320 likes | 416 Views
ความจำกัดของรายได้ ความจำกัดของรายได้แทนด้วยเส้นงบประมาณ ( budget line) เส้นงบประมาณ คือ คู่ทุกคู่ของสินค้าบริการที่ผู้บริโภคอาจเลือกซื้อหาได้ด้วยรายได้ทั้งหมดที่มีอยู่
E N D
ความจำกัดของรายได้ ความจำกัดของรายได้แทนด้วยเส้นงบประมาณ (budget line) เส้นงบประมาณ คือ คู่ทุกคู่ของสินค้าบริการที่ผู้บริโภคอาจเลือกซื้อหาได้ด้วยรายได้ทั้งหมดที่มีอยู่ สมมติว่าผู้บริโภคซื้อสินค้าเพียง 2 ชนิด โดยใช้รายได้ทั้งหมด (ไม่มีการออม) เส้นงบประมาณจะมีสูตรดังนี้ PfF + PCC = I
สมมติให้ Pf = 1 บาทต่อหน่วย และ Pc = 2 บาทต่อหน่วย และมีรายได้ = 80 บาทต่อวัน เขาจะสามารถใช้รายได้ไปซื้อ F และ C แบบต่างๆ ได้ดังนี้ market basket F C รายจ่ายทั้งหมด A 0 40 80 B 20 30 80 C 40 20 80 D 80 0 80
จุดต่างๆสอดคล้องกับเงื่อนไข (หรือสมการ) นี้ F + 2C = 80 เมื่อแบ่งแยก F และ C ออกละเอียดขึ้นๆ ก็จะได้เส้นงบประมาณขึ้นมา (ดูรูปถัดไป) ความชันของเส้นงบประมาณแสดงการชดเชยของ F และ C ในกรณีนี้ ความชันเป็น C / F = -1/2 ค่าความชันตรงกับสัดส่วนของต้นทุน (ราคาของ) F ต่อ C
Clothing (units per day) • A Budget Line F + 2C = 80 (I/PC) = 40 • B 30 Slope C / F = -1/2 = - Pf /Pc 10 • D 20 20 • E 10 G • Food (units per day) 20 40 60 80 = (I/Pf)
PfF + PCC = I PCC = I - PfF C = (I / PC) - (Pf / PC)F เส้นงบประมาณจะมีความชันเป็น - (Pf / PC) และ จุดตัดแกนตั้งที่ (I / PC) PfF = I - PcC F = (I / Pf) - (Pc / Pf)C จุดตัดแกนตั้งและจุดตัดแกนนอนจะบอกว่าเขาจะซื้อสินค้า F ได้เท่าไรด้วยรายได้ทั้งหมดและ C ได้เท่าไรด้วยรายได้ทั้งหมด
ผลของการเปลี่ยนแปลงในรายได้และราคา รายได้ (I) เปลี่ยนไปจะมีผลอย่างไร ดูได้จาก C = (I / PC) - (Pf / PC)F จะมีผลต่อปริมาณการซื้อ F และ C แต่ไม่มีผลต่อสัดส่วนของราคา (ความชันของเส้นงบประมาณ) I เปลี่ยนไปทำให้เส้นงบประมาณขนานไปจากเส้นเดิม ถ้า I เพิ่มขึ้น เส้นงบประมาณ shift ออกไป ถ้า I ลดลง เส้นงบประมาณ shift เข้ามา
Clothing (units per day) 80 60 I = 160 40 L1 L2 I = 80 20 L3 I = 40 Food (units per day) 40 80 120 160
ถ้าราคาสินค้าเพียงชนิดหนึ่งเปลี่ยนไปมีผลอย่างไร ขณะที่ราคาสินค้าอื่นคงที่ ดูจาก C = (I / PC) - (Pf / PC)F สมมติให้ Pfลดลงครึ่งหนึ่งเป็น 0.50 บาท (I / PC) ไม่เปลี่ยน แต่ (Pf / PC) เปลี่ยนจาก 1/2 เป็น 0.5/2 เส้นงบประมาณหมุน (rotate) ออกไปจากเดิม ผลจะไม่ปรากฏกับการบริโภค C แต่จะเกิดกับ F นั่นคือ บริโภค F ได้มากขึ้น หรือ อำนาจในการซื้อ F เพิ่มขึ้น
Clothing (units per day) 40 L2 L1 Pf = 1/2 L3 Pf = 1 Pf = 2 Food (units per day) 40 80 120 160
ถ้าราคาของสินค้าทั้งสอง (ทั้งหมด) เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน จะทำให้ความชันของเส้นงบประมาณไม่เปลี่ยนแปลง แต่จุดตัดแกนตั้งและจุดตัดแกนนอนเปลี่ยนไป นั่นคือ (I / PC)และ(I / Pf) ต่างไปจากเดิม ทำให้เส้นงบประมาณ shift ออกไปขนานกับเส้นเดิม หากรายได้เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนเดียวกับราคาของสินค้าทั้งสอง (ทั้งหมด) จะทำให้เส้นงบประมาณไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ทางเลือกที่ผู้บริโภคได้เลือก ทางเลือกที่ผู้บริโภคได้เลือก ผู้บริโภคจะเลือกสินค้าที่ทำให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด (maximize the satisfaction) ภายใต้รายได้ที่มีอยู่อย่างจำกัด เงื่อนไข 2 ประการที่ทำให้เป็นเช่นนี้ 1) ตระกร้าสินค้าต้องอยู่บนเส้นงบประมาณ (ไม่เช่นนั้น จะใช้รายได้ไม่หมดหรือรายได้ไม่พอที่จะใช้ ) 2 ) ตระกร้าสินค้าต้องให้ความพึงพอใจมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ปัญหาของการทำให้ได้ความพึงพอใจสูงสุด ภายใต้รายได้คงที่เป็นปัญหาของการเลือกจุดที่เหมาะสมบนเส้นงบประมาณ จุดที่เหมาะสมคือ จุดสัมผัสของเส้น IC และเส้นงบประมาณทำให้ความชันของทั้งคู่เท่ากัน MRS = - C/ F = Pf / Pc หากให้ IC สะท้อนความพึงพอใจ ( benefit ) และเส้นงบประมาณแสดงถึงต้นทุน ( cost ) ณ จุดที่เหมาะสม marginal benefit = marginal cost
Clothing (units per week) 40 • D Budget Line • B 30 -10C U3 A • 20 U2 +10F U1 Food (units per week) 20 40 80
ถ้า MRS > Pf / Pc นั่นคือ - C / F > Pf / Pc จะบริโภค F มากขึ้นและ C น้อยลงเพราะว่า F ถูกลง ทำให้ - C / F ลดลงจนในที่สุด - C / F = Pf / Pc การปรับเข้าสู่ระบบดุลยภาพนี้จะเคลื่อนไปตามเส้นงบประมาณจนได้เงื่อนไขข้างต้น
Corner solution เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้บริโภคเลือกที่จะบริโภคสินค้าเพียงบางอย่าง และไม่เลือกที่จะบริโภคสินค้าบางชนิด จุดดุลยภาพของผู้บริโภคไปอยู่มุมหนึ่งของเส้นงบประมาณ ซึ่งทำให้เขามีความพอใจสูงสุดด้วย ในทางเทคนิค, MRS >Pi / Py Pyต้องลดลงมามากๆ จนทำให้มีการบริโภค y บ้าง
Frozen Yogurt (cups per month) • A U3 U2 U1 • Ice cream (cups per month) B
Revealed Preference เป็นแนวคิดด้านกลับของ Consumer choice เป็นการระบุความพึงพอใจของผู้บริโภคจากตระกร้าสินค้าที่ผู้บริโภคได้เลือกได้แล้ว โดยมีหลักการว่า การที่ผู้บริโภคเลือกตระกร้าสินค้าหนึ่งจากหลายๆตระกร้าสินค้า และหากตระกร้าสินค้าที่เลือกแพงกว่าตระกร้าสินค้าอื่นๆ แสดงว่าเขาพึงพอใจในตระกร้าสินค้านั้น
วิธีการเปรียบเทียบ 1) ระบุตระกร้า 2 จุดบนเส้นงบประมาณ 2) เลือกจุดที่เป็น Consumer choice 3) ให้ราคาเปลี่ยนไป ( ถูกลง ) จนทำให้เส้นงบประมาณใหม่ผ่านจุดที่ไม่เลือก 4) ตีกรอบจุดที่เหนือจุดที่เป็น Consumer choice ( เป็นกรอบบน ) ตีกรอบจุดอื่นๆที่เลือกหากราคาเปลี่ยนไป ( เป็นกรอบล่าง ) 5) เส้น IC จะอยู่บนพื้นที่ของ 2 กรอบนี้
Clothing (units per month) l1 • A l2 • B D • Food (units per month)
Clothing (units per month) l3 l1 • l4 • A G • l2 • B Food (units per month)
Marginal utility กับ Consumer choice เป็นการใช้แนวทางของ Marginal utility (MU)มาอธิบายดุลยภาพของผู้บริโภค แทนที่จะใช้เส้นกราฟ ใช้ตัวเลขแทน MU คือ อรรถประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อได้บริโภคสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหน่วย diminishing marginal utility เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อบริโภคสินค้าชนิดหนึ่งมากขึ้นๆ จะทำให้ MU ลดลงๆ
จุดดุลยภาพของผู้บริโภคจะกำหนดได้จากการเคลื่อนตามเส้น IC ไปจนถึงจุดที่สัมผัสเส้นงบประมาณ การเปลี่ยนแปลงบน IC จะทำให้ MU ที่สูญไปจากการลดบริโภคสินค้าชนิดหนึ่งไปชดเชย MU ที่เพิ่มจากการเพิ่มบริโภคสินค้าอีกชนิด MUf F + MUc C = 0 - C / F = MUf / MUc
เนื่องจาก MRS = - C / F = Pf / Pc ฉะนั้น MUf / MUc = Pf / Pc MUf / Pf = MUc / Pc ดุลยภาพของผู้บริโภคจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่ออรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มต่อราคาของสินค้าทุกประเภทเท่ากัน Equal marginal principle
Cost-of-living indexes (ดัชนีวัดต้นทุนของการครองชีพ) Cost of living (CL) คือ สัดส่วนของต้นทุนในปัจจุบันที่ใช้ซื้อกลุ่มสินค้าบริการเทียบกับต้นทุนในอดีตที่เป็นปีฐาน Ideal CL เป็นการเปรียบเทียบที่กำหนดให้ความพึงพอใจของบุคคลในทั้งสองช่วงเวลาเท่ากัน ( ให้ IC คงที่ ) แต่ประเด็นคือ ต้นทุนของราคาสินค้าแต่ละประเภทเพิ่มขึ้นแตกต่างกันไป ทำให้มีการทดแทนการบริโภคสินค้าต่างๆได้ โดยที่อรรถประโยชน์ยังคงไว้ในระดับเดิมได้
ตัวอย่างเช่น S กับ R มีค่าใช้จ่ายใน 2 ปี ที่ทำให้มีความพึงพอใจเท่ากัน ดังนี้ รายการ S (1990) R (2000) ราคาหนังสือ 20 บาท/เล่ม 100 บาท/ เล่ม จำนวนหนังสือ 15 เล่ม 6 เล่ม ราคาอาหาร 2 บาท/กก. 2.20 บาท/กก. ปริมาณอาหาร 100 กก. 300 กก. ค่าใช้จ่าย 500 บาท 1,260 บาท
Books (per quarter) 25 l1 U1 A • 15 l2 B • 5 Food (lb. per quarter) 100 250 300 600
Ideal CL เป็น 1,260 / 500 = 2.52 มักจะใช้ปีฐานเป็นดัชนีที่มีค่าเป็น 100 ดังนั้น Ideal CL จึงมีค่าเป็น 252 ในปี 2000 เทียบกับปี 1990 ที่มีค่าเป็น 100 หรือ CL เพิ่มขึ้น152%
แต่ Ideal CL ไม่สามารถวัดได้ เพราะไม่สามารถวัดอรรถประโยชน์ของบุคคลหรือประชากรได้ จึงใช้การบริโภค หรือกลุ่มสินค้าบริการที่ซื้อมาบริโภคแทนอรรถประโยชน์ Laspeyres price index (LPI) เป็นการวัดว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อกลุ่มสินค้าบริการ ในปัจจุบันเป็นเท่าไรเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในอดีต นั่นคือ ต้นทุนในการซื้อสินค้าบริการในปัจจุบันหารด้วยต้นทุนในปีฐาน โดยใช้การบริโภคตระกร้าสินค้าแบบเดียวกัน
โดยใช้ตัวอย่างข้างต้น มูลค่าในปี 2000 จะเป็น ( 100x15) + (2.2x100) = 1,720 LPI เป็น ( 1,720/500) x100 = 344 เมื่อเปรียบเทียบ LPI กับ ICL จะพบว่า LPI จะให้ค่าที่สูงกว่า ICL เพราะว่าไม่มีการทดแทนกันระหว่างสินค้าสองชนิดที่มีการเพิ่มขึ้นที่ไม่เท่ากัน LPI เสมือนหนึ่ง shift เส้นงบประมาณให้สูงขึ้นจากเดิม ซึ่งถ้ามีการปรับเปลี่ยนการบริโภคด้วยเส้นงบประมาณที่สูงขึ้นนี้ ผู้บริโภคก็อยู่บน IC ที่สูงกว่าได้ LPI สมมติว่าผู้บริโภคไม่เปลี่ยนรูปแบบการบริโภค
Books (per quarter) 25 l1 U1 A • 15 l2 l3 B • 5 Food (lb. per quarter) 100 250 300 600
Paasche price index (PPI) เหมือนกับ LPI แต่ต่างกันที่จะใช้การบริโภคสินค้าบริการของปีปัจจุบันเป็นหลัก PPI เป็นการวัดว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อกลุ่มสินค้าบริการที่บริโภคในปัจจุบันเป็นเท่าไรเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในอดีตในการบริโภคสินค้าชุดนั้น ใช้ตัวอย่างข้างต้น มูลค่าในปี 1990 จะเป็น ( 20x6 ) + ( 2x300 ) = 720 PPI เป็น ( 1,260 /720 ) x 100 = 175 PPI ให้ค่าต่ำกว่า ICL เพราะว่าใช้ต้นทุนต่ำกว่าที่ในการซื้อกลุ่มสินค้านี้
เปรียบเทียบ LPI กับ PPI ด้วยสูตรดังนี้ LPI = ( Pft x Fb ) + ( Pct x Cb ) / ( Pfb x Fb ) + ( Pcb x Cb ) = 344 PPI = ( Pft x Ft ) + ( Pct x Ct ) / ( Pfb x Ft ) + ( Pcb x Ct ) = 175 สังเกตว่าทั้งสองเป็น fixed weight index โดยที่ LPI ใช้ปริมาณสินค้าในปีฐานคงที่ PPI ให้ปริมาณสินค้าปีปัจจุบันคงที่ แต่ LPI ให้ค่าสูงกว่า PPI