590 likes | 1.06k Views
บทที่ 2. ระบบปฏิบัติการ. (Operating System) OS. ระบบปฏิบัติการ ( Operating System ) 2.1 หน้าที่ของระบบปฏิบัติการ 2.2 องค์ประกอบของระบบปฏิบัติการ 2.3 วิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการ 2.4 โครงสร้างระบบปฏิบัติการ. ผู้ใช้ ( Uesr ). ผู้ใช้ ( Uesr ). ผู้ใช้ ( Uesr ). ผู้ใช้ ( Uesr ).
E N D
บทที่ 2 ระบบปฏิบัติการ (Operating System) OS
ระบบปฏิบัติการ (Operating System) 2.1หน้าที่ของระบบปฏิบัติการ 2.2 องค์ประกอบของระบบปฏิบัติการ 2.3 วิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการ 2.4 โครงสร้างระบบปฏิบัติการ
ผู้ใช้ (Uesr) ผู้ใช้ (Uesr) ผู้ใช้ (Uesr) ผู้ใช้ (Uesr) Compiler Assembler Text Editor……… ….Data Base System ระบบปฏิบัติการ (Operating System) Computer Hardware ภาพรวมของระบบคอมพิวเตอร์ ความหมายของระบบปฏิบัติการ • ระบบปฏิบัติการ (Operating System) OSเป็นระบบที่มีหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ ควบคุมการประมวลผล (Execute) ของโปรแกรม ควบคุมอุปกรณ์ รวมทั้งการส่งข้อมูลเข้า/ออก (Input/Output : I/O) ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์ และทำหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์
HARDWARE End Users Applications Software Operating System Hardware ระบบปฏิบัติการเป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างฮาร์ดแวร์กับแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์เพื่อสร้างความสะดวกต่อผู้ใช้งาน
วัตถุประสงค์ของระบบปฏิบัติการคือวัตถุประสงค์ของระบบปฏิบัติการคือ • เตรียมสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ผู้ใช้สามารถ execute (ดำเนินการ) โปรแกรมได้ • ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ใช้ง่ายขึ้น • ใช้ฮาร์ดแวร์ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด
นิยามของระบบปฏิบัติการนิยามของระบบปฏิบัติการ • Resource allocator – บริหารการจัดสรรทรัพยากร เช่น การจัดการ Harddisk , memory , printer ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ • Control program – ควบคุมการ execute โปรแกรมของผู้ใช้ และการทำงานของอุปกรณ์รับส่งข้อมูล • Kernel (แก่นแท้) – โปรแกรมที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาบนคอมพิวเตอร์
โปรแกรมต่าง ๆ ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการคืออะไรระบบปฏิบัติการคืออะไร • ระบบคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 4 ส่วน • ฮาร์ดแวร์ สนับสนุนปัจจัยในการคำนวณ เช่น CPU , หน่วยความจำ , อุปกรณ์รับส่งข้อมูล • ระบบปฏิบัติการ ควบคุมและบริหารการใช้ปัจจัยระหว่างโปรแกรม ต่าง ๆ สำหรับผู้ใช้ เช่น Dos , Unix , Windows 2000 , Windows NT ฯลฯ • โปรแกรมประยุกต์ กำหนดทิศทางในการใช้ปัจจัยสำหรับการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของผู้ใช้ เช่น compilers , database systems , video games , business programs • ผู้ใช้ เช่น บุคลากร (people) , เครื่องจักร (machines) , คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ (other computers)
วิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการวิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการ • 2.3.1 ยุคแรก (ค.ศ.1945 - 1954) • ใช้หลอดสูญญากาศ ยังไม่มี OS และใช้ CARD I/O รับ-ส่งข้อมูล • 2.3.2 ยุคที่ 2 (ค.ศ.1955 - 1964) • ใช้ทรานซิสเตอร์ เป็น Mainframe เริ่มใช้ Fortran, Cobol โดยใช้ Batch processing ควบคุม • 2.3.3 ยุคที่ 3 (ค.ศ.1965 - 1979) • ใช้ IC(Integrated circuit) เริ่มใช้ Basic, Pascal เริ่มใช้ Multiprogramming และ time sharing • 2.3.4 ยุคที่ 4 (ค.ศ.1980 - ปัจจุบัน) • ใช้ Multi-mode และ Virtual machine เริ่มสื่อสารระหว่างเครือข่าย (Internet)
พัฒนาการของระบบปฏิบัติการพัฒนาการของระบบปฏิบัติการ • ระบบที่ไม่มีระบบปฏิบัติการ (Non Operating System) • ระบบแบ็ตช์ (Batch System) • การทำงานแบบบัฟเฟอร์ (Buffering) • ระบบสพูลลิ่ง(Spooling)
ระบบมัลติโปรแกรมมิ่ง (Multiprogramming System) • ระบบแบ่งเวลา (Time - Sharing System) • ระบบเรียลไทม์ (Real-Time System) • ระบบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer System : PC) • ระบบเวอร์ชวลแมชีน (Virtual Machine System) • ระบบมัลติโปรเซสเซอร์ (Multiprocessor System) • ระบบแบบกระจาย (Distributed System)
ระบบที่ไม่มีระบบปฏิบัติการระบบที่ไม่มีระบบปฏิบัติการ (Non operating system) ยุคแรก ๆ คอมพิวเตอร์มีแต่เครื่องเปล่า ๆ ผู้ใช้ต้องเขียนโปรแกรมสั่งงาน ตรวจสอบการทำงาน ป้อนข้อมูล และควบคุมเอง ทำให้ระยะแรกใช้กันอยู่ในวงจำกัด
ไม่มีระบบปฏิบัติการผู้ใช้จะต้องเขียนโปรแกรมทั้งหมดตั้งแต่ควบคุมเครื่อง เตรียมข้อมูล ทำงานตามโปรแกรม ทำให้ใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ได้น้อยมากไม่ค่อยคุ้มค่า และราคาค่อนข้างแพงทำให้การใช้คอมพิวเตอร์อยู่ในวงจำกัด และต้องจัดระบบภายหลังการใช้งานด้วยดังนั้นถ้าพิจารณาความสามารถในการดูแลและควบคุมระบบจะดีกว่าผู้ใช้ทั่วไป
ระบบแบ็ตช์ (Batch System) คอมพิวเตอร์ยุคแรก ๆ มีขนาดใหญ่ทำการรับจาก console อุปกรณ์นำเข้า (input) เป็นพวก card reader และ tape drive อุปกรณ์แสดงผล (output) เป็นพวก line printer, tape drive และ บัตรเจาะรู ผู้ใช้จะไม่ได้ติดต่อกับระบบคอมพิวเตอร์โดยตรง วิธีการติดต่อคือ ผู้ใช้ไม่ได้ติดต่อกับระบบคอมพิวเตอร์โดยตรง วิธีติดต่อคือ ผู้ใช้เตรียม job พวกโปรแกรม, ข้อมูล, และสารสนเทศเพื่อการควบคุมเกี่ยวกับธรรมชาติของงาน (control card) และนำไปให้ operator งานดังกล่าวมักอยู่ในรูปบัตรเจาะรู (punched card) จึงต้องมี card reader เพื่อประมวลผล ระบบปฏิบัติการในยุคแรก งานหลักจะถูก execute ทีละงานโดยระบบปฏิบัติการจะฝังในหน่วยความจำตลอดเวลา
การ์ดเจาะรู CPU • ระบบแบ็ตช์ (Batch System) เป็นระบบปฏิบัติการที่เตรียมระบบของเครื่องเพื่อรองรับงานที่ผู้ใช้รวมกันไว้เป็นกลุ่ม (Batch) และส่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลครั้งเดียวจนเสร็จ และเตรียมเครื่องไว้สำหรับรองรับงานชิ้นใหม่ ระบบนี้เรียกว่าการประมวลผลแบบกลุ่มงาน ผลลัพธ์ที่ประมวลผลได้จะพิมพ์ออกมาทางเครื่องพิมพ์ เครื่องพิมพ์
2. ระบบงานแบบแบตช์ (Batch System) • พัฒนา device นำข้อมูลเข้า (การ์ดเจาะรู, เทป) และ device นำข้อมูลออก (เครื่องพิมพ์,เทป,การ์ดเจาะรู) • ผู้ใช้เตรียมข้อมูล + โปรแกรม (เขียนด้วยภาษา JCL) ที่เจาะลงการ์ด ส่งต่อให้ Operator นำเข้าระบบ • Operator ส่งข้อมูลเข้าระบบเป็นกลุ่มงาน (Batch)
CPU การ์ดเจาะรู เครื่องพิมพ์ จุดด้อยของระบบ • ความเร็วของอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูล (I/O Device =เครื่องกล) และ CPU (อิเล็กทรอนิกส์) แตกต่างกันมาก CPU ทำงานเร็วกว่า อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูล ทำให้ CPUต้องรออุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลอ่านข้อมูลจนเสร็จ ทำให้ใช้ประโยชน์ CPU ได้ต่ำมาก
การทำงานแบบบัฟเฟอร์ (Buffering) เป็นการขยายขีดความสามารถการทำงานของระบบ กล่าวคือระบบนี้จะเป็นหน่วยรับ - แสดงผลไปทำงานไปพร้อมๆ กับการประมวลผลของซีพียู โดยในขณะที่มีการ ประมวลผลคำสั่งที่โหลดเข้าของซีพียูนั้น จะมีการโหลดข้อมูลต่อไปเข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจำก่อนเมื่อถึงเวลาประมวลผลซีพียูจะทำงานทันที
Cpu มีความเร็วในการประมวลผลเร็วกว่าการนำข้อมูลเข้า ออกมาก ทำให้ Cpu ต้องหยุดคอย จึงได้คิดระบบทำสามารถทำการอ่านข้อมูลและประมวลผลไปได้พร้อมกัน โดยที่ Cpu กำลังประมวลผลอยู่นั้น ก็ให้อ่านข้อมูลมาเก็บไว้ในหน่วยความจำที่เรียกว่า บัฟเฟอร์ เมื่อ Cpu ทำงานเสร็จจึงนำแล้ว จึงนำข้อมูลที่อยู่ในบัฟเฟอร์ไปประมวลผลต่อได้ทันที แต่การรับข้อมูลก็ยังช้ากว่า Cpu
การทำงานแบบบัฟเฟอร์ บัตรเจาะรู เครื่องอ่านบัตร CPU ประมวลผล Print Buffer หน่วยความจำ
การทำงานแบบบัฟเฟอร์ ปัจจุบัน CPU Cahe Cahe (Buffer) Ram ใช้กระแสไฟฟ้า เครื่องอ่านบัตร Harddisk ใช้หมุน บัตรเจาะรู
ระบบสพูลลิ่ง (Spooling) เมื่อมีการคิดค้นเทคโนโลยีเทปแม่เหล็กมาใช้งานร่วมกับเครื่องอ่านบัตรทำให้มีการประสิทธิภาพของซีพียูมากขึ้นมีการใช้แผ่นดิสก์แทนเทปแม่เหล็ก เพราะแผ่นดิสก์สามารถอ่านข้อมูล ณ ตำแหน่งได้ทันที่ ในขณะที่เทปแม่เหล็กต้องค้นหาตั้งแต่ต้นจนพบจึงจะอ่านข้อมูลได้ ในขณะที่อ่านข้อมูลก็ไม่สามารถประมวลผลไปพร้อม ๆ กันได้
ระบบสพูลลิ่ง จะทำการอ่านข้อมูลจากเครื่องอ่านบัตรหรือเทปแม่เหล็กแล้วนำไปเก็บไว้ในแผ่นดิสก์ จากนั้น CPU จะดึงข้อมูลจากดิสก์มาประมวลผลซึ่งในขณะเดียวกัน CPU จะอ่านข้อมูลเก็บไว้ในแผ่นดิสก์และทำการส่งผลไปยังอุปกรณ์แสดงผลด้วย แสดงให้เห็นว่า CPU จะทำงานมากกว่า 1 อย่าง พร้อม ๆ กัน ทำให้ใช้ CPU ได้เต็มที่ ดิสก์ การ์ดเจาะรู เครื่องพิมพ์ CPU
ระบบมัลติโปรแกรมมิ่ง(Multiprogramming System) เป็นระบบที่เป็นจุดกำหนดของระบบปฏิบัติการ เครื่องจะทำการอ่านข้อมูลเข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจำตามลำดับงานที่เข้ามาก่อนหลัง โดยงานใดที่เข้ามาถึงก่อนจะทำการประมวลผลผลก่อน แต่ถ้างานใดมีการหยุดรอคอยเพื่อรับ-ส่งข้อมูล CPU จะนำงานที่อยู่ถัดไปมาทำการประมวลผลทันที โดยไม่หยุดรอให้งานแรกทำจนเสร็จก่อน ทำให้ CPU ทำงานตลอดเวลาที่มีงาน • แต่ระบบนี้ต้องมีการเขียนโปรแกรมควบคุมที่ซับซ้อนเพื่อจัดการกับงานหลาย ๆ งานพร้อมกัน ต้องมีการจัดเวลา ทรัพยากร เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่เรียกว่า Deadlock ทำให้งานหยุดชะงัก (วงจรอับ)
อาจถือได้ว่าระบบมัลติโปรแกรมมิ่งเป็นจุดกำเนิดของศาสตร์ทางด้านระบบปฏิบัติการ เนื่องจากในระบบมัลติโปรแกรมมิ่งไม่ว่าจะซับซ้อนเพียงใด ถ้ามีการทำงานพร้อมกันหลายงานระบบปฏิบัติการจะต้องมีการควบคุมและจัดการองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น การจัดเวลาของซีพียู, การจัดการหน่วยความจำ, การจัดการอุปกรณ์ รวมถึงการจัดการทรัพยากรในกรณีที่เกิดการขัดแย้งในลักษณะที่เรียกว่า “deadlock”, การป้องกันระบบ และการรักษาความปลอดภัย อีกด้วย
ระบบแบ่งเวลา(Time - Sharing System) ผู้ใช้หลาย ๆ คนสามารถใช้ CPU ร่วมกันได้ โดยผู้ใช้แต่ละคนจะติดต่อเข้ามาโดยผ่าน เทอร์มินอล (Terminal) มีงานหลาย ๆ งานพร้อมกัน ระบบนี้จะแบ่งเวลาในการประมวลผลให้แต่ละเวลาในการประมวลผลให้แต่ละงานโดยสลับการทำงานไปมาทำให้ประมวลงานได้หลาย ๆ งานพร้อมกัน
CPU เครื่อง Server ตั้งเวลาการทำงาน 5 นาที Q1 Q3 Q2 เวลาในการทำงานที่แบ่งให้ เทอร์มินอล
ระบบตอบสนองฉับพลัน(Real – Time System) งานประเภทระบบตอบสนองฉับพลัน(real-time system) นี้ต้องคำนึงถึงอัตราตอบสนองเหนือสิ่งอื่นใด ลักษณะการใช้หน่วยประมวลผลกลางจึงมักมีประสิทธิภาพต่ำมาก เพราะหน่วยประมวลผลกลางต้องว่างตลอดหรือเกือบตลอดเวลา ตัวอย่างของงานประเภทนี้ได้แก่ การบันทึกข้อมูลสำหรับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การตรวจสอบดูแลคนไข้ การควบคุมระบบโรงงาน เช่น ระบบ ATM ระบบสัมผัส ส่งข้อมูลเข้าไปแล้วจะแสดงผลออกมาทันที
ระบบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer System) ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ราคาถูกลง มีการพัฒนาอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งแป้นพิมพ์ เมาส์ จอภาพ หน่วยความจำ หน่วยประมวลผล เป็นต้น และการใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้มุ่งเน้นด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่นำไปใช้เพื่อความบันเทิงในบ้านมากขึ้น และกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร นอกจากคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ(Desktop) ยังมีคอมพิวเตอร์แบบสมุดโน๊ต(Notebook) และคอมพิวเตอร์มือถือ (PDA) ปัจจุบันมีโทรศัพท์มือถือที่ทำงานแบบคอมพิวเตอร์ และใช้ดูหนังฟังเพลง หรือประมวลผลต่าง ๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้นใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะยิ่งขึ้น
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer) พีซี (PC) คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer) หรือ พีซี (PC) เดิมทีเป็นคำไว้ใช้เรียก เครื่อคอมพิวเตอร์ราคาย่อมเยาว์ สำหรับใช้ส่วนบุคคล ปัจจุบันใช้รวมความไปถึงอีกสามความหมายด้วยกัน: คำว่า "คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล" เริ่มมีใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) สำหรับกล่าวถึงเครื่อง Xerox PARC ของบริษัท Xerox Alto อย่างไรก็ตามจากความประสบความสำเร็จของไอบีเอ็มพีซี ทำให้การใช้คำว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหมายถึง เครื่องไอบีเอ็มพีซี
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computerพีซี (PC) เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นพีซี ของไอบีเอ็ม ซึ่งเป็นที่มาของคำดังกล่าว - ดู ไอบีเอ็มพีซี คำสามัญ สำหรับเรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เข้ากันได้กับข้อกำหนดจำเพาะของไอบีเอ็ม (IBM compatible) คำสามัญ ที่บางครั้งใช้เรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทุกชนิด
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เครื่องคอมพิวเตอร์จะแบ่งออกเป็น ส่วนของฮาร์ดแวร์(Hardware)และ ซอฟแวร์ (Software)ซึ่ง ส่วนของ Hardware จะประกอบด้วย • CPU หรือ หน่วยประมวลผลกลาง • ซ็อกเก็ตซีพียู (CPU Socket) • ชิปเซต (Chip Set) • เมนบอร์ด (mainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (motherboard) • หน่วยความจำ (Memory)แบ่งออกเป็น Read-Only Memory (ROM) และ Random-Access Memory (RAM) • ฮาร์ดดิคส์ (Harddisk) • ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล • Compact Disc (CD) แผ่นซีดี (ซีดี) • การ์ดแสดงผล (Display Card) • ซาวการ์ด (Sound Card) • จอภาพ (Monitor) • เคส (Case) • เมาส์ (Mouse) • แป้นพิมพ์ (Keyboard
ระบบเวอร์ชวลแมชีน(Virtualmachine)ระบบเวอร์ชวลแมชีน(Virtualmachine) เป็นระบบเครื่องจักร เสมือนเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่จำลองให้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ทำการจัดสรรทรัพยากรให้สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกัน
ระบบนี้จะช่วยให้คิดว่าผู้ใช้กำลังใช้งานกับคอมพิวเตอร์หลายเครื่องทั้ง ๆ ที่ทำงานบนเครื่องเดียว โปรแกรมเช่นนี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้หลายคนทำงานกับคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว เนื่องจากผู้ใช้แต่ละคนอยู่ที่เทอร์มินอลของตนเองทำให้คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของเครื่องโดยลำพัง
ระบบเมนเฟรมเป็นตัวอย่างที่ดีของเวอร์ชวลแมซีน เมื่อมีการใช้เทคนิคการจัดเวลาของซีพียูและความจำเสมือนทำให้ คอมพิวเตอร์ทำงานได้หลาย โปรเซสพร้อม ๆกัน
โปรเซสจะต้องเพิ่มเติมฟีเจอร์สำหรับจัดการ เช่น system call หรือระบบไฟล์ที่ระบบฮาร์แวร์ดั้งเดิมไม่มี จริง ๆ แล้วเวอร์ชวลแมซีนไม่ได้เพิ่มเติมฟังก์ชัน แต่จะกำหนดรูปแบบเฉพาะให้กับฮาร์ดแวร์ โดยสร้างเวอร์ชวลแมซีนขั้นกลางระหว่างฮาร์ดแวร์กับ kernel ที่ติดต่อกับโปรเซสจะมีการแชร์รีซอร์สของคอมพิวเตอร์ทางกายภาพเพื่อร่วมกันสร้างเป็นเวอร์ววลแมซีน การจัดเวลาของซีพียู
มัลติโปรเซสเซอร์ (Multiprocessor) • เป็นระบบที่มีตัวประมวล หรือ CPU หลายตัวอยู่ในเครื่องเดียวกัน • ทำให้ประมวลผลเร็วขึ้น โดย CPU จะมารใช้อุปกรณ์ • และทรัพยากรต่าง ๆ ร่วมกัน • ทำให้การแสดงผลทำได้เร็วขึ้น • ประหยัดกว่าการใช้ระบบหน่วยประมวลผลเดี่ยวหลายเครื่อง • ความน่าเชื่อถือของระบบ ในกรณีที่ CPU ตัวใดตัวหนึ่งเสีย • คอมพิวเตอร์จะยังทำงานต่อไป โดยใช้ CPU ที่เหลืออยู่
ระบบกระจาย (Distributed Systems ) เป็นระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องเข้าด้วยกัน มีการติดต่อกันเพื่อใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ร่วมกัน ลักษณะระบบคอมพิวเตอร์แบบกระจายงาน เป็นการแจกจ่ายงานให้กับprocessors (ตัวประมวลผล)ที่มีอยู่ Loosely coupled system คือ processor แต่ละตัวจะมีหน่วยความจำเป็นของตัวเอง การสื่อสารระหว่าง processor ก็ทำได้หลายวิธี เช่น ผ่านทาง high-speed buses หรือสายโทรศัพท์ การส่ง E-mail
หน้าที่ของระบบปฏิบัติการหน้าที่ของระบบปฏิบัติการ • ตัว OS ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์หลัก คือ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ในลักษณะที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบกลไกการทำงานหรือฮาร์ดแวร์ของระบบ จึงแบ่งหน้าที่หลักของ OS ได้เป็น • การติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) • ควบคุมดูแลอุปกรณ์ • จัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ในระบบ ทรัพยากร (Resource)
โครงสร้างของระบบปฏิบัติการ (Operating System Structures) • ระบบปฏิบัติการ ทำหน้าที่จัดสภาพแวดล้อมภายในเพื่อให้เหมาะสำหรับโปรแกรมที่จะดำเนินงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งลักษณะภายนอกเราจะมองเห็นความแตกต่าง ระหว่างระบบปฏิบัติการแต่ละชนิดได้ไม่มากนักแต่โดยลักษณะภายในของระบบปฏิบัติการแล้ว มีความแตกต่างกันอย่างมากและมีแนวทางในการสร้าง และพัฒนาที่แตกต่างกันไปคนละทิศทาง ในหัวข้อนี้ เราจะศึกษาถึงส่วนประกอบต่างภายในของระบบปฏิบัติการว่าทำหน้าที่อย่างไร
องค์ประกอบของระบบปฏิบัติการ (Operating System Components) • การจัดการโปรเซส (Process Management) • การจัดการหน่วยความจำ (Main - Memory Management) • การจัดการไฟล์ (File Management) • การจัดการระบบอินพุต/เอาต์พุต (I/O - System Management)