมดแล้ว  และมีราคาที่ถูกกว่า ฮาร์ดดิสก์ แบบ SATA

  33. 2.ขนาดของความจุ ความจุของฮาร์ดดิสก์หรือพื้นจัดเก็บข้อมูล  นั้นมีความสำคัญว่าเราจะใช้งานประเภทใดและต้อง  เลือกความจุขนาดใดใครที่ชอบทำงานด้านมัลติมีเดียก็ต้องเลือกความจุมากๆ ปัจจุบันนี้มีความจุ ถึง 2 GB ไปแล้วซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจนลืมไปเลยว่าซื้อมาตอนไหน  ไม่รู้จักเต็มสักที  แต่ก็ยังมีราคาที่สูงอยู่นั้นเอง 3.ความเร็วรอบ ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นย่อมมีผลโดยตรงต่อความเร็วของฮาร์ดดิสก์  คือถ้าฮาร์ดดิสก์มีความเร็วรอบสูงแล้ว  ข้อมูลก็จะเคลื่อนมาถึงหัวอ่านได้อย่างรวดเร็วขึ้น  ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นมีหน่วยเป็น “รอบต่อนาที (rpm)  ในปัจุจบันความเร็วรอบนั้น 5,400-7,200 rpm แล้ว  และยังมีการพัฒนาความเร็วได้ถึง 10,000 rpm

  34. 4. บัฟเฟอร์ของ ฮาร์ดดิสก์ บัฟเฟอร์ก็คือหน่วยความจำแคชของฮาร์ดดิสก์นั้นเองครับ  เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเร็วและประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์   ถ้าเกิดฮาร์ดดิสก์ไหนที่มีขนาดบัฟเฟอร์ขนาดใหญ่ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะกลับไปนำข้อมูลนั้นมาใช้ซ้ำอีก  โดยการทำงานนั้นจะทำงานรวมกับแรม  แรมจะนำข้อมูลจากบัฟเฟอร์มาใช้โดยตรง  ในปัจจุบันแล้วขนาดบัฟเฟอร์  ก็มีจำนวน 8-32 MB ไปแล้ว 5. ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ช่วงเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (Seek Time) คือช่วงเวลาที่ตำแหน่องบนจานของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนมาพอดีกับตรงที่หัวอ่านพอดี  ความเร็วนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์เอง  ยิ่งมีความเร็วที่น้อยก็สามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์นั้นอ่านเขียนได้เร็วขึ้น

  35. มารู้จักเทคโนโลยีไฮบริด (Hybrid)ฮาร์ดดิสก์แบบนั้นคือเป็นเทคโนโลยีที่นำหน่วยความจำมาเป็นแฟลช  มาทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์โดยลักษณะจะเหมือนการทำงานของแฟลชไดร์  โดยหน่วยความจำที่นำมาใช้นั้นจะช่วยเพิ่มที่จะช่วยโหลดไฟล์ที่ใช้งานบ่อยๆ  หรือเก็บมาไว้ใช้ชั่วคราว  ก็ช่วยเพิ่มทั้งความปลอดภัยและความรวดเร็วของของมูล

  36. การเลือกกราฟิกการ์ด สำหรับกราฟิกการ์ดมีขั้นตอนก็จะขอพิจารณาดังต่อไปนี้คือ 1. ประเภท ในปัจจุบันนั้นมีประเภทของการ์ดแสดงผลที่นิยม  อยู่ 2 ประเภทคือ -  AGP มีความเร็วที่  266 MB /s นั้นคือความเร็วที่ตั้งแต่เริ่มแรก  แล้วได้มีการพัฒนาแต่มา คือ 2x – 8x ซึ่งในปัจจุบันได้มีการลดความสำคัญลงไปเพราะมีสล็อต  ที่เร็วกว่ามาแทน  แต่ยังมีผู้ที่ใช้เมนบอร์ดรุ่นเก่าอยู่ยังต้องใช้ แบบ AGP อยู่

  37. - PCI Express จะมีความเร็วกว่า AGP ซึ่งเป็นมาตรฐานแบบใหม่ที่เข้าแทนการเชื่อมต่อ แบบ AGP และแบบ PCI ธรรมดา  โยความสามารถของ PCI Express  คือมีการควบคุมการรับส่งข้อมูลขึ้นมา  เรียกว่า “สวิตช์(Switch) สำหรับข้อดีที่ความเร็วเร็วกว่า  AGP นั้น  ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 250 MB/s เลยทีเดียว  และสามารถปรับขนาดของความกว้างของบัสเองได้มากกว่าทำให้ความเร็วไปได้ถึง 4 GB/s มากว่า AGP ถึง 2 เท่า

  38. 2.ซิปการฟิก nVidia :ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตที่ได้ผลิตมาตั้งแค่เริ่มต้นเลย  ผลิตมาเป็นเวลานาน  ที่โด่งดังในตอนนั้นก็คือ TNT 2 ที่เป็นกราฟการ์ด 3 มิติ ที่มีประสิทธิภาพในตอนนั้นและมีการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆจน  ในปัจจุบันมีชื่อว่า GeForceนั้นเอง ถือได้ว่าเป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้  มีให้เลือกหลากหลายขนาดหลายราคา  ให้เลือก ATi :ได้พัฒนามาเรื่อยๆ  ซึ่งเป็นผู้ผลิตกราฟิกตระกูล Radeonที่มีประสิทธิภาพสูงได้รับการยอมรับจากคนเล่นเกมส์ต่างๆ  ว่ามีประสิทธิภาพเยื่ยมเลยทีเดียว

  39. 3. หน่วยความจำ ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง  เพราะเป็นส่วนที่ช่วยให้ความเร็วในการแสดงผลรวดเร็วมากขึ้น  ซึ่งหน่วยความจำของการ์ดแสดงผล  เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์จำต้องมีหน่วยความจำแรม  ส่วนของการ์ดแสดงผลนั้นก็มีหน่วยความจำที่ทำงานเช่นเดียวกัน  นั้นมีหลายประเภทในปัจจุบันคือ 1. GDDR 2 เป็นแรม DDR2 ที่ออกแบบให้เมาะสมกับการ์ดแสดงผล  จะรองรับการทำงานด้วยความเร็ว 500MHz 2. GDDR3 ได้รับการพัฒนามาจาก DDR2 โดยจะทำงานด้วยความเร็วที่สูงกว่า  2 เท่าคือ  1 GHz ขึ้นไป

  40. 3. GDDR 4 เป็นแรมที่พัฒนามาจาก DDR3 ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงกว่า  DDR2 ถึง 3 เท่าคือ 1.5 GHz 4. GDDR 5 ก็เป็นการพัฒนาจาก DDR4 โดยมีความเร็วสูงที่สุกเลยก็ว่าได้  เพราะทำงานได้ถึง 2 GHz เลยที่เดียว โดยได้มีการเริ่มใช้กับกลุ่มซิปกราฟิกของ Radeon 4. ในเรื่องของการรับประกัน  ในเรื่องการรับประกันนั้นได้มีระยะเวลาตามแต่  ยี่ห้องของผู้รับประกัน  บางที่อาจรับประกันนานถึง 3 ปีบางที่อาจจะรับประกันแค่ 1 ปีเพราะฉะนั้นควรเลือกที่เราคิดว่าเหมาะสม  เพราะบางคนอาจใช้เวลาแค่ 1 ปีก็จะเปลี่ยน  บางคนก็ซื้อครั้งเดียวยาวไปเลย

  41. การเลือกจอภาพ มีข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อดังนี้ ความละเอียด (resolution) สำหรับการใช้งานทั่วไป 1,024x768 จะดีที่สุด ในกรณีที่มีงบประมาณจำกัด 800x600 ก็เพียงพอต่อการใช้งาน ส่วนความละเอียดที่สูงกว่านี้อาจจะจำเป็นสำหรับผู้ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพระดับมืออาชีพหรือโปรแกรมการจัดเรียงพิมพ์ ความละเอียดสูงสุดที่จะใช้ได้กับจอภาพขนาด 15 นิ้วคือ 800x600 เพราะถ้าคุณใช้ความละเอียดที่สูงกว่านี้ความชัดเจนในการแสดงผลก็จะลดลง ส่วนความละเอียดสูงสุดที่จะใช้ได้กับจอภาพขนาด 17 นิ้วคือ 1,024x768

  42. อัตรารีเฟรช(refresh rate) หรือเรียกอีกอย่างว่าอัตราการสแกนในแนวตั้ง (vertical frequency) ควรมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 70 เฮิรตซ์ ที่ความละเอียดที่ใช้งานเพื่อลดการกระพริบของจอภาพ ผลที่ตามคือจะช่วยลดปัญหาการปวดตาและปวดหัวของคุณลงได้ ขนาดของจอภาพ (monitor depth)ต้องเลือกให้พอดีกับพื้นที่ของโต๊ะคอมพิวเตอร์ ดอตพิตช์(dot pitch)สำหรับการใช้งานทั่วไปควรมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.28 (สำหรับจอภาพแบบ CRT) และควรมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.25 (สำหรับจอภาพแบบไตรนิตรอน) ค่านี้ยิ่งน้อยยิ่งมีผลให้ภาพคมชัดยิ่งขึ้น

  43. การควบคุมจอภาพ (controls)ควรเลือกจอภาพที่มีการควบคุมแบบดิจิตอลเพราะจะสามารถควบคุมภาพได้ดีกว่าจอภาพที่มีการควบคุมแบบอะนาลอก ให้ทดลองการปรับตั้งค่าต่างๆเช่น ความสว่าง ขนาดและตำแหน่งภาพ แล้วพิจารณาดูความยากง่ายในการในปรับตั้งค่าต่างๆ สรุป:  โดยสรุปจอภาพที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ทั่วไปๆ คือ จอภาพขนาด 15 นิ้ว มีอัตรารีเฟรช ที่ความละเอียด 800x600 มากกว่าหรือเท่ากับ 70 เฮิรตซ์ มีค่าดอตพิตช์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.28

  44. การดูแลรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์การดูแลรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

  45. ทำให้พัดลมระบายอากาศ และชุดจ่ายไฟฟ้ามีการทำงานที่ปกติอยู่เสมอ การตรวจเช็คอุปกรณ์ดังกล่าว ซึ่งทำได้ง่าย ๆ โดยการสังเกตว่า มีการทำงานปกติหรือไม่ มีเสียงผิดปกติขณะทำงานหรือไม่  ใช้แหล่งจ่ายไฟที่ดี ไม่จ่ายแรงดันไฟสูงเกิน (Volt สูง สามารถทำลายอุปกรณ์ได้) หรือจ่ายแรงดันไฟต่ำเกิน (กระแสจะสูงขึ้น ทำให้อุปกรณ์พังได้เช่นกัน)  เลือก Case ที่มีขนาดเหมาะสม  การดูแลรักษาซีพียู

  46. เมื่อมีการถอดอุปกรณ์เมมบอร์ดออกจากเครื่องควรพยายามถอดออกอย่างระมัดระวัง และควรทำการปัดฝุ่นให้สะอาด ระวังอย่าให้เมมบอร์ดโดนน้ำหรือตกหล่น เพราะจะทำให้อุปกรณ์บนเมมบอร์เกิดชำรุด หรือหล่นหายทำให้เมมบอร์ดไม่สามารถใช้งานได้ เมื่อนำอุปกรณ์เมนบอร์ดมาตรวจสอบความเรียบร้อยพร้อมกับทำความสะอาดอย่างระมัดระวังก็นำมาประกอบกับเครื่อง ควรระวังเป็นพิเศษ ตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ให้ครบก่อนประกอบเข้าเครื่อง เมื่อเรารู้สึกว่าเกิดขัดข้องบนอุปกรณ์เมนบอร์ดขึ้นก็พยายามตรวจสอบและดูแลรักษาหรือให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะเป็นผู้ประกอบอุปกรณ์ การดูแลรักษาเมนบอร์ด

  47. การดูแลรักษาควรปฏิบัติดังนี้การดูแลรักษาควรปฏิบัติดังนี้ ไม่ควรตั้งจอไว้ใกล้บริเวณที่มีสนามแม่เหล็กมากจนเกินไป และไม่ควรเช็ดหน้าจอด้วยน้ำยาหรือสารอย่างอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้สำหรับทำความสะอาดจอภาพนั้น ๆ อย่าให้วัตถุหรือน้ำไปกระทบหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรเปิดไฟที่จอก่อนที่จะเปิดสวิชต์ไฟที่ CPU เพื่อ boot เครื่อง ไม่ควรปิด ๆ เปิด ๆ เครื่องติด ๆ กัน เมื่อปิดเครื่องแล้วทิ้งระยะไว้เล็กน้อยก่อนเปิดใหม่ ควรปรับความสว่างของจอภาพให้เหมาะสมกับสภาพของห้องทำงาน เพราะถ้าสว่างมากเกินไปย่อมทำให้จอภาพอายุสั้นลง เมื่อมีการเปิดจอภาพทิ้งไว้นาน ๆ ควรจะมีการเรียกโปรแกรมถนอมจอภาพ (Screen Sever) ขึ้นมาทำงานเพื่อยืดอายุการใช้งานของจอภาพ การดูแลรักษาจอภาพ

  48. โดยทั่วไปแล้วฝุ่นจะเกาะที่บริเวณพัดลม  ให้ใช้เครื่องเป่าลมเปาออกหรือไม่ก็  ใช้สำลีเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่อย่างใจเย็น  ไม่จำเป็นที่จะต้องถอดออกจากตัวการ์ด  การดูแลรักษาการ์ดแสดงผล

  49. เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเมาส์ จะประกอบไปด้วยลูกกลิ้งและฟันเฟือง ซึ่งสามารถถอดออกมาและทำความสะอาด เนื่องจากลูกกลิ้งจะสะสมเอาสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไว้ภายในเมาส์ ทำให้ลูกกลิ้งไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ไปได้โดยอิสระ วิธีทำความสะอาดให้บิดช่องข้างล่างของเมาส์บริเวณที่เป็นลูกกลิ้ง พอถอดออกแล้วก็นำลูกกลิ้งข้างในออกมา และเราจะเห็นแกนอยู่ 2 แกน ที่สามารถหมุนได้และแกนวงกลม ที่สามารถหมุนได้เช่นกัน ใช้เล็บหรือ ไขควงก็ได้แล้วแต่ถนัด ขูดพวกฝุ่นที่เกาะกันเป็นก้อนออกมา สำหรับอุปกรณ์เม้าส์แสง หรือ Optical Mouse ภายในเม้าส์ประกอบด้วยเซ็นเซอร์แสง ซึ่งมักจะทำงานผิดปกติเมื่อมีฝุ่นผง สามารถทำความสะอาดโดยอุปกรณ์เป่าฝุ่น การดูแลรักษาเมาส์

  50. 1.ปัดฝุ่นและทำความสะอาดเป็นประจำ1.ปัดฝุ่นและทำความสะอาดเป็นประจำ 2.อย่าทำน้ำหกถูกแผงแป้นพิมพ์ 3.คลุมผ้าทุกครั้งหลังการใช้งาน หรือจะใช้แผ่นซิลิโคนคลุมก้ได้ การดูแลรักษาแป้นพิมพ์

More Related