1 / 103

หัวข้อเรื่องที่ 4

336472 e-Marketing. หัวข้อเรื่องที่ 4. สื่อโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ Online Advertising. ความหมายของการโฆษณาออนไลน์.

maxim
Download Presentation

หัวข้อเรื่องที่ 4

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 336472 e-Marketing หัวข้อเรื่องที่ 4 สื่อโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ Online Advertising

  2. ความหมายของการโฆษณาออนไลน์ความหมายของการโฆษณาออนไลน์ การโฆษณาออนไลน์ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ธุรกิจ ก่อให้เกิดการซื้อขายกันตามมา โดยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตนั้น เป็นการติดต่อสื่อสารแบบ 2ทาง ผสมผสานกับสื่อน่าสนใจต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การโฆษณาแบบContextual Ads สำหรับการแสดงผลบนเครื่องมือค้นหา , ป้ายโฆษณา (Banner Ads) , เครือข่ายโฆษณา (Advertising Networks) และ e-mail Marketing

  3. การโฆษณาผ่านป้ายโฆษณา (Banner Advertising) ป้ายโฆษณา เป็นรูปแบบที่นิยมใช้เพื่อการสื่อสารประชาสัมพันธ์ มีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือจัตุรัส มีขนาดแตกต่างกันมีหน่วยเป็น Pixel มีการนำข้อความ รูปภาพ เป็นส่วนประกอบในการจัดทำ มีการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของผู้โฆษณา หรือรายละเอียดของโฆษณาซึ่งอาจเป็นเว็บไซต์แค่หน้าเดียว ส่วนมากป้ายโฆษณาออนไลน์จะมีลักษณะเป็นข้อความสั้น ๆ โดยเป็นข้อความเชิงการตลาดที่สั้นแต่จับใจความได้ และภาพกราฟิกเล็ก ๆ ที่สร้างความสนใจ เชิญชวน ดึงดูดให้มาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ป้ายโฆษณาสามารถจัดหาได้หลายรูปแบบ เช่น จ่ายค่าโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนโฆษณากับพันธมิตรธุรกิจ หรือลงในเว็บที่ให้ประกาศได้ฟรี

  4. รูปแบบการโฆษณาด้วยป้ายโฆษณา (Banner) • Keyword Bannerป้ายโฆษณาที่ปรากฏก็ต่อเมื่อถูกค้นพบจากเครื่องมือ Search Engine โดยจะมีประสิทธิภาพมากสำหรับบริษัทที่ต้องการจำกัดขอบเขตของกลุ่มเป้าหมาย ปรับให้ตรงความต้องการของผู้โฆษณาเป็นลักษณะโฆษณาแบบ 1 ต่อ 1 • Random BannerหรือRotation Bannerป้ายโฆษณาที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม ถูกสุ่มไปทุกครั้งเมื่อมีการเปิดหน้าเว็บใหม่ • Banner Swappingเป็นการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนป้ายโฆษณาระหว่างเว็บไซต์กับเว็บไซต์โดยตรง เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายน้อยแต่ยุ่งยากต่อการจัดเรียง • Banner Exchange เป็นการแลกเปลี่ยนโฆษณาที่ง่าย จับคู่ระหว่างกันได้มากกว่า แลกกับหลาย ๆ เว็บไซต์ได้

  5. มาตรฐานป้ายโฆษณา ป้ายโฆษณามีอยู่ด้วยกันหลายขนาด หลายชนิดตามแต่ละเว็บไซต์ ได้กำหนดขึ้นโดยประมาณ 90% จะมีความกว้างอยู่ระหว่าง 120-500 IMU (IMU คือ Interactive Marketing Units) หรือในทางออกแบบใช้เป็นพิกเซล ความสูงอยู่ที่ 45-120 IMU หน่วยงานระดับสากลได้แก่ www.IAB.net (Interactive Advertising Bureau) และ CASIE (Coalition for Advertising Supported Information and Entertainment) ได้ร่วมกันกำหนดมาตรฐานของป้ายโฆษณา เพื่อให้ถือเป็นมาตรฐานร่วมกัน ซึ่งสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย (Thai Webmaster Association-www.webmaster.or.th) ก็ได้นำมาตรฐานดังกล่าวมาอ้างอิงการในการลงโฆษณาในเว็บไทยเช่นกัน

  6. โฆษณาแถบยาวและปุ่ม (Banner and Buttons) Banner หรือ Electronic Billboards เป็นป้ายโฆษณาที่บรรจุด้วยข้อความสั้น หรือรูปภาพ เพื่อการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เพื่อจูงใจให้เกิดการซื้อขายสินค้า Leader Boardป้ายโฆษณาขนาดใหญ่พิเศษ 728x90 IMU มีขนาดไฟล์ที่ใหญ่ นิยมไว้บนสุด นำสื่อ Multimedia ในลักษณะ Rich Media มาประกอบ Full Bannerป้ายโฆษณาขนาด 468x60 IMU นิยมใช้กันมาก ส่วนใหญ่จะไปวางไว้บนสุดหรือล่างสุดของหน้าเว็บไซต์ Half Bannerป้ายโฆษณาขนาด 234x60 IMU ส่วนใหญ่นำมาตัดใส่ด้านบนในส่วนต่อจาก Logo เว็บไซต์ Vertical Bannerป้ายโฆษณาขนาด 120x240 IMU นิยมไปวางในขอบขวา หรือขอบด้านหนึ่งของเว็บไซต์ เนื่องจากใช้แสดงพื้นที่ในแนวดิ่ง ไม่รบกวนพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้แสดงเนื้อหาของเว็บไซต์มากนัก

  7. โฆษณาแถบยาวและปุ่ม (Banner and Buttons) • Buttonเป็นป้ายโฆษณาแบบปุ่ม เป็นรูปภาพที่มีขนาดเล็กกว่าป้ายโฆษณาทั่วไป จึงเรียกว่า “ปุ่ม” • Micro Barเป็นป้ายโฆษณาขนาดเล็กที่สุดในมาตรฐาน ที่มีขนาด 88x31 IMU นิยมใช้ในการแลกเปลี่ยน Link ระหว่างกันในหมู่เว็บไซต์

  8. ขนาดของโฆษณา Banner 728x90 IMU (Leader Board) อัตราส่วน 1:2 468x60 IMU (Full Banner) 234x60 IMU (Half Banner) 240x400 IMU (Vertical Rectangle) 120x240 IMU (Vertical Banner) 125x125 IMU (Square Banner) 120x90 IMU (Button 1) 120x60 IMU (Button 2)

  9. ขนาดของโฆษณา Banner อัตราส่วน 1:2 300x250 IMU (Medium Rectangle) 250x250 IMU (Square Pop-Up) 240x400 IMU (Vertical Rectangle) 336x280 IMU (Large Rectangle) 180x150 IMU (Rectangle)

  10. โฆษณาสี่เหลี่ยมและป๊อบ-อัพ (Rectangle and Pop-Up) • Rectangleเป็นป้ายโฆษณาขนาดปกติ มีขนาดชัดมากทำให้มีเนื้อที่ที่สามารถออกแบบเนื้อหาได้ง่าย แต่การใช้เนื้อที่มากกินเนื้อที่ในเว็บส่งผลต่อภาพหลักของเว็บไซต์ที่ออกแบบได้ยากขึ้น • Pop-Upเป็นรูปแบบการโฆษณาประเภทหนึ่งที่มีอัตราการคลิกสูงกว่าป้ายโฆษณาทั่วไปถึง 13 เท่า มีลักษณะปรากฏขึ้นอัตโนมัติอีกหน้าต่างหนึ่ง ที่ด้านหน้าของ Active Windows เมื่อได้รับการกระทำ(Action) นอกจากนี้ยังมีโฆษณาอีกประเภทเรียกว่า Pop-Under เป็นโฆษณาที่ปรากฏขึ้นภายใต้ Active Windows เมื่อเราทำการปิด Windows ที่ใช้งาน Pop-Under ก็จะปรากฏออกมา ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกรำคาญ จึงได้มีการพัฒนาโปรแกรมป้องกัน Pop-Up และได้มีการติดตั้ง Pop-Up Stopper ในโปรแกรม Internet Explorer โดยผู้เข้าเยี่ยมชมจะต้องอนุญาตเสียก่อนจึงจะเห็นโฆษณา ความนิยมใช้จึงลดน้อยลง

  11. ขนาดของโฆษณา Banner *New*300x100 IMU (3:1 Rectangle) *New*720x300 IMU (Pop-Under)

  12. ตัวอย่าง Popup Ad

  13. โฆษณาแบบทรงสูง (Skyscrapers) ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะแคบแต่สูง มักจะวางไว้อยู่ที่ริมด้านขวาของหน้าเว็บไซต์ จะกินเนื้อที่ในพื้นที่ของหน้าเว็บไซต์ค่อนข้างมาก มักจะนำสื่อ Multimedia มาผสมผสาน เพื่อสร้างความน่าสนใจเพิ่มขึ้น รูปแบบแพ็คเกจโฆษณามาตรฐาน ได้แก่ ป้ายโฆษณา 728x90 IMU (Leader Board), 300x250 IMU (Medium Rectangle) , 180x150 IMU (Rectangle), 160x600 IMU (Wide Skyscraper) นอกจากนี้ยังมีป้ายโฆษณาอันไม่พึงประสงค์ เช่น Spyware Banner เป็นรูปแบบโปรแกรมที่ทำการสนับสนุนโฆษณา โดยผู้เยี่ยมชมเว็บได้รับและติดตั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ

  14. ขนาดของโฆษณา Banner 160x600 IMU (Wide Skyscraper) *New*120x600 IMU (Skyscraper) 300x600 IMU (Half Page Ads)

  15. หลักในการพิจารณาทำป้ายโฆษณาหลักในการพิจารณาทำป้ายโฆษณา • ประเมินงบประมาณ สำหรับการโฆษณาว่ามีมากน้อยเพียงใด • ตัดสินใจว่าจะทำการบริหารดูแลโฆษณาด้วยตนเองหรือใช้บริการเครือข่ายโฆษณา หรือตัวแทนโฆษณา ซึ่งจะมีการเก็บค่าบริการ • พิจารณาถึงเว็บไซต์ว่าจะต้องมีคนสนใจที่จะซื้อสินค้าของธุรกิจมากขึ้น ซึ่งต้องเลือกเว็บไซต์ที่ผู้เข้าชมมีความสนใจในสิ่งที่ธุรกิจกำลังนำเสนอ • ผู้ลงโฆษณาต้องทำการพิจารณาถึงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ของเว็บที่จะทำการลงโฆษณา เช่น ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเว็บไซต์และผู้ดูแลเว็บ, ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์, ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติความนิยมของเว็บ จำนวนหน้าเว็บเพจ จำนวนสมาชิกที่เข้าชม หรือลงทะเบียน, ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและราคาค่าโฆษณา • พิจารณาประเภทของโฆษณา เช่น ขนาด ตำแหน่ง ความถี่ในการนำเสนอ

  16. วิธีการออกแบบป้ายโฆษณาวิธีการออกแบบป้ายโฆษณา • ข้อความ เนื้อหา คำพูด ต้องมีลักษณะจูงใจ ดึงดูดใจ นำเสนอข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า เช่น “คลิกด่วน”, “กดที่นี่”, “โอกาสสุดท้าย”, “ฟรี”, “คุณคือผู้โชคดี”, “ลุ้นโชค”, “ถูกที่สุด”, “ดีที่สุด” เป็นต้น • ภาพประกอบ น่าสนใจ เกิดอารมณ์ร่วม • Theme และสีที่ใช้ในการออกแบบต้องโดดเด่น • ขนาดไฟล์ของป้ายโฆษณาที่มีขนาดใหญ่ • การออกแบบหน้าแสดงผลต้องให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่จัดทำและสื่อให้เห็นตรงกับข้อความที่โฆษณา ควรจัดให้อยู่ภายในหน้าเดียวไม่ต้องคลิกไปหลายชั้น • ทำการทดสอบจริงก่อนนำไปขึ้นจริง ว่าแสดงผลได้ตามต้องการมีผลกระทบต่อการใช้โปรแกรม Web Browser ที่แตกต่างกันหรือไม่ • เนื่องจากป้ายโฆษณาออนไลน์ถูกแสดงตลอดเวลา จึงควรทำการปรับเปลี่ยนป้ายบ่อย ๆ หรือมีการสำรองเอาไว้ล่วงหน้า

  17. เทคนิคในการลงโฆษณาออนไลน์เทคนิคในการลงโฆษณาออนไลน์ • เลือกโฆษณาในเว็บไซต์หรือหมวดหมู่ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย • กำหนดตำแหน่ง หรือพื้นที่ในการแสดงโฆษณา เพื่อให้มีโอกาสผ่านสายตาผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์มากที่สุด อาจเลือกให้อยู่หน้าแรก ตำแหน่งบนของเว็บให้ง่ายต่อการมองเห็น • หลีกเลี่ยงการลงป้ายโฆษณาบางประเภท เช่น Pop Up , Pop Under, Floating Ad แม้ว่าสังเกตง่าย แต่อาจเป็นการรบกวนผู้เยี่ยมชมและนำไปสู่ประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อสินค้าเราได้

  18. การพิจาณาค่าใช้จ่ายจากการลงโฆษณาการพิจาณาค่าใช้จ่ายจากการลงโฆษณา • CPI หรือ CPM (cost per impression) การคิดราคาค่าโฆษณาต่อการแสดงผล • CPC (Cost Per Click) คิดราคาต่อจำนวนครั้งของการคลิกป้ายโฆษณา • Fixed Fee เป็นการคิดราคาโฆษณาโดยเหมาเป็นรายเดือน • Cost Per Lead การคิดราคาโดยวัดจากจำนวนผู้แสดงความต้องการที่จะซื้อสินค้า

  19. ปัจจัยในการพิจารณาอัตราค่าโฆษณาปัจจัยในการพิจารณาอัตราค่าโฆษณา • ความนิยมของเว็บไซต์ที่เราสนใจที่จะทำการโฆษณา • ขนาดและประเภทองโฆษณา • ตำแหน่งการวางป้ายโฆษณา • จำนวนโฆษณาที่ถูกแบ่งในตำแหน่งเดียวกัน • จำนวนหน้าเว็บไซต์ที่แสดงทั้งหมดของการโฆษณา(ROS:Run of Sited) • ความถี่ ความยาว หรือความต่อเนื่องของการแสดงผลของป้ายโฆษณาเป็นอย่างไร

  20. การวัดผลสำเร็จจากการทำป้ายโฆษณาการวัดผลสำเร็จจากการทำป้ายโฆษณา • Reachวัดความสำเร็จจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ • Impressionเป็นการนับจำนวนครั้งของโฆษณาที่ได้ถูกแสดง โดยจะต้องแสดงผลผ่านทาง Web Browser จากแหล่งข้อมูลบน Web Server โดยตรง • Click Ratioการวัดอัตราส่วนความสำเร็จที่ผู้เข้าชมได้ทำการคลิกป้ายโฆษณา

  21. การโฆษณาผ่าน Rich Media • เป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับป้ายโฆษณามากขึ้น ด้วยการนำสื่อ Multimedia อื่น ๆ มาผสมเข้ากับป้ายโฆษณาแบบปกติ ด้วยการนำเทคโนโลยี Video Presentation และ Flash Animation เข้ามาใช้ประกอบ เราเรียกโฆษณาประเภทนี้ว่า Rich Media Banner

  22. การโฆษณาด้วยการแลกเปลี่ยน Link • เป็นการสร้างพันธมิตรระหว่างกัน ด้วยการแลกเปลี่ยนการเชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์ที่มีลักษณะต่างตอบแทนกัน โดยมีวัตถุประสงค์คือเพิ่มอัตราการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ส่งเสริมให้เว็บไซต์ที่เกิดใหม่สามารถค้นพบเจอได้จากการเชื่อมโยงผ่านเว็บต่าง ๆ และจะยิ่งได้ผลมากถ้าสามารถแลกเปลี่ยนกับเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง และมีผู้เข้าเยี่ยมชมจำนวนมาก • ดังนั้นข้อความ Link หรือป้ายโฆษณาที่ทำการแลกเปลี่ยนต้องน่าสนใจ ดึงดูดใจ หรือตรงความต้องการ

  23. รูปแบบการแลกเปลี่ยน Link แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1) การแลก Link แบบต่างตอบแทน (Reciprocal Link) การแลก Link แบบนี้เป็นเงื่อนไขที่เว็บไซต์หนึ่ง โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ให้บริการ Submit Directory จะทำการสร้าง Link เชื่อมโยงให้แก่เว็บไซต์เรา ก็ต่อเมื่อทำการวาง Link ของเว็บไซต์เขาตอบแทนกลับมาก่อน 2) การแลก Link กันในกลุ่ม (Link Exchange) จะอนุญาตให้ทำการเลือกเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตร เพื่อที่จะทำการขอแลกเปลี่ยนการเชื่อมโยงระหว่างกันในกลุ่มพันธมิตร

  24. การตลาดด้วย Search Engine Search Engine แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ • การค้นหาจาก Keyword เป็นเว็บที่ช่วยค้นหาข้อมูลจากข้อความ หรือเนื้อหาในเว็บที่ได้ผ่านการสำรวจ และทำการบันทึกจัดเก็บข้อความที่อยู่ในโครงสร้างคำสั่งภาษา HTML อย่างน้อย 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บไซต์นั้น ๆ ไว้ในฐานข้อมูล ทำงานโดย Intelligence Agents ทำการสร้าง Index ขึ้นมา เช่น Google, Yahoo, MSN, ASK(Ask’s Web Crawler)

  25. การตลาดด้วย Search Engine • การค้นหาจาก สารบัญเว็บไซต์ (Web Directory or Classified Directory) อาจจะเรียกว่า Subject Categories หรือ Subject Browsing เป็นเว็บที่ช่วยค้นหาข้อมูลโดยมีวิธีใช้เหมือนกับสมุดหน้าเหลือง ได้จัดดัชนีแบ่งตามเนื้อหาก่อนบันทึกลงในฐานข้อมูล • การค้นหาแบบอ้างอิงชุดคำสั่ง Meta Tag (Meta Tag Engine) เป็นเว็บที่ช่วยค้นหาข้อมูลโดยอิงจากชุดคำสั่ง Meta Tag ที่เป็นชุดคำสั่งในการประกาศข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ของหน้าเว็บไซต์เช่น ชื่อผู้พัฒนา,เจ้าของเว็บ, รายละเอียดของเว็บอย่างย่อ, คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหน้าเว็บ และคำสั่งในการควบคุม Search Engine ต่าง ๆ ซึ่งจะปรากฏในส่วน Head ของโครงสร้างภาษา HTML

  26. การตลาดด้วย Search Engine • Subject Specific Search Engine หรือบางครั้งเรียก Subject Gateway เป็นเครื่องมือค้นหาในรูปแบบเดียวกับ Web Directory แต่จะมีความเฉพาะด้านมากกว่า คือ มีการสืบข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในเนื้อหาเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (Subject Area) การทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา เป็นรูปแบบการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ในการโปรโมตเว็บไซต์ ให้สามารถค้นหาหน้ารายละเอียดของการโฆษณา หรือหน้าเว็บไซต์หนึ่งได้โดยง่ายด้วยวิธีใด ๆ โดยทำการพิมพ์คำสำคัญ หรือเลือกดัชนีที่สนใจ โดยผู้ทำการตลาดสามารถเลือกคำเฉพาะหรือหมวดหมูเฉพาะให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งในการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการตลาด

  27. การตลาดด้วย Search Engine ประเภทของการทำ Search Engine Marketing ทำได้ 2 วิธีคือ 1. การทำการตลาดด้วยวิธีการทำอันดับ หรือ SEO (Search Engine Optimization)เป็นการปรับปรุงเว็บให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นจาก Search Engine แบ่งเป็น • On Page Optimization การปรับแต่งเว็บไซต์จากปัจจัยที่เป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ของเราเอง • Off Page Optimization การปรับแต่งเว็บไซต์จากปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบภายนอกเว็บไซต์ของเรา

  28. การตลาดด้วย Search Engine 2. การทำการตลาดด้วยการลงโฆษณากับ Search Engine(Paid Search Advertising) เป็นการจ่ายค่าโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นจาก Search Engine แบ่งเป็น • Paid Placement การจ่ายค่าโฆษณาตามอัตราคงที่ • Paid Inclusion การจ่ายค่าโฆษณาตามอัตราส่วน เช่น การจ่ายตามจำนวนที่ลูกค้าทำการคลิก

  29. การตลาดด้วย Search Engine ประโยชน์ของการทำ Search EngineMarketing ก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน ได้แก่ • การทำเว็บไซต์ติดอันดับผลการค้นหาคำสำคัญ โดยเฉพาะ 1 ใน 20 อันดับแรก หรือติดตั้งโฆษณาใด ๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหามีผลต่อการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ในระดับสูง • ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ตลอดเวลา อย่างมีประสิทธิภาพ จะได้มาซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง เนื่องจากผลการค้นหาจากผู้ใช้งานและการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก • สามารถทำการเปลี่ยนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้าได้ โดยนำเสนอข้อความสื่อสารทางการตลาดในการจูงใจให้ซื้อสินค้าได้ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าหรือบริการและเพิ่มโอกาสทางการค้า นำมาสู่การเพิ่มผลกำไรทางธุรกิจ

  30. การตลาดด้วย Search Engine • สามารถทำการตลาดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับเว็บไซต์ของธุรกิจที่ยังไม่เป็นที่รู้จักให้สามารถเข้าเยี่ยมชมได้โดยสะดวก ตรงตามความต้องการของผู้ค้นหา และสามารถนำเสนอสินค้าใหม่ได้อย่างรวดเร็วเหนือคู่แข่งขัน • สามารถทำการตลาด โดยใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และสามารถควบคุมงบประมาณตามความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย

  31. การตลาดด้วย จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ e-mail Marketing เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบหนึ่ง ที่นำ e-mail มาใช้ประโยชน์เพื่อการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นรูปแบบการตลาดทางตรงแบบหนึ่งซึ่งเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร ที่สามารถวัดผลตอบสนองได้โดยใช้ e-mail เป็นเครื่องมือสื่อสารถึงผู้รับปลายทางเพื่อประโยชน์ทางการค้าและการตลาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า (สร้างความเข้มแข็ง ความจงรักภักดีในตราสินค้า เกิดการซื้อซ้ำ ตามมา) รวมถึงส่งเสริมการรับรู้ เป็นการส่งข้อมูลไปยังลูกค้า เพื่อเป็นการค้นหาลูกค้าใหม่ หรือจูงใจลูกค้าเก่าให้ตัดสินใจซื้อสินค้าทันที ปัจจุบันนักการตลาดหันมาใช้ e-mail Marketing กันมากเนื่องจากมีประสิทธิภาพต้นทุนต่ำเมื่อเทียบต้นทุนโดยเฉลี่ย 200 บาทต่อ 1,000 e-mail กับ 30,000 บาทในการส่ง Direct Mail ทางไปรษณีย์ใน 1,000 ฉบับ

  32. ประโยชน์การนำ e-mail Marketing มาใช้ • ประหยัด • เป็นสื่อกลางที่ช่วยส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ • เป็นสื่อกลางที่มีประสิทธิผล สามารถวัดผลหรือเช็คสถิติต่าง ๆ ได้ • สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า เช่นส่งสารหรือข้อมูลอันเป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเปิดตัวสินค้าใหม่ การจัดกิจกรรรมหรือโปรโมชั่น หรือสร้างแบบสอบถามผ่านออนไลน์เพื่อวัดระดับความพึงพอใจภายหลังได้ซื้อสินค้า บริการหลังการขายเป็นอย่างไร เพื่อปรับปรุงการบริการให้ดีขึ้น

  33. กระบวนการในการจัดทำ e-mail Marketing • กำหนดขอบเขตวัตถุประสงค์ในการจัดทำ e-mail Marketing • ตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ที่ก่อให้เกิดประสิทธิผล • การเลือกที่จะทำ e-mail เอง หรือใช้บริการมืออาชีพ (In-House or Outsource) • การจัดหาและเก็บข้อมูล e-mail ของลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย

  34. ลักษณะรูปแบบในการแสดงผลของ e-mail • e-mail ที่มีแต่ข้อความ(Plain-Text e-mail) มีลักษณะเนื้อหาประกอบด้วยข้อความเพียงอย่างเดียว มีการจัดรูปแบบตัวอักษร ช่องว่างและการขึ้นบรรทัดใหม่ ข้อดีคือขนาดในการรับส่งมีขนาดเล็ก ส่งได้รวดเร็ว อ่านได้ทั้ง Email Software และ Email Webbase ข้อด้อยกว่าคือจะสูญเสียการจัดรูปแบบอักษร ชื่ออักษร ขนาดอักษร แทรกรูปให้ปะปนกับข้อความไม่ได้ • e-mail ที่มีแต่เนื้อหา (HTML e-mail หรือ Rich-Text e-mail) มีลักษณะเนื้อหาประกอบด้วยการจัดรูปแบบครบทุกรูปแบบ สามารถกำหนดรูปแบบอักษร แทรกภาพ ร่วมกับข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว มีข้อเสียคือขนาดในการส่งใหญ่ขึ้น

  35. หลักการออกแบบเนื้อหาของ e-mail • ความน่าเชื่อถือของ e-mailคือ e-mail address หรือ ชื่อที่แสดงการรับ e- mail ควรเป็นที่เชื่อถือได้ เช่น e-mail ของบริษัทจะดีกว่าเมล์ส่วนตัว • การออกแบบหัวเรื่องของ e-mailส่วนของ Subject ต้องมีความกระชับ ชัดเจน หรือจูงใจให้เปิดอ่าน ไม่ควรส่ง e-mail ที่ไม่มีหัวเรื่องเด็ดขาด • การจัดส่งไปยังผู้รับ มีอยู่หลายวิธี (To,CC หรือ BCC) ในการส่งไปยังผู้รับโดยตรงหรือช่อง To โดยไม่มีสำเนาถึงผู้อื่น หรือเรียกว่าส่ง CC(Carbon Copy) เพราะการใช้กระดาษคาร์บอนซ้อนในการพิมพ์จดหมายเหมือนสมัยก่อนจะแสดงถึงการให้ความสำคัญแก่ผู้รับ วิธีการทำสำเนาทางอ้อมโดย BCC(Blind Carbon Copy) จะแสดงให้เห็นถึงผู้ส่งส่งให้โดยตรง จะไม่เห็นชื่อผู้รับคนอื่น ๆ ในรายชื่อผู้รับคนอื่น ๆ ด้วย

  36. การวัดประเมินผลจากการทำ e-mail Marketing • อัตราการถูกตีกลับ (Bounce Rate)เป็นอัตราส่วนของที่อยู่ที่ไม่สามารถส่งได้ด้วยหลายเหตุผล เช่น ที่อยู่ไม่ถูกต้อง หรือยกเลิกการใช้งาน • อัตราการเปิดอ่าน e-mail (Open Rate)เป็นตัววัดว่า e-mail ที่ส่งไปนั้นมีผู้คลิกเข้าไปอ่านกี่เปอร์เซ็นต์ ค่า Open Rate ที่ได้แสดงถึงความน่าเชื่อถือของผู้ส่ง e-mail ในความคิดของผู้รับว่าเหตุใดจึงเปิดอ่านหรือไม่อ่าน นอกจากนี้ยังแสดงถึงประสิทธิภาพของการตั้ง Subject ว่าดึงดูดให้ผู้รับเปิดอ่านมากน้อยเพียงใด Open Rate = จำนวน e-mail ที่ได้รับและเปิดอ่าน • อัตราการคลิกผ่าน e-mail (Click Through Rate or CTR) เพื่อใช้วัดประสิทธิภาพของ Massage ที่ส่งไปว่าได้รับผลลัพธ์เช่นไร 100 จำนวน e-mail ที่ส่งออกไป

  37. การโฆษณาผ่านทาง Landing Page การโฆษณาผ่าน Landing Page หรือ Lead Capture Page หรือเรียกว่า “หน้าปิดการขายในหน้าเดียว” ปรากฏขึ้นหลังจากที่กลุ่มเป้าหมายที่คาดหวังว่าจะเป็นลูกค้าโดยทำการคลิกบนสื่อโฆษณาของเรา แล้วนำไปแสดงผลที่หน้า Landing Page แสดงเนื้อหาโดยขยายต่อจากเนื้อความเดิมของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยผ่านป้ายโฆษณา ,จากข้อความใน e-mail ,จากผลที่ได้จากการค้นหาด้วยเครื่องมือ Search Engine โดยทำการคลิก Link เชื่อมโยงไปหา ซึ่งมีความสำคัญต่อการปิดการขาย

  38. ส่วนประสมของ Landing Page แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ • Verbal Componentsคือ ส่วนของการโฆษณาที่เป็นคำพูด ข้อความโฆษณาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ประกอบด้วย • ส่วนหัวเรื่อง (Head Line) • ส่วนหัวเรื่องรอง (Sub Head Line) อธิบายเพิ่มเติมความหมายของหัวเรื่อง • ข้อความโฆษณา (Body Copy) เนื้อหารายละเอียดที่จะอธิบายความหัวเรื่อง • คำบรรยายใต้ภาพ (Caption) อธิบายความหมายหรือสื่อของภาพ • ชื่อสินค้า (Brand Name) ชื่อผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ใช้เป็นตัวแทนธุรกิจ • คำขวัญ (Slogan) คำที่สะท้อนถึงคุณประโยชน์ของตราสินค้าของธุรกิจ • ส่วนบรรทัดท้าย (Base Line) ผู้ให้การสนับสนุน ผู้ผลิต

  39. ส่วนประสมของ Landing Page 2. Non Verbal Componentsคือ ส่วนของโฆษณาที่เป็นสัญลักษณ์ ซึ่ง ประกอบด้วย • ภาพประกอบ (Illustration) • การจัดองค์ประกอบ (Layout) เช่น ตัวอักษร รูปแบบอักษร ขนาดอักษร สี • เครื่องหมายการค้า (Brand Logo) • เสียงประกอบ (Sound Effect), เสียงดนตรี (Music) หรือเพลงโฆษณา(Jingle) • แบบฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูล หรือปุ่มสำหรับการชำระเงินโดยทันที

  40. ตัวอย่างกิจกรรมใน Landing Page

  41. หลักในการจัดทำ Landing Page • กำหนดวัตถุประสงค์ของการจัดทำ Landing Page ว่า อะไรคือสิ่งที่ต้องนำเสนอ (what), ใครคือเป้าหมายที่มาดู (who), ทำไมกลุ่มเป้าหมายต้องสนใจในสิ่งที่นำเสนอ (why), จะให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาทำอะไร(Call to Action) • ออกแบบ Landing Page ให้ดูน่าสนใจ • เนื้อหาในการนำเสนอในหน้า Landing Page • ตัดเอาส่วนประกอบที่ไม่สำคัญออกไป • สรุปให้จบภายในหน้าเดียว • ให้กรอกแบบฟอร์มเฉพาะส่วนสำคัญ

  42. หลักในการจัดทำ Landing Page • สร้างช่องทางในการซื้อได้ในทันที • ทำการทดสอบ ติดตามและวัดผล

  43. ไวรัสทางการตลาด (Viral or Buzz Marketing) เป็นเทคนิคการตลาดที่อาศัยการเชื่อมโยงระหว่างกันในสังคมที่มีอยู่ก่อน แล้วเป็นตัวผลักดันให้เกิดการผลิตการรับรู้ในตราสินค้า โดยเป็นการสร้างกลไกตลาดโดยใช้แรงผลักดันด้าน “ความคิด” แทนที่จะเอาเงินจำนวนมากไปจ่ายค่าโฆษณาบนสื่อต่าง ๆ แต่เป็นการทำการตลาดโดยให้เหล่ามวลชนทำงานแทน ศ.Jeffrey F.Rayport ได้สร้างไวรัสทางการตลาดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2539 คือแบ่งปันสิ่งที่มีให้ผู้อื่นต่อไปเรื่อย ๆ หรือ แบบปากต่อปาก (Word of Mouth) ซึ่งบอกในแง่บวกหรือแง่ลบก็ได้ โดยใช้กระบวนการสร้างข่าว (Creating a Buzz) และใช้อำนาจของสื่อ จากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคตัดสินใจซื้อจากการบอกต่อ ๆ กันไปถึง67% และซื้อจากโฆษณาที่เห็นเพียง 14%

  44. ไวรัสทางการตลาด (Viral or Buzz Marketing) การนำเอา Viral Marketing มาใช้บนโลกออนไลน์นั้น ช่วยให้เราสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ ผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต จากกระบวนการ Word of Web เช่น Webboard, Chat Room, Blog และ e-Mail รูปแบบของ Viral Marketing มีด้วยกัน 3 ลักษณะคือ • Traditional Viral Marketing • Commerce Viral Marketing • ProfessionalViral Marketing

More Related