1 / 20

สำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ.

หน่วยที่ 2 (2) แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินเพื่อวินิจฉัย. สำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ. การประเมินเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic Assessment).

owena
Download Presentation

สำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ.

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. หน่วยที่ 2 (2) แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินเพื่อวินิจฉัย สำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ.

  2. การประเมินเพื่อวินิจฉัย(Diagnostic Assessment) เป็นการประเมินเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาในการเรียนรู้ที่มีอยู่ของผู้เรียน และใช้ในการวางแผนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนรู้สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Gronlund, 1990:13)

  3. ลักษณะความสำคัญ ของการประเมินเพื่อวินิจฉัย • เป็นการค้นหาข้อบกพร่อง และสาเหตุของข้อบกพร่องทางการเรียนเป็นเรื่องๆ ไปตามมาตรฐานและตัวชี้วัด • ต้องครอบคลุมทักษะหรือมาตรฐาน/ตัวชี้วัด/จุดเน้นที่สำคัญตามหลักสูตร • อาจแบ่งออกเป็นแบบสอบย่อย หรือแบ่งออกเป็นหลายๆ ตอนตามหน่วยการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ

  4. ลักษณะความสำคัญ ของการประเมินเพื่อวินิจฉัย • เครื่องมือที่ใช้จะต้องผ่านการวิเคราะห์เนื้อหาอย่างละเอียด เรียงตามลำดับขั้นของพฤติกรรมตามตัวชี้วัด • ข้อสอบแต่ละข้อต้องเป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงของนักเรียนมากที่สุด เพื่อให้เห็นถึงกระบวนการคิดที่แท้จริงของนักเรียนอย่างเพียงพอที่จะค้นคว้า วิเคราะห์สาเหตุ และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในการเรียนรู้ของนักเรียน

  5. ลักษณะความสำคัญ ของการประเมินเพื่อวินิจฉัย • เป็นการประเมินที่ไม่กำหนดเวลา แต่ต้องกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่เหมาะสม เพื่อจะได้นำคะแนนจากการสอบมาเปรียบเทียบเกณฑ์ขั้นต่ำ และตัดสินใจว่านักเรียนมีความบกพร่องทางด้านใด • ต้องวัดได้ทั้งข้อบกพร่องทางการเรียนที่ผ่านมา และวัดความก้าวหน้าทางการเรียนพร้อมกับค้นหาสาเหตุนั้น

  6. ผู้เรียน ครูผู้สอน ทราบว่าควรปรับปรุง การเรียนการสอนอย่างไร ทราบจุดที่ควรปรับปรุง ของตนเอง ผู้สอนรู้จักผู้เรียนและทราบความรู้พื้นฐานของผู้เรียน ทราบว่าตนเองมีความรอบรู้ ในเนื้อหานั้นๆลึกซึ้งเพียงใด การเรียนการสอนมีความหมายและคุ้มค่าตามเทคนิคการวัดและประเมินผล ช่วยให้ผู้เรียนปรับพื้นฐาน การเรียนรู้ของตนเองอย่างสม่ำเสมอ สามารถแก้ไขความเข้าใจที่คาดเคลื่อนของผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง ความสำคัญของการประเมินเพื่อวินิจฉัย

  7. การประเมินเพื่อวินิจฉัยการประเมินเพื่อวินิจฉัย ทำเมื่อใด?

  8. ระดับและเครื่องมือการประเมินเพื่อวินิจฉัยระดับและเครื่องมือการประเมินเพื่อวินิจฉัย ดวงเดือน อ่อนน่วม (2533:34-39)แบ่งระดับของการวินิจฉัยออกเป็น 3 ระดับ 1) ระดับทั่วไป (General Level) เป็นระดับสำรวจความสามารถทั่วๆไปของผู้เรียน ถ้าเป็นต่างประเทศใช้แบทดสอบมาตรฐานแต่ในเมืองไทยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทั้งนี้ในการตรวจให้คะแนนไม่ได้ดูที่คะแนนรวมแต่พิจารณาคะแนนรายสมรรถภาพ (Domain) หรือ(Subdomain) 2) ระดับเฉพาะ ( Specific Level)เป็นระดับที่นิยมใช้หลังจากการใช้แบบสอบถามเพื่อการวินิจฉัยทั่วไปเพื่อต้องการทราบว่าผู้เรียนมีความบกพร่องในเรื่องใด ณ จุดใด เป็นการวัดความสามารถเฉพาะเจาะจง 3) ระดับละเอียด (Intensive Level)เป็นการวินิจฉัยอย่างละเอียดลึกซึ้ง เป็นการหาข้อมูลหลายๆด้าน หลายๆแห่ง ทั้งนี้จะไม่ใช้แบบทดสอบอย่างเดียว การหาข้อมูลอาจใช้วิธีการสังเกต การสัมภาษณ์ การทำแบบฝึกหัดซึ่งแหล่งข้อมูลอาจมาจากผู้ปกครอง ครูผู้สอน เพื่อนสนิท ผู้วินิจฉัยอาจประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ นักจิตวิทยา หรือครูแนะแนว

  9. ประเภทของการประเมินเพื่อวินิจฉัยประเภทของการประเมินเพื่อวินิจฉัย 1) การวินิจฉัยแบบทั่วไป (general level) การวินิจฉัยแบบทั่วไปของนักเรียนทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นแบบทดสอบแบบทั่วไป 2) การวินิจฉัยแบบวิเคราะห์ (analytical diagnosis) การวินิจฉัยแบบวิเคราะห์เป็นการวินิจฉัยระดับเฉพาะ (Specific Level ) โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับความสามารถของนักเรียนเพื่อทราบจุดที่ควรพัฒนาของนักเรียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เครื่องมือที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นแบบทดสอบที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 3) การวินิจฉัยแบบคลินิก (Clinical Diagnosis)เป็นการวินิจฉัยระดับละเอียดลึกซึ้ง (Intensive Level) เพื่อให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหา หรือจุดที่ควรพัฒนาที่พบในตัวนักเรียนซึ่งมีความซับซ้อน การใช้ข้อมูลจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเพียงแหล่งเดียวจึงไม่พอ จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งประกอบกัน

  10. รูปแบบและวิธีการประเมินเพื่อวินิจฉัยรูปแบบและวิธีการประเมินเพื่อวินิจฉัย 1) การวินิจฉัยที่ไม่เป็นทางการ (informal diagnosis )เป็นการค้นหาข้อบกพร่องของนักเรียนด้วยวิธีง่าย ๆ ไม่มีแบบแผนที่แน่นอน วิธีการที่ใช้ได้แก่ การสังเกต การสอบถาม การสัมภาษณ์ การตรวจผลงาน 2) การวินิจฉัยที่เป็นทางการ (formal diagnosis) เป็นการค้นหาข้อบกพร่องของนักเรียน โดยวิธีการที่สร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบและมีแบบแผน วิธีการที่ใช้ ได้แก่ การใช้แบบทดสอบวินิจฉัย หรือการวินิจฉัยจากแบบแผนตอบข้อสอบ โดยใช้ดัชนีบ่งชี้ความผิดปกติของแบบแผนการตอบข้อสอบ การใช้วิธีการ Rule apace หรือการใช้การย้อนรอยกระบวนการคิด เป็นต้น

  11. ลักษณะสำคัญของข้อสอบเพื่อวินิจฉัยลักษณะสำคัญของข้อสอบเพื่อวินิจฉัย • ปกติแบบทดสอบวินิจฉัยจะใช้กับนักเรียนที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ต่ำ ดังนั้น ข้อสอบมักมีจำนวนข้อมาก ๆ เป็นข้อสอบที่ค่อนข้างง่าย โดยแต่ละข้อมีค่าความยาก 0.65 ขึ้นไป • เกณฑ์ปกติ (Norm) ไม่มีความสำคัญในแบบทดสอบวินิจฉัยเพราะว่า จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของแบบสอบถามวินิจฉัย คือ เพื่อที่จะค้นหาว่า สิ่งใดที่นักเรียนไม่สามารถที่จะทำได้ และมีสาเหตุใดมากกว่าที่จะใช้เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน • แบบทดสอบวินิจฉัยเน้นความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) เป็นสำคัญ • แบบทดสอบวินิจฉัยจะใช้เฉพาะกับนักเรียนที่มีความบกพร่องในการเรียน ซึ่งจะต้องใช้เวลามากในการดำเนินการสอบ การตรวจ และการตีความหมายของคะแนน • มุ่งวัดเป็นเรื่อง ๆ หรือ ด้าน ๆ ไป ถ้าต้องอาศัยทักษะย่อยหลายทักษะ อาจแบ่งเป็นบททดสอบย่อย วัดตามทักษะย่อย หรือความบกพร่องนั้น • คะแนนรวมของนักเรียนแต่ละคน จะมีความสำคัญน้อยกว่าการวิเคราะห์คำตอบนักเรียนรายข้อ

  12. ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียนขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียน เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียนรู้ 1. ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา มาตรฐาน/ตัวชี้วัด หรือทักษะอย่างละเอียดแล้วแบ่งออกเป็นเนื้อหาย่อยๆ (การวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัด) 2. ศึกษาและรวบรวมสาเหตุของข้อบกพร่องทางการเรียนในเนื้อหาย่อยเหล่านั้น เพื่อนำมาสร้างเป็นตัวลวงในแบบทดสอบ(การวิเคราะห์ข้อบกพร่องในการเรียนรู้)2.1 การสำรวจ (ข้อสอบอัตนัย)2.2 ผู้เชี่ยวชาญหรือวิเคราะห์เอกสาร

  13. ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียนขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียน เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียนรู้ 3. เขียนแผนผังข้อสอบในการวินิจฉัยข้อบกพร่องในการเรียนรู้ (การออกแบบการวัดและประเมินผล) 4. เขียนข้อสอบให้สอดคล้องกับจุดประสงค์และข้อบกพร่องที่ต้องการวัดในแต่ละด้าน (การเขียนข้อสอบ)3.1 ข้อสอบปรนัย3.2 ข้อสอบอัตนัย 5. เรียบเรียงข้อสอบไว้เป็นด้านๆ เพื่อสะดวกในการวินิจฉัย โดยในแต่ละด้านควรมีข้อสอบค่อนข้างง่ายครึ่งหนึ่งของข้อสอบทั้งหมด (การจัดฉบับข้อสอบ)

  14. ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียนขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียน เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียนรู้ 6. กำหนดเกณฑ์ในการวินิจฉัยรายข้อและภาพรวม (การออกแบบ)6.1 การวินิจฉัยรายข้อ เช่น โจทย์ มานะกับมาลีมีน้ำหนักรวมกันได้ 63 กิโลกรัม ถ้ามานะน้ำหนัก 29 กิโลกรัม มาลีหนักกี่กิโลกรัม ก. 34 กิโลกรัม ข. 46 กิโลกรัม (ไม่เข้าใจโจทย์และวิธีการ) ค. 92 กิโลกรัม(ใช้วิธีการผิด โดยนำตัวเลขทั้งสองมาบวกกัน)

  15. ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียนขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียน เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียนรู้ 6. กำหนดเกณฑ์ในการวินิจฉัยรายข้อและภาพรวม (ต่อ)6.2 การวินิจฉัยภาพรวม เช่น เกณฑ์ ถ้ามาตรฐานใดที่ตอบผิดมากกว่าร้อยละ 50 (3 ข้อขึ้นไป) ถือว่า มาตรฐานนั้นต้องปรับปรุงเร่งด่วน

  16. ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียนขั้นตอนการสร้างแบบประเมินผลในชั้นเรียน เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียนรู้ 7. ตรวจสอบความถูกต้องของแบบทดสอบ แล้วนำไปทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไข (การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ) 8. เขียนคู่มือและแบบแผนการวินิจฉัย

  17. ตัวอย่างข้อสอบวินิจฉัยตัวอย่างข้อสอบวินิจฉัย 5 เมตร วิชาคณิตศาสตร์ ใช้คำถามปลายเปิด “ ชาวนาสร้างรั้วรอบที่ดินรูปสี่เหลี่ยม ที่มีด้านยาว 5 เมตร ด้านสั้น 3 เมตร ถามว่าพื้นที่ของรั้วเท่ากับเท่าไร “ 3 เมตร 3เมตร 5 เมตร

  18. คำตอบ • 8 ตารางเมตร • 16 เมตร • 16 ตารางเมตร • 15 ตารางเมตร • 30 ตารางเมตร • 225 ตารางเมตร

  19. คำตอบ 8 ตารางเมตร 16 เมตร หรือ 16 ตารางเมตรที่สับสนเรื่องพื้นที่กับเส้นรอบรูป อาจนำ 3+5+3+5 = 16 หรือ นำ 3+5 = 8 30 ตารางเมตร อาจนำ (3x5) + (3x5) = 30 225 ตารางเมตร อาจนำ 3x5x3x5 = 225 ผู้ตอบ ผู้ตอบ

  20. ผู้ตอบ • ตารางเมตร (คำตอบถูก) แสดงความเข้าใจโจทย์โดยทำ รูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 เมตร 15 รูปดังภาพ

More Related