540 likes | 782 Views
การเลือกใช้คอมพิวเตอร์ ให้เหมาะสมกับงาน. จัดทำโดย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 นางสาว ณัฐ ชา เทียมทองใบ เลขที่ 33 นางสาว ธันย พร ตระหนักวิเศษกุล เลขที่ 37 นางสาว ปัทมพร ศรีโปดก เลขที่ 40 นางสาว อมราวดี เกิดสว่าง เนตร เลขที่ 41
E N D
การเลือกใช้คอมพิวเตอร์การเลือกใช้คอมพิวเตอร์ ให้เหมาะสมกับงาน
จัดทำโดย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 นางสาว ณัฐชา เทียมทองใบ เลขที่ 33 นางสาว ธันยพร ตระหนักวิเศษกุล เลขที่ 37 นางสาว ปัทมพร ศรีโปดก เลขที่ 40 นางสาว อมราวดี เกิดสว่างเนตร เลขที่ 41 นางสาว วริษฐา วังกานนท์ เลขที่ 42
การเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงานการเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน
เลือกซื้อคอมพิวเตอร์อย่างไรให้เหมาะสมก่อนอื่นเราควรคำนึงวัตถุประสงค์หลักหรือความต้องการในการใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ ของตนเองก่อน ไม่ว่าจะเป็นสำหรับการทำงานหรือเพื่อความบันเทิงเนื่องจากงานต่างๆจะมีส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกชื้ออุปกรณ์ให้ตรงตามความต้องการและที่สำคัญคืองบประมาณของเราด้วย ซึ่งในปัจจุบันนี้ผู้ใช้ทั่วไปนิยมกำหนดรายละเอียดและเลือกซื้ออุปกรณ์ต่างๆด้วยตนเองเพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตรงตามความต้องการมากที่สุดอีกทั้งยังเป็นการควบคุมงบประมาณในกระเป๋าได้อีกทางหนึ่งด้วย
การเลือกคอมพิวเตอร์มาใช้งานนั้นมีการจำแนกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. งานทางด้านเอกสาร รายงาน หรืองานสำนักงาน คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความต้องการใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะงานทั่วๆไปเช่นการพิมพ์งาน การดูหนังฟังเพลงและการใช้อินเตอร์เน็ตซึ่งโปรแกรมที่ใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรม Microsoft Office จึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากนัก
2. งานทางด้านกราฟิก ออกแบบสิ่งพิมพ์ และสื่อมัลติมีเดีย คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานในระดับมืออาชีพ เช่นวิศวกร สถาปนิกออกแบบอาคาร Graphic Designer หรือต้องการตัดต่อภาพยนตร์ ซึ่งผู้ซื้อที่มีความต้องการในระดับนี้มักจะมีงบประมาณในการเลือกซื้อที่มากเพียงพอในการเลือกซื้ออุปกรณ์รวมถึงอุปกรณ์เฉพาะด้านตามที่ต้องการจึงทำให้ราคานั้นอาจอยู่ในระดับค่อนข้างสูงและแน่นอนงบประมาณหรือค่าใช้จ่ายก็ต้องสูงตามด้วย
3. เล่นเกมคอมพิวเตอร์และบันเทิงเป็นหลัก คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ในการฟังเพลง ดูภาพยนตร์ในระดับคุณภาพเสียงแบบดิจิตอลหรือเล่นเกมส์แบบ 3D หรือเสียงสามมิติโดยเฉพาะซึ่งจะนิยมเลือกส่วนประกอบที่มีประสิทธิภาพในระดับปานกลางแต่เน้นอุปกรณ์เฉพาะด้านใช้CPUความเร็วปานกลางก็น่าจะพอ แล้วเลือก VGA Card หรือการ์ดจอที่ระดับความเร็วสูงสักหน่อยและเลือกลำโพงในระดับที่ดีพอควร งบประมาณหรือราคาจะอยู่ระดับปานกลาง
การรับประกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์การรับประกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ระยะเวลาในการรับประกันสินค้าขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอุปกรณ์แต่ละชิ้น ซึ่งตามปกติแล้วคอมพิวเตอร์แบบประกอบเองมักมีการรับประกัน 1 ปี แต่ถ้าเป็นเครื่องยี่ห้อ (Brand Name) ซึ่งมีราคาแพงกว่าอาจมีการรับประกันถึง 3 ปี ถ้าหากเรามีงบประมาณไม่เพียงพอ การเลือกซื้อแบบประกอบเองก็เป็นทางเลือกที่ดี ทั้งนี้ ถ้ามีความเข้าใจในรายละเอียดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้วจะพบว่าชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในชิ้นมีการรับประกันมากกว่านั้นอีก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเรามากโดยมีรายละเอียดในการประกันชิ้นส่วนอุปกรณ์ดังนี้ คือ
-ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)ผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง คือ Seagate และ Quantum ซึ่งนำเข้าโดยบริษัทอินแกรมและดีคอมพิวเตอร์ ซึ่งฮาร์ดดิสก์ของทั้งสองบริษัทดังกล่าวเป็นที่นิยมใช้กันมากในบ้านเรา เนื่องจากมีราคาถูกและแข็งแรงทนทานประกอบกับการรับประกันนานถึง 3 ปี ถ้าเสียหายใน 1 เดือนแรก บริษัทจะเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ใหม่ให้ทันที การรับประกันโดยทั่วไปไม่ครอบคลุมถึงฮาร์ดดิสก์ไหม้ เพราะเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว หรือเสียบเพราะทำหล่นหรือกระแทกอย่างแรง
-เมนบอร์ด (Main board)ส่วนใหญ่จะมีการรับประกันขั้นต่ำ 1 ปี แต่ถ้าเป็นเมนบอร์ดที่มีชื่อเสียงจะมีการรับประกันถึง 3 ปี ซึ่งมีราคาสูงกว่าเล็กน้อยแต่ก็คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับเวลาในการรับประกัน ซึ่งจะรับประกันในกรณีที่เสียจากการใช้งานตามปกติเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายที่เกิดจากความผิดพลาดของเราเองเช่น ไหม้ เนื่องจากเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว เสียบการ์ดลงไปอย่างแรงทำให้เมนบอร์ดหักหรือลายวงจรขาด เป็นต้น โดยทั่วไปถ้าเมนบอร์ดเสียภายในเวลา 1 เดือนร้านจะเปลี่ยนให้ใหม่ (Clamed) ถ้าเสียหายหลังจากนั้นทางร้านจะส่งซ่อมโรงงาน และให้เรามารับกลับเมื่อซ่อมเสร็จแล้ว
-ซีพียู (CPU)ซึ่งซีพียูที่มีชื่อเสียง คือ ค่ายของ Intel นำเข้าโดยบริษัทอินแกรมและดีคอมพิวเตอร์ส่วนซีพียูของค่าย AMD นำเข้าโดยบริษัท Power Highland และค่ายของ VIA ซึ่งซีพียูของทั้งสามบริษัทนี้มีการรับประกันสินค้า 3 ปี ส่วนซีพียูที่นำเข้าโดยผู้ค้ารายย่อยอื่นๆ มีการรับประกันเพียง 1 ปี ดังนั้นก่อนซื้อควรพิจารณาดูให้ดี แต่ตามปกติแล้วซีพียูมักจะเสียหายยากกว่าอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ นอกจากเราจะทำการโอเวอร์คล็อกมาเกินไปจนทำให้เกิดความร้อนสูง หรือในกรณีที่เราเสียบขาซีพียูลงใน Slot หรือ Socket ผิดด้าน จะทำให้ซีพียูไหม้ ซึ่งไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกันเช่นเดียวกับเมนบอร์ด โดยทั่วไปถ้าซีพียูเสียหายภายใน 1 เดือน ทางร้านจะเปลี่ยนให้ใหม่ แต่ถ้าเสียหายหลังจากนั้นทางร้านจะส่งคืนโรงงานรอการเคลมประกันต่อไป
-หน่วยความจำหรือแรม (RAM)จะแบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ เกรดดีจะมีการรับประกันตลอดอายุการใช้งาน (Livetime Warranty)ประเภทนี้จะมีราคาแพงกว่าแรมชนิดอื่น ซึ่งมักจะเป็นแรมเกรดทั่วไปที่รับประกันเพียง 1 ปี แต่แรมชนิดทั่วไปนี้จะมีราคาถูกกว่าแรมเกรดดีมาก -ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk)ส่วนใหญ่มีการรับประกัน 1 ปี บางยี่ห้อซึ่งมีราคาถูกมากจะรับประกันเพียง 1 เดือนเท่านั้น ดังนั้นก่อนจะซื้อควรสอบถามทางผู้ขายให้แน่ใจเสียก่อน -ซีดีรอม (CD-ROM)รับประกัน 1 ปี แต่ถ้าหากเสียหาย หรือมีปัญหาก็ให้รีบส่งทางร้านภายใน 15 วัน ทางร้านจะเปลี่ยนสินค้าใหม่ ถ้าหลังจากนั้นคงต้องส่งเคลมประกันที่โรงงานและมารับกลับเองเมื่อซ่อมเสร็จ
-การ์ดจอ และการ์ดเสียง (Video & Sound Card) รับประกัน 1 ปี ส่วนใหญ่อุปกรณ์ประเภทนี้มักไม่เสียง่าย แต่จะมีปัญหาในเรื่องของการเสียบการ์ดไม่แน่น ทำให้ไม่มีภาพปรากฏบนหน้าจอเท่านั้น -แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply)รับประกัน 1 ปี ซึ่งแหล่งจ่ายไฟบางครั้งมีผลต่อการทำงานของเครื่องเช่นกัน สินค้าประเภทอื่นมักมีใบรับประกันสินค้า แต่สินค้าประเภทคอมพิวเตอร์มักใช้สติ๊กเกอร์รับประกัน (Warranty Sticker) เพื่อยืนยันว่าสินค้านี้มาจากร้านของตนจริง โดยมีการกำหนดวันที่จำหน่าย และระยะเวลาในการรับประกันไว้
1.) สติ๊กเกอร์ที่กำหนดเวลาเริ่มต้นการรับประกัน ซึ่งเป็นแบบที่นิยมกันมากกว่าเพราะง่ายต่อการบันทึกวันเริ่มต้นรับประกันไป เนื่องจากอุปกรณ์แต่ละชิ้นมีระยะเวลาในการรับประกันไม่เท่ากันเช่น ซื้อสินค้าไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2002 เป็นต้น 2.) สติ๊กเกอร์กำหนดเวลาสิ้นสุดการรับประกัน รับเป็นรูปแบบสติ๊กเกอร์ที่อำนวยความสะดวกสำหรับผู้ซื้อ เนื่องจากจะทราบเวลาสิ้นสุดการรับประกันสินค้าได้ อย่างชัดเจนจากการเขียนลงบนสติ๊กเกอร์นั้นแต่ทางร้านไม่นิยมใช้แบบนี้ เนื่องจากต้องระบุวันที่สิ้นสุดการรับประกันลงไป ซึ่งมีโอกาสที่จะเขียนผิดพลาดได้ง่าย วันสิ้นสุดการรับประกันในสินค้ามักมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า EXPIRE อยู่ด้วยเสมอ สติ๊กเกอร์แบบนี้ที่บริเวณด้านล่างมักจะมีคำว่า Warranty Void If Remove หมายความว่า รับประกันจะสิ้นสุดลง เมื่อมีการแกะหรือฉีกสติ๊กเกอร์ออกจากตัวสินค้านั้น ดังนั้นเมื่อซื้อสินค้าควรจะตรวจดูสติ๊กเกอร์รับประกันด้วยว่า ยังอยู่หรือติดไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือไม่ โดยทั่วไปสติ๊กเกอร์รับประกันจะมี 2 รูปแบบ คือ
การเลือกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์การเลือกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
การเลือกหน่วยประมวลผลกลางการเลือกหน่วยประมวลผลกลาง 1.ความเร็วของ ซีพียู ความเร็วของซีพียู ซึ่งใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวกำหนดนะครับ โดยมีหน่วยเป็น “เฮิรตซ์ (Hz)” ก็คือการที่ซีพียูทำงาน 1 ครั้งต่อ 1 วินาทีนั้นเอง แต่ในปัจจุบันซีพียูนั้นมีความเร็วมากอยู่ในระดับ “กิกะเฮิรตซ์ (GHz)” แล้ว เช่น 1 กิกะเฮิรตซ์ คือซีพียูทำงานได้ถึง 1 พันล้านครั้ง ต่อวินาที ยิ่งมีค่าสัญญาณนาฬิกามากเท่าไหร่ก็สามารถทำงานได้รวดเร็วเท่านั้น เช่น AMD Phenom 9650 2.3GHz
2.หน่วยความจำแคช(Cache) หน่วยความจำแคชก็เป็นหน่วยความจำหนึ่งที่ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ เพราะแคชมีหน้าที่ในการจัดเก็บคำสั่งและข้อมูลที่ได้ใช้บ่อยๆ เพื่อส่งไปยังซีพียู ซึ่งแคชเองทำงานร่วมกับแรมเพื่อเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง 2 อุปกรณ์ ให้เชื่อมต่อกันเพราะฉะนั้นแล้วยิ่งมีแคชมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเร็วเท่านั้นด้วย
ในปัจจุบันเองได้มีการเพิ่มเทคโนโลยี Pre-Fetch ในบางรุ่นจะมี ที่มีแคชถึงระดับ L3 ทำหน้าที่ในการคอยอ่านข้อมูลจากแรมมายังแควตลอกเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น โดยความเร็วทั้ง 3 ระดับดังนี้ แคชระดับที่ 1 (L1)เป็นแคชขนาดเล็ก เป็นแคชที่มีขนาดเล็กที่สุด อยู่แค่ 32-128 KB เท่านั้น และอยู่ใกล้ชิดกับซีพียูมากที่สุด แคชระดับที่ 2 (L2)จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเพราะจะทำการเก็บข้อมูลจากแรมเป็นหลัก แคชระดับที่ 3 (L3)อยู่คั่นกลางระหว่างแรมกับแคช L2 โดยจะมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งมีประมาณ 2-8 MB และจะอยู่ใกล้กับบัสเพื่อสามารถที่จะถ่ายโดยข้อมูลไปยังส่วนต่างๆได้ง่ายขึ้น
3. บัส(BUS)ถือได้ว่ามีความสำคัญเหมือนกัน เพราะ บัสคือ นำไฟฟ้าที่เป็นทาง เดินของข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบัสในคอมพิวเตอร์คือบัสข้อมูล (Data bus) ซึ่งมีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hz) จะมีค่า FSB อย่างเช่น FSB 1066 เป็นต้น 4. ซีพียู จากค่ายต่างๆ สำหรับซีพียูนี้ก็มี 2 ค่าย ใหญ่ที่ผลิตออกมาให้เราได้ใช้กัน คือ Intel และ AMD Intelเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด แล้วยังเป็นผู้ผลิต ซีพียูรายแรกอีกด้วย สำหนับซีพียู ที่ Intel ผลิตนั้นก็มี หลาย รุ่นออกมาให้เลือก และต่างมีเทคโนโลยีที่ต่างกัน
AMDเป็นผู้ผลิตที่นอกเหนือจาก Intel ที่เข้ามา แย่งตลาดกัน โดยจะมีราคาที่ถูกกว่าเมือเปรียบเทียบกับ ประสิทธิภาพ 5. งบประมาณ ในสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของใครบางคน คืองบประมาณนั้นล่ะครับ บางคนอาจจะเป็นอันดับแรกเลยก็ว่าได้ครับ ในปัจจุบันราคาต่ำมากจนแทบบอกได้ว่า ไม่ถึงพันก็มีแต่ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพที่จะได้รับด้วย เดี๋ยวนี้ซีพียูราคาถูกๆ ก็สามารถทำงานได้หลายอย่างแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกซื้อราคาแพงๆ มาใช้นะครับ
การเลือกเมนบอร์ด เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้นคุณภาพในการ ใช้งานขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อด้วย โดยจะมีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1. ซ็อกเก็ตซ็อกเก็ตมีตำแหน่งที่ติดตั้ง ซีพียู ซึ่งจะเลือกซ็อกเก็ตแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กันที่เราเลือกซื้อซีพียูด้วย ไม่ว่าจะเป็นซ็อกเก็ตไหนเราก็ต้องที่จะเลือกซีพียูนั้นก่อนครับ ถึงที่จะเลือกในขั้นต่อไปได้ ซึ้งได้ทำการเปรียบเทียวกับการเลือกซื้อ ซีพียู ก่อนหน้านี้แล้ว
2. ซิปเซ็ต ซิปเซ็ตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่รองรับเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงรองรับอุปกรณ์ต่างๆด้วย ควนที่จะคำนึงถึงตรงนี้ก่อนครับ ว่าเข้ากับอุปกรณ์อะไรบ้าง โดยจะมีซิปเซตอยู่ 2 แบบก็คือ • North Bridgเป็นซิปเซตที่ควบคุมการทำงานที่ควบคุมอุปกรณ์หลักใหญ่ๆ เลยได้แก่ ซีพียู แรมและ สล็อตของการ์อจอด้วย • - South Bridgเป็นซิปเซต ที่ควบคุมอุปกรณ์ที่นอกเหนือจาก North Bridge ที่ควบคุมอยู่ จะเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ และสล็อตต่างๆด้วย • 3.สล็อกต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญมากในการเลือกซื้อเช่นกัน เพราะว่าจะเลือกแบบมี ที่ใส่แรม หรือสล็อกPCI มาแค่ไหนขึ้นอยู่กับความต้องการว่าจะมีอุปกรณ์ใดมาเสริมอีกหรือไม่
4. หน่วยความจำรอมไบออส ไบออส BIOS (Basic Input Output System) หรืออาจเรียกว่าซีมอส (CMOS) เป็นชิพหน่วยความจำชนิด หนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และโปรแกรมขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ โดยในอดีต ส่วนของชิพรอมไบออสจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ชิพไบออส และชิพซีมอส ซึ่งชิพซีไปออสจะทำหน้าที่ เก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนชิพซีมอสจะทำหน้าที่ เก็บโปรแกรมขนาดเล็ก ที่ใช้ในการบูตระบบ และสามารถเปลี่ยนข้อมูลบางส่วนภายในชิพได้ ชิพไบออสใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของรอม ส่วนชิพซีมอสจะใช้เทคโนโลยีของแรม
5.ยี่ห้อ ในปัจจุบันมียี่ห้อต่างๆมากมายที่ ผลิตเมนบอร์ดขึ้นมาใช้งานเป็นจำนวนมากหลายยี่ห้อ เราควรที่จะคำนึงถึงประสิทธิภาพเป็นสำคัญ เพราะบางยี่ห้ออาจจะราคาถูกแต่ไม่ได้คุณภาพเลย รวมไม่ถึงความเสถียนของเมนบอร์ดด้วย อาจจะไปยังเว็บบอร์ดต่างๆ หรือเว็บที่เค้ารีวิว ให้เรารู้ถึงประสิทธิภาพ รวมไปถึงการสอบถามไปยังคนที่ได้ลองใช้แล้วเป็นอย่าง สมควรซื้อหรือไม่ และการทำงานว่าเป็นอย่างไร และก็การรับประกันจากตัวแทนจำหน่ายด้วย ส่วนมากในปัจจุบันจะรับประกันถึง 3 ปี เพราะในบางครั้งทางร้านเองก็อาจจะไม่สามารให้ข้อมูลได้ตรงกับข้อมูลจริงถ้ายังไงเราควรที่จะหาข้อมูลจากเว็บไซต์ผู้ผลิตโดยตรงจะถูกต้องกว่า
การเลือกหน่วยความจำแรมการเลือกหน่วยความจำแรม สำหรับแรมก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเช่นกันเพราะฉะนั้นแล้วเราควรเลือกให้ถูกวิธีด้วย สำหรับขึ้นตอนการเลือกซื้อแรม มีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1. ประเภทของแรม แน่นอนครับสำหรับประเภทของแรมนั้น ก็จะถูกจำกัดด้วยเมนบอร์ดที่เราจะเลือกซื้อเช่นกัน โดยเมนบอร์ดก็จะต้องถูกบังคับจากซิปเซต สำหรับคนที่จะซื้อในขนาดนี้จะมีอยู่ 2 ประเภทที่ผมจะแนะนำนะครับ ซึ่งทั้ง 2 มีความเร็วที่แต่ต่างกัน
1.1 DDR 2มีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในขนาดนี้ถือเป็นแรมตลาดเลยที่เดียว เพราะในปัจจุบันนี้เมนบอร์ดเองก็สามารถรองรับการทำงานของแรมชนิดนี้ได้หมดแล้ว แล้วราคาในขณะนี้ก็มีราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับชนิดอื่นๆ และในเรื่องของความเร็วก็สามารถใช้ได้เร็วมากเลยที่เดียว มีความเร็วตั้งแต่ 400-1,066 MIzใช้แรงดันไฟฟ้า 1.8 V
1.2 DDR3เป็นแรมประเภทมี่พึ่งมาใหม่ล่าสุดเลย ซึ่งมีความเร็วสูงสุด ถึง 1,600-2,000 MHz เลยทีเดียวครับ แล้วใช้แรงดันไฟฟ้าแค่เพียง 1.5 V เท่านั้น ถือได้ว่ามีความเร็วสูงกว่าทุกประเภทแต่ปัจจุบันนี้ได้มี DDR4 มาแล้วเอาไว้คราวหน้าตอนที่มีคนใช้เยอะๆ จะมาเล่าให้ฟังนะครับ ส่วนราคาตอนนี้ยังสูงอยู่ แต่ถ้าใครต้องการซื้อหรือมีตังพอไม่ขัด ครับ เพราะว่ากำลังจะเป็นที่นิยมกันแล้ว แต่ต้องดูด้วยว่าเมนบอร์ดของเรานั้นรองรับหรือไม่ เพราะว่ายังมีเมนบอร์ดที่ยังไม่รองรับอีกเยอะครับ ที่สำคัญ DDR3กับ DDR2 ใช้สล็อตเดียวกันไม่ได้เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ผิด
2.หน่วยความจำ แรมนั้นมีหน่วยความจำหลัก ที่จำเป็นต้องการความจำสูงเพื่อประสิทธิภาพของการทำงานเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย โดยหน่วยความจำของแรมนั้น มีหน่วยเป็น GHz ยิ่งมีความจำมากก็ทำให้เครื่องเราเร็วขึ้นไปด้วย ราคมของแรมที่มีความจุสูงๆ เดี่ยวนี้ราคาไม่แพงมากนัก แต่ก็ควรที่จะดูว่าขนาดไหนเหมาะกับเรา เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองมากกว่าปกติ
3. ความเร็ว ความเร็วหรือว่า บัสของแรมนั้นก็มีความสำคัญเพาะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การถ่ายโดนข้อมูลได้เราขึ้น ซึ่งก็ได้กล่าวไปแล้ว่าประเภทของแรมนั้นก็มีความเร็วที่แตกต่างกัน แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดเราอีกนั้นล่ะว่าจะรองรับได้มากแค่ไหน หรือถ้าใครซื้อแรมชนิดไหนก็ได้ที่มีความเร็วสูงไปที่เมนบอร์ดจะรองรับก็สามารถจะใส่ได้เมื่อซื้อแรมที่เป็นประเภทเดียวกันเท่านั้นแต่ความเร็วของแรมก็เท่ากับ เมนบอร์ดรองรับ และใครที่ซื้อแรมมา 2 ตัวแต่ มีความเร็วเท่ากัน มันก็จะใช้แรมที่มีความเร็วต่ำกว่านั้นเอง
4. ก็การเลือกยี่ห้อ การเลือกยี่ห้อนั้นแล้วแต่ศรัทธาครับ ไม่ว่ากันแต่จะมีการรับประกันที่แต่ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ อย่างเช่นการเครมที่ไหม้ได้ไม่ได้ รวมทั้งราคาของแรมด้วยประสิทธิภาพจะแตกต่างกันหรือไม่นั้นส่วนตัวผมเอง ใช่มาหลายยี่ห้อแล้วไม่ต่างกันเลย เพราะฉะนั้นอยากได้ยี่ห้อไหนรับประกันดีเป็นพอครับ อันนี้ไม่เกี่ยวกับหน้าตาคนขายนะครับ
การเลือกฮาร์ดดิสก์ สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก จะข้อแนะนำการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1. ประเภทของ ฮาร์ดดิสก์ มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ - แบบ IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ ที่จะบอกว่ารุ่นเก่าแล้วก็ว่าได้ เพราะว่ามีรุ่นใหม่ที่เร็วกว่าประหยัดทั้งพื้นที่ประทั้งพลังงานได้ดีกว่า และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะราคาแพงกว่า SATA ด้วยซ้ำ - แบบ SATA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามนตอนนี้และได้มีความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าในเมนบอร์ดรุ่นใหม่นั้นก็ลองรับได้หมดแล้ว และมีราคาที่ถูกกว่า ฮาร์ดดิสก์ แบบ SATA
2.ขนาดของความจุ ความจุของฮาร์ดดิสก์หรือพื้นจัดเก็บข้อมูล นั้นมีความสำคัญว่าเราจะใช้งานประเภทใดและต้อง เลือกความจุขนาดใดใครที่ชอบทำงานด้านมัลติมีเดียก็ต้องเลือกความจุมากๆ ปัจจุบันนี้มีความจุ ถึง 2 GB ไปแล้วซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจนลืมไปเลยว่าซื้อมาตอนไหน ไม่รู้จักเต็มสักที แต่ก็ยังมีราคาที่สูงอยู่นั้นเอง 3.ความเร็วรอบ ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นย่อมมีผลโดยตรงต่อความเร็วของฮาร์ดดิสก์ คือถ้าฮาร์ดดิสก์มีความเร็วรอบสูงแล้ว ข้อมูลก็จะเคลื่อนมาถึงหัวอ่านได้อย่างรวดเร็วขึ้น ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นมีหน่วยเป็น “รอบต่อนาที (rpm) ในปัจุจบันความเร็วรอบนั้น 5,400-7,200 rpm แล้ว และยังมีการพัฒนาความเร็วได้ถึง 10,000 rpm
4. บัฟเฟอร์ของ ฮาร์ดดิสก์ บัฟเฟอร์ก็คือหน่วยความจำแคชของฮาร์ดดิสก์นั้นเองครับ เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเร็วและประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ ถ้าเกิดฮาร์ดดิสก์ไหนที่มีขนาดบัฟเฟอร์ขนาดใหญ่ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะกลับไปนำข้อมูลนั้นมาใช้ซ้ำอีก โดยการทำงานนั้นจะทำงานรวมกับแรม แรมจะนำข้อมูลจากบัฟเฟอร์มาใช้โดยตรง ในปัจจุบันแล้วขนาดบัฟเฟอร์ ก็มีจำนวน 8-32 MB ไปแล้ว 5. ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ช่วงเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (Seek Time) คือช่วงเวลาที่ตำแหน่องบนจานของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนมาพอดีกับตรงที่หัวอ่านพอดี ความเร็วนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์เอง ยิ่งมีความเร็วที่น้อยก็สามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์นั้นอ่านเขียนได้เร็วขึ้น
มารู้จักเทคโนโลยีไฮบริด (Hybrid)ฮาร์ดดิสก์แบบนั้นคือเป็นเทคโนโลยีที่นำหน่วยความจำมาเป็นแฟลช มาทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์โดยลักษณะจะเหมือนการทำงานของแฟลชไดร์ โดยหน่วยความจำที่นำมาใช้นั้นจะช่วยเพิ่มที่จะช่วยโหลดไฟล์ที่ใช้งานบ่อยๆ หรือเก็บมาไว้ใช้ชั่วคราว ก็ช่วยเพิ่มทั้งความปลอดภัยและความรวดเร็วของของมูล
การเลือกกราฟิกการ์ด สำหรับกราฟิกการ์ดมีขั้นตอนก็จะขอพิจารณาดังต่อไปนี้คือ 1. ประเภท ในปัจจุบันนั้นมีประเภทของการ์ดแสดงผลที่นิยม อยู่ 2 ประเภทคือ - AGP มีความเร็วที่ 266 MB /s นั้นคือความเร็วที่ตั้งแต่เริ่มแรก แล้วได้มีการพัฒนาแต่มา คือ 2x – 8x ซึ่งในปัจจุบันได้มีการลดความสำคัญลงไปเพราะมีสล็อต ที่เร็วกว่ามาแทน แต่ยังมีผู้ที่ใช้เมนบอร์ดรุ่นเก่าอยู่ยังต้องใช้ แบบ AGP อยู่
- PCI Express จะมีความเร็วกว่า AGP ซึ่งเป็นมาตรฐานแบบใหม่ที่เข้าแทนการเชื่อมต่อ แบบ AGP และแบบ PCI ธรรมดา โยความสามารถของ PCI Express คือมีการควบคุมการรับส่งข้อมูลขึ้นมา เรียกว่า “สวิตช์(Switch) สำหรับข้อดีที่ความเร็วเร็วกว่า AGP นั้น ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 250 MB/s เลยทีเดียว และสามารถปรับขนาดของความกว้างของบัสเองได้มากกว่าทำให้ความเร็วไปได้ถึง 4 GB/s มากว่า AGP ถึง 2 เท่า
2.ซิปการฟิก nVidia :ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตที่ได้ผลิตมาตั้งแค่เริ่มต้นเลย ผลิตมาเป็นเวลานาน ที่โด่งดังในตอนนั้นก็คือ TNT 2 ที่เป็นกราฟการ์ด 3 มิติ ที่มีประสิทธิภาพในตอนนั้นและมีการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆจน ในปัจจุบันมีชื่อว่า GeForceนั้นเอง ถือได้ว่าเป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้ มีให้เลือกหลากหลายขนาดหลายราคา ให้เลือก ATi :ได้พัฒนามาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผู้ผลิตกราฟิกตระกูล Radeonที่มีประสิทธิภาพสูงได้รับการยอมรับจากคนเล่นเกมส์ต่างๆ ว่ามีประสิทธิภาพเยื่ยมเลยทีเดียว
3. หน่วยความจำ ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง เพราะเป็นส่วนที่ช่วยให้ความเร็วในการแสดงผลรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งหน่วยความจำของการ์ดแสดงผล เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์จำต้องมีหน่วยความจำแรม ส่วนของการ์ดแสดงผลนั้นก็มีหน่วยความจำที่ทำงานเช่นเดียวกัน นั้นมีหลายประเภทในปัจจุบันคือ 1. GDDR 2 เป็นแรม DDR2 ที่ออกแบบให้เมาะสมกับการ์ดแสดงผล จะรองรับการทำงานด้วยความเร็ว 500MHz 2. GDDR3 ได้รับการพัฒนามาจาก DDR2 โดยจะทำงานด้วยความเร็วที่สูงกว่า 2 เท่าคือ 1 GHz ขึ้นไป
3. GDDR 4 เป็นแรมที่พัฒนามาจาก DDR3 ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงกว่า DDR2 ถึง 3 เท่าคือ 1.5 GHz 4. GDDR 5 ก็เป็นการพัฒนาจาก DDR4 โดยมีความเร็วสูงที่สุกเลยก็ว่าได้ เพราะทำงานได้ถึง 2 GHz เลยที่เดียว โดยได้มีการเริ่มใช้กับกลุ่มซิปกราฟิกของ Radeon 4. ในเรื่องของการรับประกัน ในเรื่องการรับประกันนั้นได้มีระยะเวลาตามแต่ ยี่ห้องของผู้รับประกัน บางที่อาจรับประกันนานถึง 3 ปีบางที่อาจจะรับประกันแค่ 1 ปีเพราะฉะนั้นควรเลือกที่เราคิดว่าเหมาะสม เพราะบางคนอาจใช้เวลาแค่ 1 ปีก็จะเปลี่ยน บางคนก็ซื้อครั้งเดียวยาวไปเลย
การเลือกจอภาพ มีข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อดังนี้ ความละเอียด (resolution) สำหรับการใช้งานทั่วไป 1,024x768 จะดีที่สุด ในกรณีที่มีงบประมาณจำกัด 800x600 ก็เพียงพอต่อการใช้งาน ส่วนความละเอียดที่สูงกว่านี้อาจจะจำเป็นสำหรับผู้ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพระดับมืออาชีพหรือโปรแกรมการจัดเรียงพิมพ์ ความละเอียดสูงสุดที่จะใช้ได้กับจอภาพขนาด 15 นิ้วคือ 800x600 เพราะถ้าคุณใช้ความละเอียดที่สูงกว่านี้ความชัดเจนในการแสดงผลก็จะลดลง ส่วนความละเอียดสูงสุดที่จะใช้ได้กับจอภาพขนาด 17 นิ้วคือ 1,024x768
อัตรารีเฟรช(refresh rate) หรือเรียกอีกอย่างว่าอัตราการสแกนในแนวตั้ง (vertical frequency) ควรมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 70 เฮิรตซ์ ที่ความละเอียดที่ใช้งานเพื่อลดการกระพริบของจอภาพ ผลที่ตามคือจะช่วยลดปัญหาการปวดตาและปวดหัวของคุณลงได้ ขนาดของจอภาพ (monitor depth)ต้องเลือกให้พอดีกับพื้นที่ของโต๊ะคอมพิวเตอร์ ดอตพิตช์(dot pitch)สำหรับการใช้งานทั่วไปควรมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.28 (สำหรับจอภาพแบบ CRT) และควรมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.25 (สำหรับจอภาพแบบไตรนิตรอน) ค่านี้ยิ่งน้อยยิ่งมีผลให้ภาพคมชัดยิ่งขึ้น
การควบคุมจอภาพ (controls)ควรเลือกจอภาพที่มีการควบคุมแบบดิจิตอลเพราะจะสามารถควบคุมภาพได้ดีกว่าจอภาพที่มีการควบคุมแบบอะนาลอก ให้ทดลองการปรับตั้งค่าต่างๆเช่น ความสว่าง ขนาดและตำแหน่งภาพ แล้วพิจารณาดูความยากง่ายในการในปรับตั้งค่าต่างๆ สรุป: โดยสรุปจอภาพที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ทั่วไปๆ คือ จอภาพขนาด 15 นิ้ว มีอัตรารีเฟรช ที่ความละเอียด 800x600 มากกว่าหรือเท่ากับ 70 เฮิรตซ์ มีค่าดอตพิตช์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.28
การดูแลรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์การดูแลรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ทำให้พัดลมระบายอากาศ และชุดจ่ายไฟฟ้ามีการทำงานที่ปกติอยู่เสมอ การตรวจเช็คอุปกรณ์ดังกล่าว ซึ่งทำได้ง่าย ๆ โดยการสังเกตว่า มีการทำงานปกติหรือไม่ มีเสียงผิดปกติขณะทำงานหรือไม่ ใช้แหล่งจ่ายไฟที่ดี ไม่จ่ายแรงดันไฟสูงเกิน (Volt สูง สามารถทำลายอุปกรณ์ได้) หรือจ่ายแรงดันไฟต่ำเกิน (กระแสจะสูงขึ้น ทำให้อุปกรณ์พังได้เช่นกัน) เลือก Case ที่มีขนาดเหมาะสม การดูแลรักษาซีพียู
เมื่อมีการถอดอุปกรณ์เมมบอร์ดออกจากเครื่องควรพยายามถอดออกอย่างระมัดระวัง และควรทำการปัดฝุ่นให้สะอาด ระวังอย่าให้เมมบอร์ดโดนน้ำหรือตกหล่น เพราะจะทำให้อุปกรณ์บนเมมบอร์เกิดชำรุด หรือหล่นหายทำให้เมมบอร์ดไม่สามารถใช้งานได้ เมื่อนำอุปกรณ์เมนบอร์ดมาตรวจสอบความเรียบร้อยพร้อมกับทำความสะอาดอย่างระมัดระวังก็นำมาประกอบกับเครื่อง ควรระวังเป็นพิเศษ ตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ให้ครบก่อนประกอบเข้าเครื่อง เมื่อเรารู้สึกว่าเกิดขัดข้องบนอุปกรณ์เมนบอร์ดขึ้นก็พยายามตรวจสอบและดูแลรักษาหรือให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะเป็นผู้ประกอบอุปกรณ์ การดูแลรักษาเมนบอร์ด
การดูแลรักษาควรปฏิบัติดังนี้การดูแลรักษาควรปฏิบัติดังนี้ ไม่ควรตั้งจอไว้ใกล้บริเวณที่มีสนามแม่เหล็กมากจนเกินไป และไม่ควรเช็ดหน้าจอด้วยน้ำยาหรือสารอย่างอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้สำหรับทำความสะอาดจอภาพนั้น ๆ อย่าให้วัตถุหรือน้ำไปกระทบหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรเปิดไฟที่จอก่อนที่จะเปิดสวิชต์ไฟที่ CPU เพื่อ boot เครื่อง ไม่ควรปิด ๆ เปิด ๆ เครื่องติด ๆ กัน เมื่อปิดเครื่องแล้วทิ้งระยะไว้เล็กน้อยก่อนเปิดใหม่ ควรปรับความสว่างของจอภาพให้เหมาะสมกับสภาพของห้องทำงาน เพราะถ้าสว่างมากเกินไปย่อมทำให้จอภาพอายุสั้นลง เมื่อมีการเปิดจอภาพทิ้งไว้นาน ๆ ควรจะมีการเรียกโปรแกรมถนอมจอภาพ (Screen Sever) ขึ้นมาทำงานเพื่อยืดอายุการใช้งานของจอภาพ การดูแลรักษาจอภาพ
โดยทั่วไปแล้วฝุ่นจะเกาะที่บริเวณพัดลม ให้ใช้เครื่องเป่าลมเปาออกหรือไม่ก็ ใช้สำลีเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่อย่างใจเย็น ไม่จำเป็นที่จะต้องถอดออกจากตัวการ์ด การดูแลรักษาการ์ดแสดงผล
เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเมาส์ จะประกอบไปด้วยลูกกลิ้งและฟันเฟือง ซึ่งสามารถถอดออกมาและทำความสะอาด เนื่องจากลูกกลิ้งจะสะสมเอาสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไว้ภายในเมาส์ ทำให้ลูกกลิ้งไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ไปได้โดยอิสระ วิธีทำความสะอาดให้บิดช่องข้างล่างของเมาส์บริเวณที่เป็นลูกกลิ้ง พอถอดออกแล้วก็นำลูกกลิ้งข้างในออกมา และเราจะเห็นแกนอยู่ 2 แกน ที่สามารถหมุนได้และแกนวงกลม ที่สามารถหมุนได้เช่นกัน ใช้เล็บหรือ ไขควงก็ได้แล้วแต่ถนัด ขูดพวกฝุ่นที่เกาะกันเป็นก้อนออกมา สำหรับอุปกรณ์เม้าส์แสง หรือ Optical Mouse ภายในเม้าส์ประกอบด้วยเซ็นเซอร์แสง ซึ่งมักจะทำงานผิดปกติเมื่อมีฝุ่นผง สามารถทำความสะอาดโดยอุปกรณ์เป่าฝุ่น การดูแลรักษาเมาส์
1.ปัดฝุ่นและทำความสะอาดเป็นประจำ1.ปัดฝุ่นและทำความสะอาดเป็นประจำ 2.อย่าทำน้ำหกถูกแผงแป้นพิมพ์ 3.คลุมผ้าทุกครั้งหลังการใช้งาน หรือจะใช้แผ่นซิลิโคนคลุมก้ได้ การดูแลรักษาแป้นพิมพ์