250 likes | 1.27k Views
พระเจ้าอู่ทองมาจากไหน?. ง . พระเจ้าอู่ทองมาจากไหน. จากการศึกษาที่ผ่านมา ปัญหาความเป็นมาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1( พระเจ้าอู่ทอง ) สรุปได้ 3 แนวทาง คือ. ทฤษฎีที่ 1 นักประวัติศาสตร์ไทยกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า พระเจ้าอู่ทองสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มผู้ปกครองไทยภาคเหนือ และได้อพยพลงมาทางใต้.
E N D
พระเจ้าอู่ทองมาจากไหน?พระเจ้าอู่ทองมาจากไหน?
ง. พระเจ้าอู่ทองมาจากไหน • จากการศึกษาที่ผ่านมาปัญหาความเป็นมาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง) สรุปได้ 3 แนวทางคือ ทฤษฎีที่ 1นักประวัติศาสตร์ไทยกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าพระเจ้าอู่ทองสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มผู้ปกครองไทยภาคเหนือและได้อพยพลงมาทางใต้
ตำนานสิงหนวัติกุมารกล่าวว่าต้นวงศ์ของพระเจ้าอู่ทองเดิมอยู่ที่เวียงโยนกเชียงแสนต่อมาพระเจ้าพรหมผู้สืบราชวงศ์จากสิงหนวัติกุมารได้แยกมาสร้างเมืองใหม่แถบเมืองเชียงรายคือเวียงไชยปราการกษัตริย์เวียงไชยปราการองค์สืบมาถูกมหาราชเมืองสุธรรมวดีเมงรุกรานจึงถอยร่นลงมาอยู่แถบบริเวณจังหวัดกำแพงเพชรในที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงสืบต่อมาอีกหลายชั่วอายุคนถึงสมเด็จพระเจ้าอู่ทองจึงมาสร้างกรุงศรีอยุธยาตำนานสิงหนวัติกุมารกล่าวว่าต้นวงศ์ของพระเจ้าอู่ทองเดิมอยู่ที่เวียงโยนกเชียงแสนต่อมาพระเจ้าพรหมผู้สืบราชวงศ์จากสิงหนวัติกุมารได้แยกมาสร้างเมืองใหม่แถบเมืองเชียงรายคือเวียงไชยปราการกษัตริย์เวียงไชยปราการองค์สืบมาถูกมหาราชเมืองสุธรรมวดีเมงรุกรานจึงถอยร่นลงมาอยู่แถบบริเวณจังหวัดกำแพงเพชรในที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงสืบต่อมาอีกหลายชั่วอายุคนถึงสมเด็จพระเจ้าอู่ทองจึงมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
ตำนานเชียงแสนของล้านนา (พงศาวดารโยนกและพงศาวดารเหนือ) กล่าวถึงกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาว่าสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าพรหม (ประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 หน้า 178) • เชื่อกันว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นชามาดา(ลูกเขย) เจ้าเมืองสุพรรณบุรีเป็นเชื้อสายของเจ้าชายไชยศิริแห่งเมืองเชียงรายซึ่งอพยพถอยร่นมาจากเมืองเหนือจนมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองอู่ทองจ.สุพรรณบุรีหรือเมืองนครไชยศรีจ.นครปฐมต่อมาได้อพยพหนีโรคห่ามาตั้งนครหลวงใหม่ที่เมืองอโยธยาในปีพ.ศ.1890
ทฤษฎีที่ 2เชื่อว่าพระเจ้าอู่ทองเดิมเป็นเจ้าเมืองเพชรบุรีสืบเชื้อสายมาจากชาวจีนโพ้นทะเล พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิตพ.ศ. 2182 และคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวถึงการอพยพของบรรพบุรุษของพระเจ้าอู่ทองจากที่อื่นแล้วมาตั้งเมืองอยู่ที่เพชรบุรีและในที่สุดก็ย้ายมาที่หนองโสน
ทฤษฎีที่ 3เชื่อว่าเป็นเจ้าเมืองลพบุรี (เจ้าของทฤษฎีคือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) หลักฐานที่กล่าวถึงเรื่องนี้คือชินกาลมาลีปกรณ์และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา George Coedes และ O.W. Wolters เห็นว่าพระเจ้าอู่ทองอาจมีเชื้อสายมาจากเมืองลพบุรีซึ่งเคยเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของเขมร
เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีทรงโปรดฯให้พระราเมศวรราชโอรสไปครองเมืองลพบุรีในฐานะเมืองลูกหลวงนอกจากนี้ในจดหมายเหตุจีนยังเรียกกรุงศรีอยุธยาเมื่อแรกสถาปนาว่า“หลอหู”อันเป็นชื่อเดียวกับที่จีนเคยใช้เรียกเมืองลพบุรีมาก่อน
ส่วนทฤษฎีที่กล่าวว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองอู่ทองนั้นปัจจุบันความคิดดังกล่าวได้ถูกล้มเลิกไปแล้วเนื่องจากผลการขุดค้นและขุดแต่งเมืองเก่าอู่ทองปรากฏว่าเมืองนี้ได้ถูกทิ้งร้างไปก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะมาสร้างกรุงศรีอยุธยาร่วมสองร้อยปีโดยไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัยหลังสมัยทวารวดีหรือตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีผู้เสนอข้อคิดอื่นๆอีกเช่นดร. ชาญวิทย์เกษตรศิริเสนอว่าพระเจ้าอู่ทองน่าจะมีเชื้อสายจีน ข้อเสนอทั้งหมดเป็นเพียงการสันนิษฐานเรายังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากไหน
ภาพรวมและเหตุการณ์สำคัญๆภาพรวมและเหตุการณ์สำคัญๆ - สถาปนาขึ้นโดยพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง) เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มีนาคมพ.ศ.1893 -มีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 34 พระองค์จาก 5 ราชวงศ์คือราชวงศ์อู่ทองสุพรรณบุรีปราสาททองสุโขทัยและบ้านพลูหลวง
- การปกครองใช้ระบบศักดินาซึ่งมีการแบ่งชั้นของเจ้าขุนนางพระสงฆ์และราษฎรออกเป็นหมวดหมู่และชั้นอย่างชัดเจนมีการเกณฑ์แรงงานไพร่และการเก็บอากรส่วยเป็นผลิตผลและตัวเงิน -ศาสนานับถือพุทธหินยานแต่ก็มีความเชื่อด้านวิญญาณและพุทธมหายานเข้ามาเจือปนในสถาบันพระมหากษัตริย์ใช้พิธีกรรมฮินดูและพราหมณ์เพื่อสร้างอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์เป็นการผสมระหว่างธรรมราชาและเทวราชา
- อยุธยาถือกำเนิดมาจากการรวมตัวของแว่นแคว้นสุพรรณบุรี (มีอำนาจทางซีกตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา) และลพบุรี (ทางซีกตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา) ทั้งสุพรรณบุรีและลพบุรีมีมรดกทางประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาจากสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-17) และอยู่ภายใต้อิทธิพลของขอมจากเมืองพระนครหลวงหรือกรุงยโสธรปุระ (พุทธศตวรรษที่ 16-19) นับตั้งแต่สมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (1545-93) จนเมื่ออำนาจขอมอ่อนลงตั้งแต่หลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (1724-1762)
-ปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการสถาปนาอาณาจักรอยุธยานอกจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่มีความอุดมสมบูรณ์และเอื้ออำนวยทางการค้าแล้วบริเวณนี้ยังเป็นศูนย์รวมกลุ่มชนจากที่ต่างๆกลายเป็นชุมชนที่หนาแน่นและแม้จะมีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและความเชื่อทั้งศาสนาฮินดูพุทธและความเชื่อพื้นเมืองแต่เนื่องจากมีผู้นำที่มีความสามารถจึงรวมความแตกต่างเหล่านี้ให้มีความเป็นเอกภาพได้-ปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการสถาปนาอาณาจักรอยุธยานอกจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่มีความอุดมสมบูรณ์และเอื้ออำนวยทางการค้าแล้วบริเวณนี้ยังเป็นศูนย์รวมกลุ่มชนจากที่ต่างๆกลายเป็นชุมชนที่หนาแน่นและแม้จะมีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและความเชื่อทั้งศาสนาฮินดูพุทธและความเชื่อพื้นเมืองแต่เนื่องจากมีผู้นำที่มีความสามารถจึงรวมความแตกต่างเหล่านี้ให้มีความเป็นเอกภาพได้
การเมือง-การปกครอง สังคมไทยสมัยอยุธยาเป็นสังคมที่มีระบบไพร่ซึ่งหมายถึงราษฎรหรือสามัญชนเนื่องจากสังคมในสมัยนั้นกำลังพลเป็นสิ่งสำคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการสงครามป้องกันประเทศจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมกำลังพลหรือที่เรียกว่าระบบไพร่เพื่อควบคุมและจัดสรรประโยชน์จากกำลังคนให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ระบบไพร่แบ่งคนเป็น 3 กลุ่มคือ - มูลนาย - ไพร่ - ทาสหรือข้า การปกครองและบริหารราชการแผ่นดินใช้ระบบไพร่เป็นหลักไพร่พลจะขึ้นสังกัดกับมูลนายซึ่งควบคุมโดยผ่านระบบกรมกอง
ภาษี- ไพร่นอกจากมีหน้าที่รับใช้มูลนายแล้วยังต้องรับผิดชอบในการเสียภาษีภายในซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภทคือ จังกอบ–ได้แก่จังกอบเรือและจังกอบสินค้า, ส่วย–เป็นสิ่งของหรือเงินตราที่ไพร่ส่วยต้องส่งให้รัฐเป็นประจำทุกปีตามอัตราที่รัฐกำหนด, อากร–คือภาษีที่ชักจากผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้เช่นอากรค่านาหรืออากรสวน, ฤชา–เป็นค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บจากการทำประโยชน์ให้แก่ราษฎรเป็นการส่วนตัวเช่นค่าธรรมเนียมในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นต้น
ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงมีการปฏิรูปการปกครองทำให้เป็นระบบราชการมากขึ้นมีการแบ่งฝ่ายการปกครองเป็นทหารกับพลเรือนมีตำแหน่งกลาโหมปกครองฝ่ายทหารและตำแหน่งมหาดไทยปกครองฝ่ายพลเรือนเพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่มีเพียง 4 ตำแหน่งคือเวียงวังคลังนานอกจากนี้พระองค์ยังได้ออกกฎหมายซึ่งเป็นรากฐานของระบบศักดินาของอยุธยาซึ่งได้ใช้มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์