1.05k likes | 2.51k Views
วิชาพุทธปรัชญา บทที่ ๒ พื้นฐานพุทธปรัชญา ๑) พื้นฐานความเชื่อของอินเดียก่อนเกิดพุทธปรัชญา ๒) ปรัชญาร่วมสมัยกับพุทธปรัชญา ๓) ประวัติพระพุทธเจ้า ๔) พระพุทธเจ้าสอนอะไร ๕) สาขาของพุทธปรัชญา
E N D
พุทธปรัชญาเถรวาท บทที่ ๒ พื้นฐานพุทธปรัชญา
ขอบข่ายเนื้อหา • ๑) พื้นฐานความเชื่อของอินเดียก่อนเกิดพุทธปรัชญา • ๒) ปรัชญาร่วมสมัยกับพุทธปรัชญา • ๓) ประวัติพระพุทธเจ้า • ๔) พระพุทธเจ้าสอนอะไร • ๕) สาขาของพุทธปรัชญา
พื้นฐานความเชื่อของอินเดียก่อนเกิดพุทธปรัชญาพื้นฐานความเชื่อของอินเดียก่อนเกิดพุทธปรัชญา • สังคมอินเดียในยุคโบราณยกย่อความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวท ศึกษาได้เฉพาะชนชั้นสูง คือ กษัตริย์และพราหมณ์เท่านั้น
พื้นฐานความเชื่อของอินเดียก่อนเกิดพุทธปรัชญาพื้นฐานความเชื่อของอินเดียก่อนเกิดพุทธปรัชญา • ห้ามคนชั้นต่ำคือศูทรศึกษาพระเวท • ถ้าเจตนาฟังการสาธยายพระเวท จะถูกลงโทษด้วยการเอาคลั่งกรอกหู • หรือถ้าสาธยายพระเวทจะถูกตัดลิ้น • ถ้าจำความในคัมภีร์พระเวทได้จะถูกผ่าร่างกายออกเป็น ๒ ซีก
พื้นฐานความเชื่อของอินเดียก่อนเกิดพุทธปรัชญาพื้นฐานความเชื่อของอินเดียก่อนเกิดพุทธปรัชญา • ประเด็นความเชื่อที่พัฒนามาจากคัมภีร์พระเวทมีดังนี้ ๑. ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า ๒. ความเชื่อเกี่ยวกับโลกและชีวิตหลักงความตาย ๔. การยึดถือพิธีกรรม ๓. ความเชื่อเรื่องโชครางและไสยศาสตร์ ๕. การแบ่งชนชั้นในสังคม ๖. ลักษณะวิถีชีวิต
๑. ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า • พระพรหมเป็นผลของการวิวัฒนาการจากยุคความเชื่อในคัมภีร์พระเวทมาสู่ยุคศาสนาพราหมณ์ • พระพรหมคือผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์ • พระพรหมมีอำนาจสูงสุด แม้กระทั่งชะตาชีวิตของมนุษย์ก็ถูกพระพรหมเป็นผู้กำหนดไว้ล่วงหน้า ที่เรียกว่า “พรหมลิขิต”
๒. ความเชื่อเกี่ยวกับโลกและชีวิตหลังความตาย • อุจเฉททิฏฐิเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ ทุกสิ่งไม่มีอยู่จริง แม้กระทั่งความดีความชั่ว • สัสสตทิฏฐิเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรดับสูญ
๓. ความเชื่อเรื่องโชครางและไสยศาสตร์ • การทายลักษณะผ้า • การทายลักษณะดาบ • การทายลักษณะกุมาร • การทายลักษณะธนู • การพยากรณ์ปรากฏการณ์ต่างๆ • การดูฤกษ์งามยามดี-ยามร้าย ฯลฯ
๔. การยึดถือพิธีกรรม • การบูชายัญเกิดจากคติความเชื่อเรื่อง “พรหมสหายตา” หมายถึงความเป็นสหายของพรหม การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรหมด้วยวิธีการใช้สัตว์มาบูชายัญเทพเจ้า เพื่อหวังให้เทพเจ้าดลบาลความสุขมาให้ทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า
๕. การแบ่งชนชั้นในสังคม
๖. ลักษณะวิถีชีวิต วิถีการดำเนินชีวิตของชาวอินเดียยึดถือตามหลัก “อาศรม ๔” ๑. พรหมจารี ๒. คฤหัสถ์ ๓. วนปรัสถ์ ๔. สันยาสี
อาศรม ๔ (ในคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์) • ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้แบ่งขั้นตอนของชีวิตออกเป็น ๔ ขั้น • ๑. พรหมจารี ขั้นตอนของชีวิตที่ยังศึกษาเล่าเรียนในสำนักของอาจารย์ • ๒. คฤหัสถ์ การครองเรือนโดยการแต่งงานและตั้งครอบครัว • ๓. วนปรัสถ์ขั้นตอนการแยกจากครอบครัว เพื่อไปปฏิบัติธรรมในป่า • ๔. สันยาสี : เป็นขั้นตอนสุดท้ายของชีวิต เป็นผู้ครองเพศบรรพชิต สละชีวิตทางโลกโดยสิ้นเชิง อุทิศตนในการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชีวิต
ปรัชญาร่วมสมัยกับพุทธปรัชญาปรัชญาร่วมสมัยกับพุทธปรัชญา
ปรัชญา ๖ สำนัก • นอกจากการดำเนินชีวิตตามหลักพราหมณ์แล้ว ในสมัยพุทธกาลยังมีแนวคิดต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อสังคมอยู่มาก • ในบันทึกของศาสนาเชน มีลัทธิต่างๆ ถึง ๓๖๓ ลัทธิ • ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงเพียง ๖๒ ลัทธิ • สำหรับลัทธิสำคัญ ที่ปรากฏใน สามัญญผลสูตร มี ๖ ลัทธิ
ตัวอย่างแนวคิด ปรัชญา ๖ สำนัก • มักขลิโคศาล ปูรณกัสสปะ • ปกุธกัจจายนะ สภาวะ ๗ กอง คือ กองดิน กองน้ำ กองไฟ กองลม สุข ทุกข์ ชีวะ นี้ ไม่มีใครทำหรือเนรมิต มีอยู่ยั่งยืนไม่แปรปรวน ไม่มีผู้กระทำการใด ๆ ต่อกัน แม้การเอามีดตัดศีรษะกันก็ไม่มีผู้ใดฆ่าใคร เป็นแต่เอามีดผ่านช่องระหว่างสภาวะ ๗ กองนี้เท่านั้น เชื่อว่า บุญ บาป ไม่มี ทุกอย่างที่ทำไปแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วเมื่อจบสิ้นแล้วย่อมแล้วกันไป ไม่มีผลตอบสนองภายหลัง เชื่อว่า สุข ทุกข์ ความดี ความชั่ว เป็นสิ่งที่เกิดเองโดยธรรมชาติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตหนึ่งๆ เป็นเรื่องของการโชคดีและเคราะห์ร้าย ไม่เกี่ยวกับกรรมดีและกรรมชั่วแต่อย่างใด
ตัวอย่างแนวคิด ปรัชญา ๖ สำนัก นิครนถนาฏบุตร • อชิตเกสกัมพล • สัญชัยเวลัฏฐบุตร มีความเชื่อไม่แน่นอน ซัดส่ายไหลลื่นเหมือนปลาไหล ปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ไม่ยอมรับและไม่ยืนยันอะไรทั้งหมด เชื่อว่าการทรมานกายว่าเป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ มีความเป็นอยู่เข้มงวดกวดขันต่อร่างกาย เช่น อดข้าว อดน้ำ ตากแดด ตากลม ไม่นุ่งห่มผ้า ความเป็นอยู่หรือเป็นไปของสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมเป็นไปเอง ไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำให้เป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แม้การที่จะบรรลุถึงความพ้นทุกข์สิ้นเชิง ในวัฏสงสารนี้ ก็เป็นไปเอง มิใช่ด้วยการกระทำใด ๆ เป็นเหตุ
ประวัติพระพุทธเจ้า • เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อน พ.ศ.๘๐ ปี เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ • ท่านทรงได้รับการเลี้ยงดูทนุถนอมอย่างดี ปรนเปรอด้วยความสำราญอย่างเต็มที่ เพื่อหวังจะให้เป็นพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่สืบต่อพระบิดา มิใช่เป็นพระศาสดาตามคำทำนาย
คราวหนึ่ง เจ้าชายได้มีโอกาสไปชมบ้านเมืองด้านนอกวังและได้พบกับ คนแก่ คนเจ็บคนตาย จึงบังเกิดความสลดสังเวชกับความจริงที่พบ...จึงใคร่ครวญแสวงหาความพ้นทุกข์ และน้อมพระทัยไปในการบวช
ในที่สุดท่านจึงตัดสินพระทัยออกผนวชเป็นบรรพชิตที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา เมื่อพระชน มายุ ๒๙ พรรษา
ท่านทรงพยายามศึกษาปฏิบัติหลากหลายวิธีเพื่อการพ้นทุกข์ รวมทั้งการทรมานตนเองด้วย (ทุกรกิริยา) เป็นเวลา ๖ ปี • ในที่สุด ท่านดำริได้ว่า การทรมานตนเองมิใช่ทาง ตรัสรู้ เปรียบเสมือนสายพิณที่ขึงตึงเกินไป ดังนั้น จึงควรปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทางจิตด้วยความพอดี(มัชฌิมาปฏิปทา)
กระทั่งวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ท่านประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ แคว้นมคธ ป.อินเดีย และตั้งสัตยาธิษฐานว่า • “ถ้ายังไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ..จักไม่เสด็จลุกขึ้นจากบัลลังก์...ถึงแม้ว่าเนื้อและเลือดในกายจักเหือดแห้งไปก็ตามที”
จนกระทั่งปัจฉิมยามของวันนั้น พระองค์ได้เกิดปัญญาญาณ ตรัสรู้พระธรรม “อริยสัจ ๔” บรรลุถึงการดับกิเลส และพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง...และทรงได้พระนามว่า..“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ขณะมีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
พระพุทธเจ้าสอนอะไร? • “...โลกตั้งอยู่บนกองทุกข์..... เรา ตถาคต แสดงแต่เรื่อง ทุกข์ และความดับทุกข์ เท่านั้น” • “...เรื่องที่เราสอน ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค..เพราะประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่ายคลายกำหนัด ดับ สงบ รู้ยิ่ง ตรัสรู้ และนิพพาน”
พระพุทธเจ้าสอนอะไร? • สอนให้มองโลกตามความเป็นจริง • ....สิ่งแรกที่มนุษย์ควรทำ คือ การมองความจริงและทำความรู้จักกับสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น และเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ด้วยความรอบรู้และเข้าใจ เพื่อให้มีทุกข์น้อยที่สุด หรือ ไม่มีทุกข์เลย • พระพุทธเจ้าสอนมุ่งให้คนเกิดปัญญา....และเมื่อรู้แล้วก็ควรนำไปปฏิบัติเพื่อเกิดปร ะโยชน์แก่ชีวิต คือ ดับทุกข์ได้
หลังจากที่พระพุทธเจ้า ปรินิพพานได้ ๓ เดือน ได้มีการสังคายนาธรรมวินัยใหม่ และอีก ๑๐๐ ปี ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งในเรื่องการแปลความหมายของธรรมวินัย และมีภิกษุบางส่วนย่อหย่อนต่อพระวินัย จึงมีการสังคายนาครั้งที่ ๒ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งทางความคิด...
สาขาของพุทธปรัชญา นิกายเถรวาท (หีนยาน) นิกายเถรวาท (หีนยาน) • เป็นนิกายดั้งเดิม ยึดถือหลักพระธรรมวินัยที่ได้สังคายนาไว้เมื่อพุทธปรินิพพาน ได้ ๓ เดือน เจริญอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย ได้แพร่หลายไปยังประเทศเอเชียใต้ เช่น ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว และเขมร เป็นต้น นิกายมหายาน นิกายมหายาน เป็นนิกายที่แยกออกมาใหม่ ยึดถือหลักธรรมตามการตีความใหม่ และการปฏิบัติของอาจารย์ตน เจริญอยู่ตอนเหนือของอินเดีย ได้แพร่เข้าไปสู่ประเทศธิเบต จีน เกาหลี เวียดนามและญี่ปุ่น
เถรวาท มหายาน
ความแตกต่างระหว่างเถรวาทและมหายานความแตกต่างระหว่างเถรวาทและมหายาน
เถรวาทตอบอย่างไร? มหายานตอบอย่างไร? พระอรหันต์ตายแล้วเกิด หรือไม่เกิด ?
เมื่อนิพพานมี ที่ตั้งของนิพพานก็น่าจะมี ?
เอกสารอ้างอิง วิโรจ นาคชาตรี. พุทธปรัชญาเถรวาท. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ รามคำแหง, ๒๕๔๗. สุเชาวน์ พลอยชุม. พุทธปรัชญาเถรวาทในสุตตันตปิฎก. กรุงเทพฯ : ม.เกษตรศาสตร์, ๒๕๔๘. เดือน คำดี. พุทธปรัชญา. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๕.
ติดตามผลงานอื่นๆ ของเราได้ที่ www.padvee.com Education for all.